เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปีอัลบั้ม The Slim Shady LP เมื่อปลายกุมภาพันธ์ 2024 ที่ผ่านมา และประจวบเหมาะกับการต้อนรับอัลบั้มชุดล่าสุด The Death of Slim Shady (Coup De Grâce) ที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้ บทความ #FUNGSPECIAL จะพาไปสำรวจเกร็ดมันส์ๆของอัลบั้มแจ้งเกิดที่เปลี่ยนชีวิตแรปเปอร์ผิวขาวยาจกให้กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ชั่วข้ามคืน
-จุดเริ่มต้นแห่งปรากฏการณ์ที่เริ่มชูคาแรคเตอร์โดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยการไม่พยายามทำตัว gangsta rapper แต่เล่นกับความวิปลาสที่เจือด้วยบรรยากาศ horrorcore ความคิดสร้างสรรค์ประหนึ่งคนเขียนการ์ตูนด้วยการสร้างตัวละครในจินตนาการและคนใกล้ตัวในชีวิตจริงมาสร้างสีสันในงานเพลงตัวเองได้อย่างตลกร้าย และนำพาซึ่งการได้รางวัล Grammy Award สาขา Best Rap Album เมื่อปี 2000 จุดเริ่มต้นแห่งประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
โดย alter-ego ตนนี้ถูกหล่อหลอมขึ้นในช่วงที่ Eminem มืดแปดด้านกับอุปสรรคชีวิตการเป็นศิลปิน กระแสตอบรับที่ไม่สู้ดีของ Infinite ที่ถูกนำไปเปรียบเทียบสไตล์ว่าเหมือน Nas และ AZ จนเกินไป ไม่ได้รับความสนใจจากคลื่นวิทยุแห่งเมืองดีทรอยต์ โดนสบประมาทความเป็นคนขาว โดนไล่ให้ไปทำเพลง Rock & Roll
-โดยอีพีชุดนี้ก่อกำเนิดขึ้นในปี 1997 ด้วยโปรดักชั่นใต้ดินร่วมกับ DJ Rec, DJ Head, Mr.Porter และสองพี่น้อง Bass Brothers โปรดิวซ์เซอร์ระดับ local ในย่านดีทรอยต์ ซึ่งมีเพลงที่ถูกเอาไปต่อยอดใน LP Album อาทิเช่น If I Had, Just Don't Give a Fuck, Just the Two of Us (ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น '97 Bonnie & Clyde) โดยทุกเพลงที่ว่ามาได้รับการรีมาสเตอร์ใหม่ใน The Slim Shady LP ตามระเบียบ
“ในตลอดชีวิตการเป็นศิลปิน ผมแทบจะไม่ได้อะไรเลยจากกองเดโม่เทปทั้งหลาย จนกระทั่ง Jimmy เล่นอัลบั้มนี้ให้ฟัง ผมไม่รอช้าที่จะบอก Jimmy ให้ช่วยตามหาเขา เดี๋ยวนี้ !”
4.Dr.Dre คุมงานโปรดิวซ์เพียงแค่ 3 เพลงเท่านั้น
-ถึงแม้จะระบุไว้ว่า Executive Producer by Dr.Dre ไม่ได้แปลว่าแกจะผูกขาดการโปรดิวซ์ทุกเพลงในอัลบั้ม โดยโปรดิวซ์เซอร์ป๋าดันคนนี้มีส่วนร่วมแค่ 3 เพลงเท่านั้น อาทิเช่น My Name Is, Guilty Conscience และ Role Model นอกนั้นเป็นหน้าที่ของ Bass Brothers สองพี่น้องที่เคยมีส่วนร่วมกับ The Slim Shady EP
5.เพลงแนะนำตัวสุดฉาว My Name Is ที่โดนแม่ฟ้องร้องฉ่ำ แถมเจ้าของเพลงที่ใช้แซมเปิ้ลยื่นเงื่อนไขที่ปฏิเสธไม่ได้
-ต่อมาในปี 2001 ศาลตัดสินให้คุณแม่ได้เงินชดเชยค่าเสียหายจำนวน 25,000 ดอลล่าร์ โดยหักค่าทนายไปประมาณ 23,400 ดอลล่าร์ เบ็ดเสร็จแล้วคุณแม่ Debbie ได้เงินชดเชยค่าเสียหายสุทธิแค่ 1,600 ดอลล่าร์เท่านั้น ทั้งนี้ลูกชายตัวแสบของคุณแม่ก็ยังไม่หยุดที่จะเยาะเย้ยคุณแม่ด้วยการดิสแม่ด้วยท่อน "I just settled all my lawsuits, fuck you Debbie!" (กูเพิ่งปิดคดีฟ้องร้องทั้งหมดได้ ไปตายซะ Debbie) ในเพลง Without Me อีกด้วย
When I was little, I used to get so hungry I would throw fits
How you gonna breastfeed me, Mom? You ain't got no tits
อีกหนึ่งท่อนจิกกัดคุณแม่ Debbie ที่ขอระบายความอัดอั้นลงในหนังสือ My Son Marshall, My Son Eminem
-ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีคอนเทนท์จิกกัดคุณแม่ Debbie ว่า “นมแบน” อีกต่างหาก ต่อให้ท่อนดังกล่าวจะไม่ได้ถูกบรรจุในถ้อยคำการฟ้องร้อง แต่คุณแม่ก็ระบายความอึดอัดผ่านหนังสือ My Son Marshall, My Son Eminem ที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อปี 2008 โดยระบุว่า นี่คือท่อนที่คุณแม่ได้ยินแล้วรู้สึกแย่ที่สุด พร้อมอธิบายว่า การที่เธอไม่สามารถให้นมบุตรได้ก็เพราะเลือดเธอเป็นพิษต่างหาก จบเคสคุณแม่แต่เพียงเท่านี้
-เคสต่อมาเป็นการขออนุญาตใช้เพลงแซมเปิ้ล ซึ่งเพลง My Name Is มีแซมเปิ้ลเพลง I Got The… ของ Labi Siffre นักร้องหนุ่มอังกฤษที่ประกาศตัวเองว่าเป็นเกย์อย่างเปิดเผย เมื่อ Labi ได้ยินเนื้อเพลงเวอร์ชั่นดั้งเดิมที่มีสตอรี่ทั้ง ครูเกย์อยากเอาตูดนักเรียน และ ข่มขืนพวกเลสเบี้ยน เป็นต้น Labi ก็รู้สึกกระอักกระอ่วมเป็นแน่แท้อยู่แล้ว แกเลยยื่นเงื่อนไขที่ว่า ต้องแก้เนื้อเพลงใหม่เท่านั้นจึงจะยินยอมให้นำเพลงของเขาไปแซมเปิ้ลได้
-ทางด้าน Eminem ก็ดูเหมือนจะหัวเสียที่ต้องแก้เนื้ออีกทั้งๆที่ทุกอย่างก็ลงตัวแล้ว ต่อให้ Dr.Dre ทำบีทใหม่โดยที่ไม่ต้องใช้แซมเปิ้ลเพลงของ Labi ก็ได้ แก้บีทใหม่เนื้อเดิมจนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรลงตัวไปกว่าการมีเพลงของ Labi เป็นวัตถุดิบสำคัญ เลยตัดสินใจยินยอมแก้เนื้อเพลงใหม่แต่โดยดี ทั้งนี้เพลงเวอร์ชั่นดั้งเดิมแบบ unsensored ก็ยังคงหลุดออกมาให้ได้ฟังกัน
ปกอัลบั้ม Remember My Song ของ Labi Siffre
-Labi Siffre ก็ไม่พลาดที่ด่า Eminem ย้อนหลังในวาระโอกาสที่แกได้ re-release อัลบั้ม Remember My Song โดยกล่าวว่า “มุกที่ Eminem ไปเหยียดเกย์และเลสเบี้ยนนั้นช่างเป็นอะไรที่ขี้เกียจสิ้นดี ถ้าอยากจะเหยียดทั้งที แกต้องพุ่งเป้าไปที่ผู้กระทำ ไม่ใช่เหยื่อโว้ย” อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพลง I Got The… ถูกนำมาแซมเปิ้ล ก่อนหน้านั้นก็ถูกแซมเปิ้ลมาแล้วในเพลง Streets Is Watching ของ Jay-Z เมื่อปี 1997
ปล.มีทฤษฎีสุดล้ำที่ตั้งข้อสงสัยว่า Eminem จงใจทำท่อนฮุก My Name Is ให้เล่น reverse ได้ โดยประโยค Hi my name is Slim Shady เมื่อเล่นแบบ reverse จะได้อีกประโยคนึงเป็น "It's Slim, It's Eminem." ลองจิ้มคลิปข้างล่างนี้ดูครับ
-Fact นี้เริ่มต้นอย่างดาร์ค แต่จบโคตรเท่ห์เลยครับท่านผู้อ่าน แทร็คลำดับที่ 4 ซึ่งเป็น Non-Single ที่สาธยายคาแรคเตอร์อันฟั่นเฟือนของ Slim Shady ที่ส่วนนึงมาจากสารเคมีจากยาเสพติดที่แม่ของเขาเล่นจนมันหลั่งไหลตอนที่เขาอยู่ในครรภ์ ซึ่งก็อ้างอิงแซมจิกกัดคุณแม่ต่อเนื่องจากเพลง My Name Is แค่ประเด็นจิกกัดแม่ไม่ได้ถูกฉายออกมามากเท่ากับ My Name Is อันเป็นซิงเกิ้ลที่ฮิตเปรี้ยงปร้าง และดูจะเป็นเรื่องมโนเสียมากกว่า
11.เรื่องจริงอันแสนหดหู่ที่ซ่อนในเพลง Cum on Everybody
I tried suicide once and I'll try it again
That's why I write songs where I die at the end
ท่อนที่ Eminem กล่าวถึงว่าเคยคิดสั้นใน Cum on Everybody
-ใครจะไปคิดว่าเพลงจังหวะสนุกๆอย่าง Cum on Everybody ที่ว่าด้วยปาร์ตี้เซ็กส์หมู่จะแอบซ่อนความจริงอันแสนเจ็บปวด โดยแทรกปมส่วนตัวที่ครั้งนึง Eminem เคยตั้งใจฆ่าตัวตายจริงๆเมื่อปี 1997 ตามที่ได้แรปในท่อนที่ยกมาข้างต้น
-ซึ่งในปีดังกล่าวแกก็อยู่ในช่วงที่ไม่ได้รับการจดจำจากเดบิวต์อัลบั้มแรก Infinite บวกกับภาวะถังแตกเลยทำให้แกซึมเศร้า กินยาอยู่บ่อยๆ พลางเขียนเพลงที่กล่าวถึงการตายของแกในหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือเพลง Murder, Murder ที่อยู่ใน The Slim Shady EP ซึ่งแกเลือกเขียนตอนจบให้โดนตำรวจยิงตาย
-ตอนแรก Eminem หมายมั่นให้ตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิ้ล หลังจากปล่อย My Name Is ถึงขั้นทำ clean version สำรองไว้ แต่ค่าย Interscope ก็ปัดตกความคิดนี้ไป เพราะไม่อยากให้ภาพจำของ Eminem ดรอปเป็นวัยรุ่นจ๋าจนเกินไป หลังจากที่ปูทางความกวนตีนจาก My Name Is มาแล้ว
13.ที่มาของเพลงสู้ชีวิต Rock Bottom
-หลายคนอาจรับรู้ว่าอัลบั้มนี้มีแต่ด้าน horrorcore วิปลาส ตลกร้าย เกรียนปั่นประสาทเป็นส่วนมาก แต่หารู้ไม่ว่า The Slim Shady LP ก็มีเพลงโหมดสู้ชีวิตเหมือนกันครับ ซึ่งก็คือ Rock Bottom นั่นเอง นี่คือเพลงที่กลั่นมาจากประสบการณ์ชีวิตที่อยู่ในช่วงก่อนมีชื่อเสียงในช่วงรอยต่อระหว่าง EP และ LP ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะไปแข่ง Rap Olympics ที่ตอนนั้นยังคงมีสถานะยาจกตกต่ำสมชื่อเพลง
คนที่มาถ่ายภาพปกสุดทริลเลอร์นี้นี้คือ Danny Hastings เจ้าของผลงานภาพปกอัลบั้มฮิปฮอปสุดคลาสสิคมากมาย อาทิเช่น Enter the Wu-Tang (36 Chambers) - Wu Tang, I Am - Nas, Only Built 4 Cuban Linx… - Raekwon เป็นต้น
คอลเลคชั่นภาพถ่ายยุค The Slim Shady LP ของ Danny Hastings
คอลเลคชั่นภาพถ่ายยุค The Slim Shady LP ของ Danny Hastings
ผลงานภาพถ่ายปกอัลบั้มฮิปฮอปในตำนานอื่นๆของ Danny Hastings