23 พ.ค. เวลา 16:28 • ความคิดเห็น
ที่จริงเราก็ทำดี มีความอดทนดี แต่เสียอย่าง เรื่องพระคุณพ่อแม่ นี้ เราต้องยกเว้นเลย เพราะมีแต่ขาดทุน เราใช้เราอาศัยเรือนกายพ่อแม่อยู่ หากเราไปตำหนิติเตียน คิดไม่ดีกลับพ่อแม่ ก็เหมือนเราทำลายตัวเราเอง คือ กายที่พ่อแม่ให้เราอาศัย เหมือนเราว่า กายพ่อแม่ที่เราอาศัยเป็นตัวเป็นตน แล้วมันจะดีไปได้อย่าง มันจะยิ่งกระพืออารมณ์กรรม ขึ้นมา มีความหงุดหงิดผโมโห ไม่สบายเนื้อสบายตัวเลย นั่นเค้าจึงบอกให้รู้จัก ใตร่ตรอง ใคร่ครวญ เอาเหตุผลดี ขึ้นมา ที่เราได้กายพ่อแม่ ที่มีอาการมาครบสามสิบสอง มีสติปัญญามาดีแล้ว
เราก็ใช้ทบทวนเรื่องราวดีได้ ทำไมเราต้องหงุดหงิด โมโห ..ทำไม ทำไมเราต้องโมโหพ่อแม่เราเอง ..ทำไม่ เราไม่หงุดหงิดไม่โมโหพ่อแม่ไม่ใด้หรือ เราก็ค่อยจับ อารมณ์ที่เกิดขึ้น ที่มันผุดขึ้นม เดี๋ยวมันก็สงบลง เดี๋ยวมันก็ ผุดขึ้นมาอีก เหมือนคลื่นที่เข้า กระทบฝั่ง ..หากฝั่งนั้นเป็นโขดหิน มันก็ปะทะคลื่นได้ ไม่โลเล หากฝั่งนั้นเป็นผืนทราย ทรายนั้นก็ต้องม้วนกระจัดไปตามกระแสคลื่น
นั่นก็เหมือนเรื่องราวของอารมณ์ ที่เป็นเหมือนคลื่น ที่มากระทบเรา เราก็เพียงอยู่เฉยๆ นิ่ง ประคองตัว ไม่ให้คลื่นนั้น ซัด เป็นทั้งอารมณ์ ภายนอก จากพ่อแม่ แล้วอารมณ์ทิฐิ ไม่ยอม โมโห .. เราทำดีแล้วที่ทำมาได้ขนาดนี้ เพียงแต่พลิกเรื่องราวพระคุณพ่อแม่ขึ้นมา
มีน้องคนหนึ่ง ก็เจอแม่เล่นการพนัน กู้เงินนอกระบบ เอาไปเล่นพนัน น้องคนนี้หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ใช้หนี้ให้แม่ จนย่ำแย่ เราก็บอกให้ทำบุญ .ก็บอกว่าเป็นหนี้ ไม่มีเงิน เราก็บอกว่าบาทเดียว ไปนั่งไหว้พระ ทำบุญหน้าพระวันละบาท นึกคิดว่า เอากายพ่อแม่ไปทำงาน ได้เงินทอง เหนือเหนือย ก็อาศัยกายพ่อแม่ที่ครบอาการสามสิบสอง ไปทำ ..ก็เอาเงินบาทเดียว
กล่าวเอากายพ่อแม่ มาสร้างบุญกุศล นั้นจะเป็นการส่งบุญกุศลให้พ่อแม่ มันเป็นเรื่องธาตุพ่อแม่ที่ต่อถึงกัน เราเอากายพ่อแม่มาสร้างบุญกุศล ให้กายพ่อแม่มีบุญเกิดขึ้น .เมื่อพ่อแม่มีบุญ ..กายพ่อแม่มีบุญ มันก็จะช่วยเปลี่ยนแปลงกายพ่อแม่ เรื่องราวของอารมณ์จากพ่อแม่ก็จะน้อยลงไป
สิ่งที่เราเผลอสติ ใช้อารมณ์กับพ่อม่ เราก็ขอขมา ..หากทำไม่ได้ ก็ทำตอนที่เรานอน พูดขอขมาขออโหสิกรรม ที่เราเผลอใช้อารมณ์กรรมกับพ่อแม่ตัวเอง น้องที่พูดถึงปัจจุบัน ก็อารมณ์ดีไม่หงุดหงิด ร้องห่มร้องไห้ ตีโพยตีพายเหมือนแต่ก่อน ..มันต้องใช้เวลา เรื่องการสร้างบุญกุศลนั่นช่วยได้ ไม่อย่างนั่น คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ไม่เป็นความจริง บุญมีจริง กรรมมีจริง บารมีก็มีจริง..เพียงแต่ว่า เราทำจริงตามที่ท่านสอนหรือไม่
เรื่องที่ผ่านมา เราทบทวนตัวเอง เพื่อที่ปัดเป่า อารมณ์นั้นออกไป อารมณ์ที่เรายึดถือนึกคิด ทิฐิไม่ยิมอะไรต่าง ทิ้งมันไป อย่าไปกอดยึดมัน ..คิดแล้วหงุดหงิด คิดแล้ว ให้เรารู้จักอารมณ์ที่ ทั้งพี่ชาย พูดแหย่ .นิดเดียว ..เราเอาไปคิด ไปหลงยึดอารมณ์นั้น ..กอดมันไว้ มันก็ทุกข์ ทั้งที่อารมณ์นึกคิดมันไม่มีตัวตน
แต่เราไปนึกไปคิดให้มันมีตัวมีตนมลในตัวเรา ..เราก็ไม่ต้องนึกคิดอะไร ทำตัวร่าเริง ปกติ ..นั่นมายาของอารมณ์ ที่เป็นพิษ ไปยึดถือมันอยู่ได้ ..เราก็ต้องสำรวจตัวเราเอง ..มันเกิดที่เค้า คำพูด ก็มาจากอารมณ์กรรมในตัวเค้า เราจะเอามาไว้ที่ตัวเราทำไม เราเอามาไว้ มันก็ร้อนอย่างนี้แหละ ตัดมันทิ้งไปซะ ตัดอารมณ์ ไม่ใช่ตัดพ่อตัดแม่ ตัดพี่ชาย ..ตัดอารมณ์กรรม ที่เกิดขึ้นที่ตัวเรา ทิ้งไป
โฆษณา