30 พ.ค. เวลา 03:10 • ท่องเที่ยว
โกลกาตา

รีวิว กัลกาต้า 4วัน เต็ม ฉบับเที่ยวเองงง Kolkata city of joy ep3

สวัสดีค้าบบ กลัมากับ กัลกาต้า อีพี3 ตอนจบของทริปนี้แล้ว
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกนี่ก็เข้าวันที่สามแล้ว
เช้านี้ผมกลับที่เดอะปาร์คเกอร์สตรีทเพื่อมาทานกาแฟชื่อร้าน blue tokaiเป็นร้านกาแฟที่มีขายทั้งแบบเป็นซองดิปกลับบ้านก็มีหรือว่าจะกินทีร้านเลยพร้อมกับแซนด์วิช ต่างๆเลยก็ได้ ส่วนด้านหน้าทางเข้าและชั้นสองจะเป็นร้านหนังสื
แผนวันนี้หลักๆแล้วเราจะไปทานอาหารเบงกาลี กัน
อาหารเบเกงกาลี เป็นอาหารท้องถิ่นประจำภูมิภาคเชิดชูวัตถุดิบประจำภูมิภาคนั้นนั้น เช่นเมืองกัลกาต้าเป็นเมืองติดทะเลหรือที่เค้าเรียกกันว่าอ่าวเบงกอลนั้นอาหารที่ได้มาหลักๆก็จะเป็นปลาและกุ้ง
อาหารที่เราทานจะเริ่มที่ตอนเที่ยงที่ร้าน Bengali speciality restaurant ร้านอาหารอยู่ทางตอนใต้ของเมืองห่างจากที่พักประมาณ 25 นาที ร้านอาหารเป็นตึกแถวประมาณสามชั้น ห้องอาหารที่เราทานจะอยู่ บริเวณชั้นสอง เมนูขึ้นชื่อของเขาคือแกงกุ้งลูกมะพร้าวแล้วก็แกงปลาแบบฉบับเบงกาลี
ความโดดเด่นของเขาคือแกงที่ใช้ผัดมากับกุ้งนั้นน่าจะใช้เป็น หัวกะทิทำให้เนื้อแกงข้นหอมมันให้ความรู้สึกเหมือนกินแกงเขียวหวานอ่อนๆ ที่ไม่เผ็ดและฉุนเครื่องแกงเลย ตัวแกงมีความเข้มข้นของกะทิและความหอมจากมะพร้าวลูกขึ้นมาเลยหละครับ
ส่วนอีกเมนูหนึ่งที่ผมแนะนำเลย แต่ผมไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร จะเป็นคล้ายๆห่อหมกบ้านเราที่มีใบตองห่อด้วยเนื้อปลาชิ้นนั้นหนาแล้วเนื้อปลาจะหมักกับเครื่องแกงอะไรบางอย่างที่จะให้ความหอมเข้าเนื้อรสชาติไม่จัดจ้านมากทำกับข้าวสวยร้อนร้อนถือว่าดีมากครับ แต่เดี๋ยวผมจะแปะรูป ไว้นะครับ
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วก็แวะเดินหากาแฟทาน แล้วก็ไปเดินห้างอีกห้าง South city mall เป็นห้างขนาดใหญ่ที่ใหญ่กว่าห้างแรกที่เราไปเมื่อวาน ห้างนี้น่าจะมีประมาณทั้งหมดหกชั้นแต่ความพรีเมี่ยมจะไม่เท่ากับห้างแรก ชั้นล่างสุดจะมีซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ชื่อว่า Spencer
น่าจะคล้ายคล้ายๆท็อปบ้านเราที่นี่จะมีขายทุกอย่างเลยตั้งแต่กระทะยันอาหารยันกระเป๋าเดินทางซึ่งเพื่อนผมได้กระเป๋ามาหนึ่งใบขนาด 28 นิ้วในราคา 4000 รูปีเท่านั้นเองครับ
แบรนด์ที่ได้นี่เป็นแบรนด์ลูกของ American tourist ชื่อ kamilant ซึ่งเช็คแล้วมี Warranty อยู่ที่ไทยด้วย ประกันสามปี ถ้าเทียบกับราคาคุณภาพและรับประกันหลังการขายแล้วที่เราสามารถส่งซ่อมที่ไทยได้ผมว่าราคา 4000 รูปีนี้ถือว่าถูกมากนะ
ผมก็เดินซื้อขอบรอเวลาจนถึง 4 โมงเย็นเพื่อที่จะไปวัด Birla mandir วันนี้ถือว่าเป็นวัดของศาสนาฮินดูเป็นวัดที่ค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องของการถ่ายภาพภายในและการแต่งกายข้อห้ามหลักๆเลยคือห้ามถ่ายรูปภายในภายในในที่นี้คือภายใน
บริเวณวัดก่อนเข้าบริเวณวัดเราจะต้องฝากของถอดรองเท้าห้ามนำกระเป๋าเข้าไปหลักการที่ผมใช้คือให้เพื่อนสองคนรออยู่ข้างนอกแล้วผลัดกันเข้าไปครับแต่สะดวกที่สุดเพราะว่าถ้าเราเอาของไปฝากก็ไม่รู้ว่าของจะหายหรือเปล่าสีของวัดนี้จะเน้นไปโทนสีขาว ออกเทาๆ จากที่ผมไปหาอื่นมาลักษณะสีขาวเทาที่ออกมานั้นมาจากวัสดุวัสดุวัสดุที่ใช้ก่อสร้างนั้นก็คือหินทราย
ซึ่งระยะเวลาที่ผมใช้อยู่ที่นี่นั้นใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเนื่องจากไม่สามารถถ่ายรูปภายในได้ก็เลยได้แค่เข้าไปไหว้พระแล้วก็ออกมาภายในตัววิหารวัดตกแต่งค่อนข้างสวยอลังการมี โคมไฟคริสตัลประดับประดา สว่างไสวสวยงาม
เท่าที่ผมสังเกตเห็นภายในตัววัดก็จะมีพระศิวะพระแม่การีพระนารายณ์ให้กราบไหว้ส่วนด้านนอกก็จะมีพระพิฆเนศและองค์อื่นๆ อีกมากมายครับเนื่องจากตัววัดไม่ได้ใหญ่มากเข้าไปจะมีบริเวณเป็นวิหารและมีที่เดินรอบนอกรอบรอบตัววิหารแค่นั้นเลยครับการเดินทางที่สะดวกที่สุดสำหรับที่นี่นั่นก็คือเรียก Uber มาครั
หลังจากเสร็จจากวัดแล้วตอนเย็นก็ยังไม่มีแพลนไปไหนผมก็ก็เลยกะว่าจะไปเดินแถว Parker street ที่เขาว่า เป็นแหล่งรวมตัวของคนอินเดียที่นี่มีทั้งร้านอาหารและราคาสูงมากจนถึงราคาถูกมีร้านขายของตามถนนข้างทางบ้างประปรายมีผับและมีร้านขนมหวานน่ะ เนื่องจากถนนเส้นนี้เป็นถนนที่ไม่ได้ ยาวมากแต่จะมีซอยเล็กซอยน้อยให้เดินเข้าไปได้ครั
มื้อเย็นวันนี้ที่เราทานจะทานเป็นอาหารอินเดียเหนือ จำพวกแกงไก่โรตีนาน และแกงเต้าหู้
ร้านอาหารตกแต่งค่อนข้างมืดสลัวแต่ให้ความรู้สึกหรูหราเพราะพนักงานทุกคนแต่งตัวเหมือนชุดทางการมีหมวกอินเดียทรงสูงสูงที่พนักงานใส่พร้อมกับคอย คอยเสิร์ฟอาหารตักอาหารให้ที่จานหรือแม้กระทั่งขยับเก้าอี้ให้เราตอนเราลุกจากที่นั่ง เมื่อเช็คบิล
ร้านอาหารร้านนี้ราคาก็ไม่ได้สูงมากจนเกินไปแต่ผม ว่าน่าจะสูง สำหรับคนอินเดีย ท้องถิ่นมื้อนี้สองคนผมทานไปทั้งหมดประมาณ 1500 รูปีตีเป็นเงินไทยคร่าวๆก็ประมาณ 650 บาทหารสองตกเหลือคนละ 300 กว่าบาท ร้านชื่อว่าPeter cat หน้าร้านเป็นสีขาว ป้ายอาจจะหายากนิดนึงนะครับ
และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึงครับแค่คิดว่าจะต้องกลับไปทำงานผมก็เหนื่อยแล้วแต่ยังดีนะครับได้มามาเที่ยวมาชาร์จพลังกลับไปสู้งานที่กรุงเทพกันอีกรอบ เค้าว่ากันว่า คนเราไม่ไม่ต้องรักงานที่เราทำมากก็ได้ แค่ขอให้งานมันได้ผลตอบแทนดีมีเวลาให้เราเอาเงินที่เราหามาได้ไปทำในสิ่งที่เรา รักดีกว่าครับ
แล้วเราก็ เริ่มต้นวันใหม่ด้วยแกงโชว์เล่หรือที่เค้าเรียกว่าแกงถั่วลูกไก่พร้อมกับโรตีหน้าโรงแรมในราคา 20 รูปีได้แป้งโรตีประมาณสามชิ้นพร้อมกับแกงหนึ่งหลุมแล้วผมได้สั่ง Masala Chai หนึ่งถ้วยเป๊ก ผมไม่แน่ใจว่าราคาห้าหรือ 10 รูปีกันแน่ ถือว่าเป็นการวอร์มท้องเพื่อที่จะออกเดินทางไปเที่ยวได้ดีเล
วันนี้สถานที่ที่เราจะไปนั้นนับถือเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญอีกจุดหนึ่งของเมืองนี้เลยก็ว่าได้นั่นก็คือวัดพระแม่กาลี หรือ Dakshineswar kali temple
จุดเด่นของวันนี้คือตัววัดตกแต่งด้วยสีแดงตัดกับสีขาวเหลืองเป็นหลักพื้นที่ค่อนข้างกว้างแต่สิ่งที่พี่ต้องระวังก็คืออากาศร้อนมากและการเดินทางค่อนข้างไกลหลายชนิดที่เดินทางจากตัวเมืองออกมาประมาณ 45 นาทีได้เลยตอนกลับก็หารถยากนิดนึงนะฮะ
วัดพระแม่กานี้เป็นวัดของศาสนาฮินดูมีเวลาเปิดปิดสองเวลาตอนเช้าจนถึงเที่ยงแล้วก็เว้นเป็นบ่ายสามกว่ากว่าจนถึงหนึ่งทุ่มครึ่งของวัน วันเวลาจะมีการเปลี่ยนแปลงได้พี่พี่คนไหนจะไปลองเช็คดูอีกทีนะครับความสวยงาม โออาของวัดนั้นค่อนข้างโชว์ถึงความศรัทธาของคนศาสนาฮินดูที่มากราบไหว้เป็นอย่างยิ่งการที่จะเดินเข้าไปในวัดได้นั้นก็คือต้องฝากสิ่งของทุกอย่างมือถือก็เอาเข้าไปไม่ได้ต้องใช้แผนเดิมก็คือให้เพื่อนรอด้านนอกแล้วสลับกันเข้าไป
การที่จะเข้าไปในตัววัดได้นั้นต้องเดินเท้าเปล่าเข้าไปที่เปิดประตูทางเข้าวัดก่อนซึ่งแดดร้อนมากระหว่างทางที่เดินไปก็จะเห็นพนักงานของวัด เอา น้ำฉีดพื้นตลอดเพื่อให้คนที่ที่เดินไปไม่ได้ร้อนเท้ามาก ผมเดินไปครึ่งทางแล้วผมไม่สามารถเดินต่อไปได้เพราะว่าพื้นมันร้อนมาก ผมเลยเดินกลับมารอเพื่อนเราให้เพื่อนคนที่ศรัทธานั้นไม่ได้เข้าไปกราบไหว้จนเสร็จสร
จากที่ผมไปหาอ่านมา วัดนี้ทั้งหมดสามส่วนส่วนแรกคือวัดพระแม่กาลี ที่แสดงถึงความรักและการให้เกียรติ
ส่วนที่สองคือวัดของพระศิวะ ตั้งติดอยู่กับแม่น้ำคงคาแล้วเค้าว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่พระรามนั่งสมาธิจนถึง นิพพาน
ส่วนที่สามคือวัดของพระวิษณุ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของวัดพระศิวะ
ซึ่งผมได้เดินผ่านในสองส่วนที่กล่าวมาก็คือวัดพระแม่การีกับวัดของพระศิวะแต่ไม่ได้เข้าไปกราบไหว้
สถาปัตยกรรมของวันนั้นสวยมาก ไม่ว่าจะถ่ายมุมไหนสีของวัดบวกกับแดดหรืออะไรก็ตามแต่ทำให้รูปที่ออกมามีความขลังยังบอกไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็น detail ระหว่างทางเดิน หรือ จิตรกรรมฝาผนังก็ยังมีความสวยไปหมด ถ้าพี่คนไหนมีเวลาว่างมีเวลาเหลือก็แนะนำให้มาครับอาจจะใช้เวลาเยอะหน่อยกว่าที่อื่นๆ แต่ถ้าได้มาผมก็ว่ามันคุ้มค่าครับ
ในความเป็นจริงแล้วตามแผนที่ผมวางไว้เราจะต้องนั่งเรือข้ามไปอีกฟากเพื่อที่จะไป วัดฮินดูอีกทีนึง ซึ่งที่นั่นก็คือ Belur math เนื่องจากเป็นวัดที่มี น้ำตาลอ่อนเป็นเบสแล้วคิดว่าถ่ายรูปออกมาจะสวยมากๆแต่บังเอิญว่าแพลนของทริปนี้ผมก็เป็นเพื่อนได้เอื้อยเฉื่อยเกินไปร้อนก็หลบแดดเข้าห้างก็เลยทำให้แพลนที่วางไว้ตั้งแต่แรกไม่ได้ไปตามสถานที่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ร้อยเปอร์เซ็นต
หลังจากเสร็จจากวัดแล้วก็หาอะไรทานทั่วไปเพราะแพลนวันนี้จะเหลือแค่ไปร้านกาแฟ Indian coffee house กับ
เดินชมดูหนังสือที่ The college street แล้วแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อของกลับบ้านครับ
 
Indian coffee House ตั้งอยู่ที่ the college Street เลยถือว่ามาที่เดียวได้ถึงสองแลนด์มาร์ก ร้านกาแฟร้านนี้ถือว่าเป็นร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองต้าที่เปิดตั้งแต่ปี 1942
เขาเล่า ว่า ร้านกาแฟแห่งนี้ไม่ใช่ที่สำหรับนักศึกษาเท่านั้นแต่เป็นพื้นที่ของคนทุกกลุ่มทุกหมู่เหล่า ที่ใช้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นตั้งแต่เรื่องของการเรียนการศึกษาธุรกิจเศรษฐศาสตร์การแต่งงานการเมืองกีฬาหนังเพลงทุกอย่างล้วนแล้วถูกผู้คนที่เข้ามาใช้บริการร้านกาแฟอันนี้นำมาเป็น หัวข้อในการสนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างทานกาแฟหรือทานขนม
ร้านกาแฟแห่งนี้ตามประวัติศาสตร์แล้วเป็นเป็นบ้านของมิสเตอร์อัลเบิร์ต และถูกค้นพบในปี 1876 หลังจากนั้นก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นร้านกาแฟในปี 1942 ที่ผมกล่าวไว้ในข้างต้นและในปี 1947 รัฐบาลของประเทศอินเดียได้ เรียกที่นี่เป็น coffeehouse
ร้านกาแฟร้านนี้โด่งดังมาอย่างยาวนานและเป็นจุดที่ชื่นชอบของใครหลายหลายคนไม่ว่าจะเป็นนักเขียนนักแต่งกลอนศิลปินหรือนักการเมืองเพื่อที่จะมาคิดค้นไอเดียหรือมาดื่มด่ำบรรยากาศของ กัลป์กาต้า
เนื่องจากร้านกาแฟร้านนี้อยู่มานานมากมากกว่า 70 กว่าปีทำให้ในปี 2009 ได้มีการวีโนเวท ด้วยการทาสีแล้วก็เอารูปพอร์ตเทรดต่างๆมาตกแต่ง
จุดที่นั่งที่ผมแนะนำเลยจริงๆคือริมหน้าต่างไม่ว่าจะช่วงกี่โมงก็แล้วแต่แสงจะสวยมากแล้วก็ได้วิวที่ดีมากแต่วันที่ผมไปที่นั่งริมหน้าต่างทั้งชั้นบนและชั้นล่างเต็มทั้งหมดเลยผมเลยได้นั่งตรงกลางห้องโถง
เมนูที่ผมอยากแนะนำให้ทานก็คือกาแฟเย็นกับกาแฟร้อนสไตล์กัลป์กาต้า ให้ความรู้สึกเหมือนกินกาแฟโบราณบ้านเราแต่มีความหอมอะไรบางอย่างที่ผมไม่แน่ใจแต่ถ้าพูดถึงความหวานแล้วหวานฉ่ำหวานเบาหวานขึ้นแน่นอน
ส่วนของทานเล่นผมไม่ได้สั่งอะไรเลยเพราะเนื่องจากเพิ่งทานอาหารเที่ยงมาก็เลยยังอิ่มอิ่มกันอยู่แต่ก็กลัวว่าจะไม่ได้มาที่นี่อีกแล้วก็เลยสั่งกาแฟเพื่อที่จะมานั่งเก็บบรรยากาศฮะ
หลังจากทานทุกอย่างเสร็จสรรพได้เวลาเดินที่ถนนขายหนังสือของ เมืองนี้ หรือที่ทุกคนเรียกกันว่าthe college Street
ถ้าพี่พี่ท่านไหนได้มีเวลามาเดินถนนเส้นนี้พี่ตกใจว่ามันเป็นถนนที่มีหนังสือเยอะมากระหว่างทางจะเห็นนักศึกษามาซื้อหนังสือกันตลอดทางหนังสือจะไม่ใช่มีเฉพาะของนักศึกษามหาลัยแต่จะมีตั้งแต่เด็กเล็กยันเด็กโตไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรต่างประเทศหรือจะเป็นหลักสูตรของเค้าก็ตาม
หนังสือจะ มีทั้งมือหนึ่งมือสอง ระหว่างทางเดินผมก็เก็บรูปถ่ายเซลฟี่ บ้างถ่ายวิวบ้าง สิ่งไหนที่เห็นอย่างชัดเจนคือคนที่ที่นี่เค้าให้ความสนใจเราเป็นอย่างมากบ้างก็เดินมาขอเซลฟี่ด้วยบ้างก็มาถ่ายรูปด้วยกันผมว่าก็น่ารักดีนะครับก็มีเข้ามาเดินทักทายว่ามาจากไหนเราก็มาถามว่าถ่ายร้านหนังสือทำไมไอข้อที่สองผมก็ไม่รู้ว่าผมจะตอบยังไงนะฮะ
แต่ถ่ายรูปร้านหนังสือที่เป็นเส้นถนนแบบเนี่ยสวยมากให้ตัวเองเป็นตัวเด่นและ ร้านหนังสือเป็น พื้นหลัง คงให้ความรู้สึกเหมือนไปถ่ายในหอสมุดที่เกาหลี แต่ผมว่าที่นี่ดิบกว่าเยอะ ฮ
เดินไปเรื่อยเรื่อยผมก็เจอนี่นี่แหละครับรถขายมะพร้าวเฉาะให้กินกันแบบสดๆ ราคาลูกละ 50 รูปี และสิ่งที่ผมทึ่งมากเลยก็คือหลังจากที่เราดื่มน้ำมะพร้าวหมดแล้วพี่แกใช้มีดหั่นเปลือกสำหรับเป็นช้อนในการแคะเนื้อมะพร้าวออกมาให้ทานอีกแต่สิ่งที่ต้องระวัง และหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือมีดพี่แกนั้นดำปี๋และเฉื่อยเนื้อมะพร้าวสีขาวไปมีสีดำติดออกมาด้วยเลยผมก็ได้แต่กินฝั่งที่ไม่ติดสีดำเลยไม่กล้ากินจริงๆฮะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
ปล รสชาติน้ำมะพร้าวของเขาค่อนข้างเปรี้ยวและซ่า ซึ่งผมมองว่ามาจากอุณหภูมิของเขาที่ร้อนมากจนทำให้มะพร้าว มีรสชาติแบบนั้น
หลังจากเสร็จทุกอย่างแล้วเนื่องจากของผมบินไฟลท์กลางคืนผมเลยต้องหาโรงแรมราคาถูกอีกหนึ่งที่เพื่อที่จะใช้เป็นสถานที่ในการแพ็คของและอาบน้ำก่อนไปสนามบินซึ่งโรงแรมสุดท้ายที่ผมเลือกนั้นก็คือ hotel Great Western โรงแรมอยู่บนถนน the parker Street เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายแล้วก็เดินไป walking ที่หน้าโรงแรมเลยแล้วก็แจ้ง Condition เขาว่าต้องการห้องแค่สำหรับอาบน้ำกับแพ็คของแล้วเราจะออกจากที่โรงแรมตอนประมาณสองทุ่ม
ทางโรงแรมเค้าคิดแล้วราคาเต็มสำหรับหนึ่งคืนนั้นก็คือประมาณ 1200 บาทหรือ 2500 รูปีถ้านำมาเฉลี่ยหารแล้วสี่คนก็จะตกเป็นคนแค่ 300 บาท เพราะผมคิดว่าจะต้อง เดินทางตอนกลางคืนอยากจะเดินทางแบบสบายสบายตัวไม่เหนียวแต่ผมคิดผิดครับหลังจากทานข้าวเย็นซื้อของแพ็คของเรียบร้อยแล้วกลับมาอาบน้ำพร้อมจะออกไปสนามบินสนามบินเดินออกมาด้านหน้าโรงแรมเหงื่อก็ออกเลย
ระหว่างรอแท็กซี่มาต้องเดินออกไปอีกหน่อยถึงจะขึ้นแท็กซี่ได้เนื่องจากทางข้างหน้าโรงแรมนั้นมี รั้วกั้นทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ต้องเดินออกไปแล้วเจออากาศร้อนยามค่ำคืนของเมืองนี้
การเดินทางจาก จากโรงแรมสุดท้ายไปที่สนามบินใช้เวลาประมาณ 50 นาที อาหารถึงสนามบินครับ
ในระหว่างเช็คอินผมต้องโหลดกระเป๋ากลับสองใบกับเพื่อนผมพร้อมกับแครี่ออนขึ้นเครื่องอีกคนละใบทั้งหมดสี่ใบทางกราวน์ แจ้งว่าวันนี้เป็น full flight เค้าเลยเสนอที่จะให้เราโหลดกระเป๋าทั้งหมดเพิ่มอีกสี่ใบโดยที่ไม่เสียเงิน
พอเข้าไปด้านไหนก็จะจะมี ร้านสินค้าปลอดภาษีซึ่งน้ำหอมตัวที่ลดราคาไม่ว่าจะเป็นของ Ck Dior เป็นต้น ราคาถูกมากอย่างตัว ck defy 100ml ผมซื้อ มาในราคา 4200 รูปีเท่านั้น ตกประมาณ ไม่เกิน 2000 บาท
ภายในสนามบินหลังจากผ่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วจะมีร้านอาหารเล็กๆเล็กๆพร้อมกับโซนที่นั่งให้เรานั่งรอนั่งทานอาหารได้พร้อมกับมี ห้องรับรองสำหรับบัตรเครดิตต่างๆแต่ส่วนนี้ผมไม่ได้ใช้นะครับเพราะเห็นว่าเวลามันน้อย
ส่วนพี่พี่คนไหนที่คิดจะซื้อของฝากที่สนามบินราคาค่อนข้างแพงและไม่ค่อยมีสินค้าให้เลือกซื้อเยอะส่วนมากก็จะเป็นร้านปลอดภาษี 1ร้าน ร้านขายของฝากอีกหนึ่งร้าน และร้านอาหารประมาณ 4ร้าน เท่านั่นเองครับ
ก่อนจากเมืองนี้ผมก็มานั่งคิดกับตัวเองนะครับ
ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้กลับมาประเทศนี้อีก ผมเคยเรียนอยู่ที่เมืองอื่นประมาณสี่ปีตอนช่วงมัธยม ต้นถึงปลาย
ประสบการณ์รั้วในโรงเรียนกับประสบการณ์ที่มาเที่ยวภายนอกโรงเรียนเนี่ยมันต่างกันเยอะเลย
เราก็เข้าใจว่าเราไปเรียนอินเดียเนี่ยเราเก่งแล้วเราอยู่ได้แต่พอมาเที่ยวจริงๆได้ใช้ชีวิตภายนอกจริงๆคนละเรื่องเลยฮะมันสนุกมันเถื่อนมันดิบมันลุยกว่าที่อยู่ในโรงเรียนเยอะเลย
เป็นเมืองอีกหนึ่งเมืองเมืองที่หกต้องยกให้ว่าเที่ยวสนุกไม่เหนื่อยมากแต่อาจจะมีขัดขัดขัดใจเรื่องรถติดบ้างแต่ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติของที่นี่น่ะ อยากให้สักครั้งหนึ่งมาลองกันเสน่ห์ของเมืองนี้คงไม่ไม่เหมือนที่ไหนในอินเดีย
มาอินเดียอย่าหวังว่าทุกเมืองจะเหมือนกันนะผมว่าประชาชนด้วยความที่ประชากรเค้าเยอะมากประวัติศาสตร์ของแต่ละเมืองพื้นที่ภูมิอากาศท้องถิ่นทุกอย่างมันไม่เหมือนกันเลยผู้คนของเมืองนี้ก็ดีมากน่ารักเฟรนลี่และมีอีกสิ่งที่ผมค่อนข้างแปลกใจนั่นก็คือเรื่องกลิ่นตัวโดยปกติแล้วเวลาผมนั่งไฟลท์มาเมืองแขกเนี่ยกลิ่นตัวจะเป็นอันดับแรกที่ได้กลิ่นตั้งแต่อยู่บนเครื่องแต่รอบเนี้ยผมไม่ได้เอะใจจนจนถึงวันกลับว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่ค่อยจะได้กลิ่นตัวมากวนใจเลยซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผมมาก
ท้ายนี้สำหรับทริปสี่วันสามคืนหนึ่งเมืองผมบอกราคาคุ้มค่ากับการมามาก
การมาเที่ยวนี่แหละคือวิธีการที่ทำให้เราเติบโตไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เหมือนกับการได้เรียนนอกห้องเรียนละมั้งครับได้สัมผัสจริงได้ใช้ชีวิตจริงได้เจอของจริง ถ้ามีโอกาสผม ก็อยากให้ทุกๆคนตามรอยผมรับรองสนุกครับ
ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านจนจบอีพีแล้วมาดูกันว่าตอนหน้าผมจะไปที่ไหนอีก
ไปกับผมหน้าไหนก็เที่ยวได้ เราเจอกันใหม่ตอนหน้าครับ
ด้วยรัก
อิสระหน้าฝน
ขอบคุณค้าบบบบบบบบบ
โฆษณา