25 พ.ค. เวลา 14:06 • ดนตรี เพลง

#FUNGSPECIAL ครบรอบ 25 ปีอัลบั้ม The Slim Shady LP จุดกำเนิดแรปเปอร์จอมปั่นประสาท Eminem

ถึงแม้จะเป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 2 แต่อัลบั้มนี้กลับถูกจดจำในฐานะการเดบิวต์สู่วงการฮิปฮอปมากกว่า Infinite อัลบั้มแรกสมัยใต้ดินที่กระแสตอบรับไม่สู้ดี ด้วยแรงผลักดันจากคำสบประมาทและชีวิตอันแสนยากลำบากแทบไร้หนทางนี้เอง ผุดไอเดีย alter-ego นามว่า Slim Shady จนเป็นตัวละครวายร้ายในตำนานที่โลดแล่นในจักรวาลบทเพลงของนาย Marshall Mathers ที่น่าโจษจันจนถึงทุกวันนี้
เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปีอัลบั้ม The Slim Shady LP เมื่อปลายกุมภาพันธ์ 2024 ที่ผ่านมา และประจวบเหมาะกับการต้อนรับอัลบั้มชุดล่าสุด The Death of Slim Shady (Coup De Grâce) ที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้ บทความ #FUNGSPECIAL จะพาไปสำรวจเกร็ดมันส์ๆของอัลบั้มแจ้งเกิดที่เปลี่ยนชีวิตแรปเปอร์ผิวขาวยาจกให้กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ชั่วข้ามคืน
-จุดเริ่มต้นแห่งปรากฏการณ์ที่เริ่มชูคาแรคเตอร์โดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยการไม่พยายามทำตัว gangsta rapper แต่เล่นกับความวิปลาสที่เจือด้วยบรรยากาศ horrorcore ความคิดสร้างสรรค์ประหนึ่งคนเขียนการ์ตูนด้วยการสร้างตัวละครในจินตนาการและคนใกล้ตัวในชีวิตจริงมาสร้างสีสันในงานเพลงตัวเองได้อย่างตลกร้าย และนำพาซึ่งการได้รางวัล Grammy Award สาขา Best Rap Album เมื่อปี 2000 จุดเริ่มต้นแห่งประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
1.จุดกำเนิดของ Slim Shady ที่มาปิ๊งไอเดียตอนปลดทุกข์
-Slim Shady เป็นเหมือนตัวละคร ตัวตนอีกด้านที่ต่ำตมของ Eminem ที่มีคาแรคเตอร์ฟั่นเฟือน ชอบเล่นยา มีความคลั่งป่าเถื่อน ชอบใช้ความรุนแรง และด่ากราดแทบทุกสิ่ง จนกลายเป็น alter-ego ที่เป็นภาพจำยิ่งกว่าการเป็น Eminem ในบางครั้งบางที
โดย alter-ego ตนนี้ถูกหล่อหลอมขึ้นในช่วงที่ Eminem มืดแปดด้านกับอุปสรรคชีวิตการเป็นศิลปิน กระแสตอบรับที่ไม่สู้ดีของ Infinite ที่ถูกนำไปเปรียบเทียบสไตล์ว่าเหมือน Nas และ AZ จนเกินไป ไม่ได้รับความสนใจจากคลื่นวิทยุแห่งเมืองดีทรอยต์ โดนสบประมาทความเป็นคนขาว โดนไล่ให้ไปทำเพลง Rock & Roll
จนกระทั่ง Eminem นั่งปลดทุกข์ในห้องน้ำ คิดอะไรไปมาจนปิ๊งชื่อตัวละครอันแสนโรคจิตตนนี้ขึ้นมา พอแกทำธุระเสร็จ แกก็รีบป่าวประกาศเพื่อนพ้องทุกๆคนให้ได้รู้กันถ้วนหน้า
“ชื่อ Slim Shady โดนใจผมอย่างแรง และมันคล้องจองด้วย ผมรีบเช็ดก้น ออกจากห้องน้ำแล้วป่าวประกาศทุกคนที่ผมรู้จักได้รับรู้”
ปกอัลบั้ม The Slim Shady EP
2.The Slim Shady EP ภาคต้นกำเนิดที่แท้จริง
-ไม่ใช่แค่การคิดชื่อตัวละครออกได้อย่างเดียว Eminem รีบต่อยอดด้วยการทำ EP album ที่ชื่อว่า The Slim Shady EP ออกมา
โดยหน้าปกอัลบั้มฉายภาพอินโทรเปิดอัลบั้มที่เล่าเรื่องราวแห่งการโดน Slim Shady ปลุก Eminem ขึ้นมาจากภวังค์ แล้วทำการสะกดจิตจนน่ารำคาญ Eminem ตัวจริงพยายามจะสลัดไอ้ Slim Shady ออกจากตัวให้ได้ ไม่รู้จะทำยังไงเลยต่อยกระจกจนเป็นที่มาของภาพปกอัลบั้มสุดกระแทกกระทั้น
-โดยอีพีชุดนี้ก่อกำเนิดขึ้นในปี 1997 ด้วยโปรดักชั่นใต้ดินร่วมกับ DJ Rec, DJ Head, Mr.Porter และสองพี่น้อง Bass Brothers โปรดิวซ์เซอร์ระดับ local ในย่านดีทรอยต์ ซึ่งมีเพลงที่ถูกเอาไปต่อยอดใน LP Album อาทิเช่น If I Had, Just Don't Give a Fuck, Just the Two of Us (ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น '97 Bonnie & Clyde) โดยทุกเพลงที่ว่ามาได้รับการรีมาสเตอร์ใหม่ใน The Slim Shady LP ตามระเบียบ
(ซ้ายไปขวา) Dr.Dre Jimmy Iovine และ Eminem
3.แมวมองเด็กฝึกงานผู้สายตาเฉียบคม และการถูกค้นพบโดย Dr.Dre
-อย่างที่ทราบกันดีว่า Dr.Dre เป็นทั้งแรปเปอร์และโปรดิวซ์เซอร์ที่เป็นหนึ่งในขุนพล N.W.A ฮิปฮอปกรุ๊ปรุ่นบุกเบิกสุดอันตรายทั้งบทเพลงและวีรกรรม แทบจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่แรปเปอร์ผู้ผ่านประสบการณ์อย่างเข้มข้นจิ้มเลือกศิลปินหน้าใหม่มาปั้นได้โดยง่าย
-ก่อนที่ Dr.Dre ตัดสินใจจิ้มเลือก Eminem เข้ามาสู่ชายคาใหญ่ของ Interscope Records คนที่ส่งเทปมาให้ Dr.Dre และท่านประธานค่าย Jimmy Iovine ได้สดับรับฟังนั้น เป็นเด็กฝึกงานของ Interscope Records นามว่า Dan Geistlinger ที่ดันไปค้นพบ Eminem ในงานแข่ง rap battle 1997 Rap Olympics รอบไฟนอล ซึ่ง Eminem ได้แค่ที่ 2 แต่นาย Dan เล็งเห็นถึงความสามารถเลยขอผลงานที่มีอยู่ในมือ ซึ่งก็คือ The Slim Shady EP เอาไปส่งต่อให้ค่าย Interscope Records เผื่อจะสนใจ
-การส่งอีพีอัลบั้มให้เด็กฝึกงานในครั้งนั้นกลับเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญที่ Dr.Dre เห็นอะไรบางอย่างจนตัดสินใจจิ้มเลือก Eminem มาเป็นศิลปินในค่าย ทั้งๆที่ผ่านมา Dr.Dre แทบจะปล่อยผ่านกองเดโม่ที่ส่งมาในค่ายเลยด้วยซ้ำ
“ในตลอดชีวิตการเป็นศิลปิน ผมแทบจะไม่ได้อะไรเลยจากกองเดโม่เทปทั้งหลาย จนกระทั่ง Jimmy เล่นอัลบั้มนี้ให้ฟัง ผมไม่รอช้าที่จะบอก Jimmy ให้ช่วยตามหาเขา เดี๋ยวนี้ !”
4.Dr.Dre คุมงานโปรดิวซ์เพียงแค่ 3 เพลงเท่านั้น
-ถึงแม้จะระบุไว้ว่า Executive Producer by Dr.Dre ไม่ได้แปลว่าแกจะผูกขาดการโปรดิวซ์ทุกเพลงในอัลบั้ม โดยโปรดิวซ์เซอร์ป๋าดันคนนี้มีส่วนร่วมแค่ 3 เพลงเท่านั้น อาทิเช่น My Name Is, Guilty Conscience และ Role Model นอกนั้นเป็นหน้าที่ของ Bass Brothers สองพี่น้องที่เคยมีส่วนร่วมกับ The Slim Shady EP
5.เพลงแนะนำตัวสุดฉาว My Name Is ที่โดนแม่ฟ้องร้องฉ่ำ แถมเจ้าของเพลงที่ใช้แซมเปิ้ลยื่นเงื่อนไขที่ปฏิเสธไม่ได้
-นี่ไม่ใช่เพลง introduce yourself ที่ธรรมดา แต่ยังเป็นหนึ่งในเพลงที่ตอกย้ำ “อดีตเคยแรง” ของแรปเปอร์ผิวขาวรายนี้ นอกจากจะก่อร่างสร้างตัวละคร Slim Shady ออกมาให้ทุกคนได้รู้จักโลกอันบิดเบี้ยวแล้ว ยังมีวีรกรรม “ด่าแม่” ลงบนเพลงออกสู่สาธารณชนอย่างเอิกเกริกด้วย
"99% of my life I was lied to, I just found out my mom does more dope than I do"
ท่อนเจ้าปัญหาที่โดน คุณแม่ Debbie Mathers ฟ้องร้อง
-นี่คือท่อนเจ้าปัญหาที่คุณแม่ Debbie Mathers ได้ทำการฟ้องร้องลูกชายแท้ๆของเธอเองด้วยค่าเสียหายสูงถึง 10 ล้านดอลล่าร์โทษฐานทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยท่อนข้างต้นที่แปลไทยว่า “ชีวิตของผม (Eminem) แทบจะโดนหลอกเกือบทั้งชีวิต และผมก็จับโป๊ะได้ว่า แม่ผมเล่นยาหนักกว่าผมอีก”
-ต่อมาในปี 2001 ศาลตัดสินให้คุณแม่ได้เงินชดเชยค่าเสียหายจำนวน 25,000 ดอลล่าร์ โดยหักค่าทนายไปประมาณ 23,400 ดอลล่าร์ เบ็ดเสร็จแล้วคุณแม่ Debbie ได้เงินชดเชยค่าเสียหายสุทธิแค่ 1,600 ดอลล่าร์เท่านั้น ทั้งนี้ลูกชายตัวแสบของคุณแม่ก็ยังไม่หยุดที่จะเยาะเย้ยคุณแม่ด้วยการดิสแม่ด้วยท่อน "I just settled all my lawsuits, fuck you Debbie!" (กูเพิ่งปิดคดีฟ้องร้องทั้งหมดได้ ไปตายซะ Debbie) ในเพลง Without Me อีกด้วย
When I was little, I used to get so hungry I would throw fits
How you gonna breastfeed me, Mom? You ain't got no tits
อีกหนึ่งท่อนจิกกัดคุณแม่ Debbie ที่ขอระบายความอัดอั้นลงในหนังสือ My Son Marshall, My Son Eminem
-ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีคอนเทนท์จิกกัดคุณแม่ Debbie ว่า “นมแบน” อีกต่างหาก ต่อให้ท่อนดังกล่าวจะไม่ได้ถูกบรรจุในถ้อยคำการฟ้องร้อง แต่คุณแม่ก็ระบายความอึดอัดผ่านหนังสือ My Son Marshall, My Son Eminem ที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อปี 2008 โดยระบุว่า นี่คือท่อนที่คุณแม่ได้ยินแล้วรู้สึกแย่ที่สุด พร้อมอธิบายว่า การที่เธอไม่สามารถให้นมบุตรได้ก็เพราะเลือดเธอเป็นพิษต่างหาก จบเคสคุณแม่แต่เพียงเท่านี้
-เคสต่อมาเป็นการขออนุญาตใช้เพลงแซมเปิ้ล ซึ่งเพลง My Name Is มีแซมเปิ้ลเพลง I Got The… ของ Labi Siffre นักร้องหนุ่มอังกฤษที่ประกาศตัวเองว่าเป็นเกย์อย่างเปิดเผย เมื่อ Labi ได้ยินเนื้อเพลงเวอร์ชั่นดั้งเดิมที่มีสตอรี่ทั้ง ครูเกย์อยากเอาตูดนักเรียน และ ข่มขืนพวกเลสเบี้ยน เป็นต้น Labi ก็รู้สึกกระอักกระอ่วมเป็นแน่แท้อยู่แล้ว แกเลยยื่นเงื่อนไขที่ว่า ต้องแก้เนื้อเพลงใหม่เท่านั้นจึงจะยินยอมให้นำเพลงของเขาไปแซมเปิ้ลได้
-ทางด้าน Eminem ก็ดูเหมือนจะหัวเสียที่ต้องแก้เนื้ออีกทั้งๆที่ทุกอย่างก็ลงตัวแล้ว ต่อให้ Dr.Dre ทำบีทใหม่โดยที่ไม่ต้องใช้แซมเปิ้ลเพลงของ Labi ก็ได้ แก้บีทใหม่เนื้อเดิมจนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรลงตัวไปกว่าการมีเพลงของ Labi เป็นวัตถุดิบสำคัญ เลยตัดสินใจยินยอมแก้เนื้อเพลงใหม่แต่โดยดี ทั้งนี้เพลงเวอร์ชั่นดั้งเดิมแบบ unsensored ก็ยังคงหลุดออกมาให้ได้ฟังกัน
ปกอัลบั้ม Remember My Song ของ Labi Siffre
-Labi Siffre ก็ไม่พลาดที่ด่า Eminem ย้อนหลังในวาระโอกาสที่แกได้ re-release อัลบั้ม Remember My Song โดยกล่าวว่า “มุกที่ Eminem ไปเหยียดเกย์และเลสเบี้ยนนั้นช่างเป็นอะไรที่ขี้เกียจสิ้นดี ถ้าอยากจะเหยียดทั้งที แกต้องพุ่งเป้าไปที่ผู้กระทำ ไม่ใช่เหยื่อโว้ย” อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพลง I Got The… ถูกนำมาแซมเปิ้ล ก่อนหน้านั้นก็ถูกแซมเปิ้ลมาแล้วในเพลง Streets Is Watching ของ Jay-Z เมื่อปี 1997
ปล.มีทฤษฎีสุดล้ำที่ตั้งข้อสงสัยว่า Eminem จงใจทำท่อนฮุก My Name Is ให้เล่น reverse ได้ โดยประโยค Hi my name is Slim Shady เมื่อเล่นแบบ reverse จะได้อีกประโยคนึงเป็น "It's Slim, It's Eminem." ลองจิ้มคลิปข้างล่างนี้ดูครับ
6.แรงบันดาลใจเพลง Guilty Conscience มาจากภาพยนตร์เรื่อง Animal House (1978) และต้นกำเนิดตัวละคร Stan โดยบังเอิญ
-Guilty Conscience อีกหนึ่ง hilight track ที่ได้ Dr.Dre มาร่วมฟีทชนิดที่ลบภาพจำ gangster rapper ขุนพลจาก N.W.A ลงมาเล่น role play ร่วมกับแรปเปอร์ผิวขาวหน้าใหม่ที่แต่งเพลงด้วยสตอรี่สมมติสุดวายป่วงของ 3 ชายหนุ่มที่กำลังตัดสินใจทำชั่ว เรียงตามลำดับตั้งแต่ ปล้นร้านเหล้า เปิดซิงสาววัย 15 และเมียแอบมีชู้ โดยมีพรายกระซิบ Dr.Dre เป็นเทวดา และ Eminem เป็นยมทูตตอบโต้กันไปมา นี่ถือเป็นเพลงที่โชว์ความครีเอทีฟในการใส่แฟนตาซีตลกร้ายของแรปเปอร์ผิวขาวได้อย่างสนุกที่สุด
-ไอเดียของเพลงนี้บังเกิดตอนที่ Eminem และ Dr.Dre ไปออกกำลังกายที่ยิม แล้วก็คุยกันว่า อะไรที่ทำให้คนตัดสินใจทำชั่ว? ถอดรหัสความคิดจนนาย Marshall นึกถึงฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Animal House ที่ตัวละครผู้ชายกำลังตัดสินใจจะสบโอกาสข่มขืนผู้หญิงคนนึง โดยมีพรายกระซิบทั้งนางฟ้าและยมทูตเถียงกันว่าจะทำยังไงดี? ซีนดังกล่าวเลยถูกต่อยอดมาเป็นเพลง Guilty Conscience อย่างที่เห็น
โดยตอนจบของซีนนี้ในหนังจริง ชายหนุ่มตัดสินใจไม่สบโอกาสข่มขืนผู้หญิง ซึ่งแตกต่างจากเพลงที่ Eminem ตั้งใจทิ้งตอนจบของแต่ละ verse อย่างคลุมเครือ
-ถ้าใครสังเกตใน Verse 2 ที่จะมีตัวละครชื่อ Stan กำลังตัดสินใจเปิดซิงสาวเด็กต่ำกว่า 18 ซึ่งไอ้หนุ่มชื่อ Stan ดันบังเอิญเป็นชื่อเดียวกันกับซิงเกิ้ลสุดคลาสสิคในอัลบั้มถัดมาด้วย ซึ่งว่าด้วยติ่งคลั่งไคล้ Eminem เขียนจดหมายไปหา แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับใดๆเลย จนเอาความโกรธไปลงกับเมียท้องแก่จนเกิดเหตุโศกนาฏกรรมเกิดขึ้น
-ซึ่งแฟนเพลงก็เอาไปตีความอย่างสนุกเลยครับว่า การที่เมีย Stan ท้องแก่เนี่ยเป็นผลมาจากเหตุการณ์ในเพลง Guilty Conscience แน่ๆ โดย Eminem เองก็นึกไม่ถึงเลยว่า ชื่อตัวละครดังกล่าวจะถูกกลายมาเป็นชื่อเพลงสุดคลาสสิคในเวลาต่อมา Eminem ก็ทิ้งคำตอบกับ Kronick Magazine แบบปล่อยเบลอไว้ว่า
“การที่คุณถามว่า Stan ในเพลง Guilty Conscience เป็นคนๆเดียวกันในเพลง Stan หรือเปล่าฦ เป็นคำถามที่โคตรดีเลย ผมก็นึกไม่ถึงในจุดนี้มาก่อน ซึ่งมันก็น่าจะเป็นเช่นนั้นแหละมั้ง”
-คนที่ให้เสียงเกริ่นนำเรื่องราวทั้ง 3 verse เป็นนักพากย์สารคดี National Geographic นามว่า Mark Avery
7.ประสบการณ์โดนบูลลี่ในเพลง Brain Damage ผู้กระทำดิ้นฟ้องกลับ แต่ศาลยกฟ้องด้วยกลอนแร็ป
-Fact นี้เริ่มต้นอย่างดาร์ค แต่จบโคตรเท่ห์เลยครับท่านผู้อ่าน แทร็คลำดับที่ 4 ซึ่งเป็น Non-Single ที่สาธยายคาแรคเตอร์อันฟั่นเฟือนของ Slim Shady ที่ส่วนนึงมาจากสารเคมีจากยาเสพติดที่แม่ของเขาเล่นจนมันหลั่งไหลตอนที่เขาอยู่ในครรภ์ ซึ่งก็อ้างอิงแซมจิกกัดคุณแม่ต่อเนื่องจากเพลง My Name Is แค่ประเด็นจิกกัดแม่ไม่ได้ถูกฉายออกมามากเท่ากับ My Name Is อันเป็นซิงเกิ้ลที่ฮิตเปรี้ยงปร้าง และดูจะเป็นเรื่องมโนเสียมากกว่า
-แต่ประเด็นหลักของเพลงนี้ดันท้าวความถึงประสบการณ์จริงของ Eminem ที่โดนบูลลี่ในช่วงประถมศึกษาโดยเด็กอ้วนนามว่า D’Angelo Bailey ที่ใช้กำลังกลั่นแกล้งเด็กชาย Marshall จนสมองโดนกระทบกระเทือนอยู่ในสภาพโคม่า (อันเป็นที่มาของชื่อเพลง) ต่อให้เกิดขึ้นนานแล้ว แต่ Eminem ก็จำฝังใจและหาโอกาสเอาคืนด้วยการระบายลงไปในเพลงนี้โดยที่ระบุชื่อ-นามสกุลจริงโต้งๆเลย ซึ่ง Eminem ก็ตอกย้ำผ่าน Rolling Stone ว่าดีเทลที่เล่าในเพลงนั้นจริงแท้ 100%
-ผ่านไป 2 ปีตั้งแต่ที่เพลงนี้ถูกปล่อยออกไปพร้อมกับอัลบั้ม ชื่อเสียง Eminem กำลังขึ้นสู่จุดพีคในสายอาชีพ นาย D’Angelo Bailey ก็ใช้โอกาสนี้ฟ้องกลับ Eminem บ้างครับ ด้วยความหัวใสที่วีรกรรมดังกล่าวก็เกิดขึ้นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และไม่มีหลักฐานมากพอที่จะพิสูจน์อะไรมากนอกจากเรื่องเล่าในอดีตของเหยื่อ นาย D’Angelo เลยฟ้องไปฉ่ำๆ 1 ล้านดอลล่าร์ฐานหมิ่นประมาท
ปี 2003 ศาลกลับเข้าข้าง Eminem ด้วยการยกฟ้องจำเลย นาย D’Angelo Bailey เลยอดแดกค่าเสียหาย แถมผู้พิพากษาหญิงนามว่า Deborah Servitto ยังแต่งกลอนแรปตอบโต้จนได้ใจสาวกกันถ้วนหน้า ถึงขั้นยกให้ผู้พิพากษาหญิงท่านนี้เป็นตำนานแรปเปอร์ฟอร์มบัลลังก์ศาลเลยทีเดียว
8.โกหกเมียว่าพาลูกสาวไปเที่ยว แต่หอบลูกไปร่วมอัดเสียงในเพลง '97 Bonnie & Clyde
-'97 Bonnie & Clyde คือเพลงฮิปฮอป horrorcore ของแท้ที่ต่อมา Eminem ตัดสินใจทำเพลง Prequel เพื่อเล่าซีนฆาตกรรมเต็มๆในเพลง Kim ที่ถูกบรรจุในอัลบั้มถัดมา The Marshall Mathers LP เพราะฉะนั้นถ้าเรียงตามไทม์ไลนสตอรี่คนฆ่าเมีย เริ่มจาก Kim แล้วต่อด้วย '97 Bonnie & Clyde เพื่อปะติดปะต่อสตอรี่แบบเต็มๆ (จินตนาการตามปกอัลบั้มเป๊ะเลยครับ) หลายคนคงทราบกันดีว่า Hailie Jade ลูกสาวตัวน้อยในช่วงนั้นได้ร่วมแจมเพลงนี้เป็นเพลงแรกในชีวิตของเธอ ซึ่ง Hailie ตัวน้อยก็ถูกคุณพ่ออุ้มกระเตงมาให้เสียงที่สตูดิโอจริงๆ
-กว่าจะได้ Hailie ตัวน้อย มาร่วมอัดเสียงเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญของเพลงนี้ Eminem จำเป็นต้องโกหก Kim ด้วยการบอกว่า จะพาน้อง Hailie ไปร้านฟาสต์ฟู้ด Chuck E. Cheese แต่ก็โดน Kim จับได้ว่า กระเตงลูกไปแจมในเพลงที่ตัวเองได้กลายเป็นเหยื่อโดนฆาตกรรมแล้วโดนทิ้งศพลงแม่น้ำในเพลง สุดท้าย Eminem ก็เล่นเพลงนี้ให้เมียฟังซึ่งก็หัวเสียไปตามระเบียบ
-แรงบันดาลใจเพลงฆาตกรรมเมียมาจากความโกรธเมียที่ไม่ยอมให้มาพบเจอลูกในช่วงที่พวกเขาเลิกรากัน ด้วยความที่ Eminem อยากเจอลูกมาก การที่เมียกีดกันไม่ให้มาเจอ Eminem เลยเก็บความโกรธมาลงที่เพลงอย่างที่เห็น เพลงนี้เกือบได้ Marilyn Manson ร็อคเกอร์หน้าผีมาร่วมแจม แต่ก็ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่เพลงนี้ยังไม่สามารถ represent ตัวตนของเขาในยุคนั้นได้ดีพอ
9.ตัวละครเกย์หื่น Ken Kaniff
-ตัวละคร Ken Kaniff ถือเป็นอีกหนึ่งตัวละครเอกในจักรวาล Eminem ที่มีคาแรคเตอร์เป็นเกย์โรคจิตที่คอยคุกคาม Eminem อยู่บ่อยๆ โดยคนที่ให้เสียงเป็นตัวละครในปฐมบทนี้เป็นแรปเปอร์ใต้ดินนามว่า Aristotle ถ้าใครสังเกตใน skit นี้จะได้ยินเสียงที่นาย ดันหลุดขำด้วย ซึ่งการออกแบบตัวละครนี้ไม่ได้มีแค่เย้าแหย่เกย์เท่านั้น แต่ยังทำการดิสแรปเปอร์ใต้ดินที่ Eminem ดันไปมี beef ในเวลานั้นด้วย
-เมื่ออัลบั้มนี้ดัง ดูเหมือนว่านาย Aristotle จะไม่ค่อยสบอารมณ์กับ skit นี้เท่าไหร่ แล้วกล่าวโทษว่า Eminem นำคลิปเสียงนี้ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งสองเลย beef ด้วยกันเสียเอง นั่นเป็นเหตุให้ Ken Kaniff ในอัลบั้มต่อๆมา Eminem ต้องเป็นคนพากย์เสียงตัวละครนี้แทน
10.ที่มาของการทาบทาม Zoe Winkler ลูกสาวนักแสดงตลก Henry Winkler มาให้เสียง voicemail ใน B**ch (Skit)
-B**ch (Skit) เป็น voicemail ที่ให้เสียงโดย Zoe Winkler ลูกสาวนักแสดงตลก Henry Winkler ที่มาสวมบทบาทผู้หญิงที่อยากระบายให้นาย Justin ฟังถึง reaction ที่เธอมีต่อ The Slim Shady LP แล้วรู้สึกรับไม่ได้ที่เนื้อหาเพลงของ Eminem อุดมไปด้วยความรุนแรงและเกลียดผู้หญิงออกนอกหน้า โคตรน่ารังเกียจที่สุดเท่าที่เคยฟังมา ถึงขั้นจะไปฟ้องร้องเรียนเอเจนต์ของ Eminem ว่า ปล่อยเพลงน่ารังเกียจแบบนี้ออกมาให้ชาวโลกฟังได้ยังไงคะ?
โดยจุดประสงค์ของ Skit นี้คงไม่มีอะไรไปมากกว่า เหน็บตัวเองประชดประชันเพื่อดักทัวร์ลงในช่วงนั้นนั่นเอง (ซึ่งก็ไม่ได้ผล ฮ่าๆๆ)
Zoe Winkler และคุณพ่อ Henry Winkler
-การที่ทาบทาม Zoe Winkler มาได้ กลับไม่ใช่ด้วยเงินที่ตอนแรก Eminem เสนอค่าตัวให้โซอี้ 300 เหรียญสหรัฐ โซอี้ก็ใจดีปฏิเสธไม่ยอมรับค่าตัว โดยยื่นเงื่อนไขสุดน่ารักนั่นคือ ให้ Eminem พาโซอี้ไปทานอาหารมื้อค่ำแทน ถึงจะยอมออกมาให้เสียง voicemail ได้ โดยใน clean version ชื่อของ Skit นี้จะเปลี่ยนเป็น Zoe แทน
11.เรื่องจริงอันแสนหดหู่ที่ซ่อนในเพลง Cum on Everybody
I tried suicide once and I'll try it again
That's why I write songs where I die at the end
ท่อนที่ Eminem กล่าวถึงว่าเคยคิดสั้นใน Cum on Everybody
-ใครจะไปคิดว่าเพลงจังหวะสนุกๆอย่าง Cum on Everybody ที่ว่าด้วยปาร์ตี้เซ็กส์หมู่จะแอบซ่อนความจริงอันแสนเจ็บปวด โดยแทรกปมส่วนตัวที่ครั้งนึง Eminem เคยตั้งใจฆ่าตัวตายจริงๆเมื่อปี 1997 ตามที่ได้แรปในท่อนที่ยกมาข้างต้น
-ซึ่งในปีดังกล่าวแกก็อยู่ในช่วงที่ไม่ได้รับการจดจำจากเดบิวต์อัลบั้มแรก Infinite บวกกับภาวะถังแตกเลยทำให้แกซึมเศร้า กินยาอยู่บ่อยๆ พลางเขียนเพลงที่กล่าวถึงการตายของแกในหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือเพลง Murder, Murder ที่อยู่ใน The Slim Shady EP ซึ่งแกเลือกเขียนตอนจบให้โดนตำรวจยิงตาย
12.My Fault เพลงที่ได้ไอเดียมาจากเพื่อนซี้เมายาแล้วเผลอระบายเรื่องบัดซบให้ฟัง
-สำหรับเพลง My Fault เป็น storytelling ที่เล่าความชิบหายของวัยรุ่นที่แบ่งเห็ดเมาให้เพื่อนสาวร่วมทริปเสพจนฟื้นไม่ขึ้น โดยแรงบันดาลใจของเรื่องแต่งก็มาจากเพื่อนซี้สมัยก่อนมีชื่อเสียงที่ดันเมายาอย่างหนักแล้วเผลอระบายความบัดซบให้นาย Marshall ฟัง
“My Fault เป็นเรื่องหนึ่งในเพื่อนชายของผมที่ดันเมายาอย่างหนัก แล้วเผลอระบายเรื่องบัดซบให้ผมฟัง บ่นว่าตัวเองแม่งไร้ค่าขนาดไหน ตกงานได้ยังไง เมาจัดจนเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า ร้องห่มร้องไห้จนผมปลอบใจว่าไม่เป็นไร ผมเลยปิ๊งไอเดีย แต่งเรื่องราวบัดซบนี้ โดยเปลี่ยนเหยื่อจากชายเป็นหญิงแทน“
-ตอนแรก Eminem หมายมั่นให้ตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิ้ล หลังจากปล่อย My Name Is ถึงขั้นทำ clean version สำรองไว้ แต่ค่าย Interscope ก็ปัดตกความคิดนี้ไป เพราะไม่อยากให้ภาพจำของ Eminem ดรอปเป็นวัยรุ่นจ๋าจนเกินไป หลังจากที่ปูทางความกวนตีนจาก My Name Is มาแล้ว
13.ที่มาของเพลงสู้ชีวิต Rock Bottom
-หลายคนอาจรับรู้ว่าอัลบั้มนี้มีแต่ด้าน horrorcore วิปลาส ตลกร้าย เกรียนปั่นประสาทเป็นส่วนมาก แต่หารู้ไม่ว่า The Slim Shady LP ก็มีเพลงโหมดสู้ชีวิตเหมือนกันครับ ซึ่งก็คือ Rock Bottom นั่นเอง นี่คือเพลงที่กลั่นมาจากประสบการณ์ชีวิตที่อยู่ในช่วงก่อนมีชื่อเสียงในช่วงรอยต่อระหว่าง EP และ LP ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะไปแข่ง Rap Olympics ที่ตอนนั้นยังคงมีสถานะยาจกตกต่ำสมชื่อเพลง
-ไล่ตั้งแต่ การโดนไล่ออกจากงานที่ร้านอาหารจนไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อของขวัญวันเกิดให้ลูกสาว ติดยาอย่างหนัก โดนเมียไล่ออกจากบ้านจนต้องไปนอนข้างทาง ในระหว่างที่เป็นคนไร้บ้านนั้นก็ได้รับข้อเสนอจากชายแสนดี(แบบใด ?)ท่านนึง เสนอค่าเช่าบ้านแสนถูก แต่กลับโดนโกงเก็บค่าเช่าแล้วเชิดหนีไป เมื่อเจ้าของบ้านเช่าตัวจริงมาทวงค่าเช่า ความซวยเลยตกไปที่นาย Marshall และตอนนั้นเขาเลยเกิดแรงปากกัดตีนถีบขึ้นมาจนบังเกิดเป็นเพลงนี้
14.ผลงานภาพปกอัลบั้มถ่ายโดยช่างภาพ Danny Hastings
คนที่มาถ่ายภาพปกสุดทริลเลอร์นี้นี้คือ Danny Hastings เจ้าของผลงานภาพปกอัลบั้มฮิปฮอปสุดคลาสสิคมากมาย อาทิเช่น Enter the Wu-Tang (36 Chambers) - Wu Tang, I Am - Nas, Only Built 4 Cuban Linx… - Raekwon เป็นต้น
คอลเลคชั่นภาพถ่ายยุค The Slim Shady LP ของ Danny Hastings
คอลเลคชั่นภาพถ่ายยุค The Slim Shady LP ของ Danny Hastings
ผลงานภาพถ่ายปกอัลบั้มฮิปฮอปในตำนานอื่นๆของ Danny Hastings
15.หลังจากปล่อยอัลบั้ม Eminem ยังคงอาศัยอยู่ในรถบ้านเป็นเวลา 2-3 เดือน
ต่อให้ยอดขายอัลบั้มเปิดตัวด้วยอันดับ 2 Billboard 200 ด้วยยอดขายกำลังสวย 283,000 ก็อปปี้ เป็นช่วงที่ลืมตาอ้าปากพอจะเช่าบ้านได้ แต่ Eminem ก็ยังกลับไปอาศัยอยู่ที่รถบ้านด้วยระยะเวลาแค่ 2-3 เดือนเท่านั้น
“หลังจากที่ผมได้เซ็นสัญญา แม่ของผมก็ย้ายกลับมาที่แคนซัสซิตี้ ผมรับช่วงจ่ายเงินค่ารถพ่วงของแม่เอง”
จบแล้วกับ 15 Facts มันส์ๆเกี่ยวกับ The Slim Shady LP ต้อนรับ The Death of Slim Shady (Coup De Grâce) ที่อาจจะมาในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้
โฆษณา