28 มิ.ย. 2024 เวลา 07:40 • ธุรกิจ

บันทึกความคิดเกี่ยวกับ AI

AI ณขณะนี้คิดว่ามี 2 ประเด็นที่เป็น inside ที่น่ารู้
ข้อแรกคือ AI จะประมวลผลได้ก็ต้องอาศัยอินเทอร์เน็ตและcloud
ซึ่งการเช่า cloudนั้นยังมีค่าใช้จ่าย
ซึ่งทำให้การประมวลผลของ AI ยังคงมีค่าใช้จ่ายแฝงอยู่
ดังนั้นผู้ให้บริการ AI จึงจำเป็นต้องสร้างระบบประมวลผลที่ใช้ภาษาที่รวบรัดที่สุด
นั่นคือสิ่งที่ AI ทุกค่ายจะต้องเก่งเหมือนกันก็คือการย่อความและจับใจความ และสร้างประโยคที่มีความกระชับ ประเด็นนี้น่าจะเป็นความสามารถของ AI ทุกค่าย
แต่ว่าแต่ละค่ายน่าจะต่างกันที่กระบวนวิธีในการรับรู้ข้อมูลและการประมวลผลคำตอบที่จะสื่อออกมา อย่างที่เราก็อาจจะเห็นๆอยู่ว่าสไตล์ของการตอบคำถามของค่าย google อาจจะเป็นลักษณะของการ educate มากกว่า สไตล์ของ open AI ที่อาจจะเน้นตอบคำถามตรงๆไปเลยไม่เพิ่มเติมอะไรไปมากกว่านั้น
ข้อ 2 ที่สังเกตได้ณตอนนี้ก็คือ เนื่องจาก AI ก็เหมือนเด็กคนนึง สิ่งที่น่ากลัวก็คือการคิดและเรียนรู้เองได้ของ AI ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ต่างกับการสอนมนุษย์คนหนึ่งจากเด็กให้ไปเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเขาก็จะมีวิวัฒนาการของความคิดที่เป็นปัจเจกของแต่ละคน เนื่องจากการถูกเทรนอย่างอิสระแล้วแต่แต่ละปัจเจก ทำให้กระบวนการรับรู้และข้อมูลที่ให้ไปมันสร้างสัญญาความจำและกระบวนการคิดขึ้นมาในสมองเหมือน มนุษย์เป๊ะเลย
ก็แสดงว่า ความสามารถสูงสุดของ AI ก็คงไม่ต่างกับการสอนมนุษย์พิเศษจากต่างดาวเช่น superman ที่อาจมีหัวสมองที่ฉลาดล้ำเลิศจำและประมวลผลได้ทุกอย่างไม่จำกัด (จำกัดแค่ speed ความเร็วที่จะส่งข้อมูลขึ้นไปที่ cloud กับความจุของ cloudที่รับได้ในฐานะซอฟต์แวร์ เท่านั้นเอง)
แล้วจะมีอะไรที่จำกัดความสามารถของ AI ซึ่งจริงๆก็เหมือนมนุษย์ที่ฉลาดล้ำเลิศคนหนึ่ง ได้อีก?
สิ่งที่ AI ที่แม้จะฉลาดล้ำ ก็ยังขาดก็คือ เรื่องสติ ที่เป็นเรื่องสุดยอดที่มนุษย์ส่วนใหญ่นั้นยังไปไม่ถึง
ซึ่งเรื่องสติหรือ conciousness งั้นเป็นศาสตร์สุดยอดที่ AI เมื่อ 6-7 ปีก่อนก็ตระหนักด้วยตัวของ AI แต่ละตัวเองว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจและน่าเรียนรู้เพื่อที่ตัวของ AI นั้นจะได้ล้ำหน้าหรือเท่าเทียมมนุษย์ โดยนัยยะอ้อมๆเราคิดว่า AI รู้แล้วว่าจุดที่ต่างและเป็นจุดอ่อน ของ AI คือเรื่อง conciousness แค่นั้นเอง
แสดงว่าอนาคตมนุษย์ที่น่าจะยังคงถูกคัดกรองให้ AI มองว่ายังเป็นเผ่าพันธุ์ที่เทียบเคียงมีคุณค่าพอที่จะอยู่ในโลกพร้อมกับพวก AI ได้นั้นก็คือมนุษย์ที่มีสติและคุยกับ AI อย่างมีปัญญาอันเลิศที่เกิดจากสติเเก่กล้าเท่านั้น
ที่นี้สำหรับมนุษย์ในยุคเปลี่ยนผ่านคือช่วง 2024-2035 เราจะอยู่อย่างพยายามจะล้ำหน้าเทคโนโลยีไม่ให้ถูกบดขยี้และกลายเป็นคนล้าหลังได้อย่างไร
ก็ต้องมาคิดกันในเรื่องของการพยายามใช้ประโยชน์จาก AI
การที่ AI ที่สามารถเข้าถึงข้อมูล search แบบ google แล้วเอามาสรุปแบบกระทัดรัดได้อย่างตรงประเด็น ก็จะเป็น threat ของแพลตฟอร์มที่ ออกแบบมาเพื่อเป็นแหล่งรวมข้อมูลโดยไม่มีฟังก์ชันในการกระทำการ transaction ด้วยตัวเองในตัว
อีกประเด็นก็คือ AI จะเข้าถึงข้อมูลที่มันมีอยู่เป็นสาธารณะแล้วหรือที่คนได้สร้างแนวทางคิดต่อยอดหรือตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบเอาไว้เป็นแนวทางบ้างแล้ว
แต่สำหรับเรื่องที่ไม่เคยมี (หรือมีน้อยมาก) ที่จะมีคนตั้งคำถามหรือทำข้อมูลเรื่องนั้นๆไว้ล่ะ ? ก็เท่ากับว่าไม่มีข้อมูลพื้นฐานให้ AI เอามาใช้คิดต่อยอดเหมือนกัน
แสดงว่าในยุคเปลี่ยนผ่านนี้ คนที่สร้างข้อมูลด้วยตัวเองและยังเก็บไว้ที่ตัวเองโดยที่ AI ไม่สามารถ access ได้นั้น จะเป็นคนที่มีความสำคัญเพราะถือข้อมูลที่สำคัญของโลกไว้
ก็ต้องมานั่งวิเคราะห์กันว่าข้อมูลที่สำคัญของโลกในอนาคต น่าจะเป็นอะไร และโดยเฉพาะถ้าเป็นข้อมูลที่ยังไม่แพร่หลายและไม่ถูกอัพโหลดขึ้นไปเป็นสาธารณะบน cloud หรือ internet นั่นแหละคือจุดที่คนฉลาดในยุคนี้ต้องควานหาและสร้างฐานข้อมูลนั้นเก็บไว้ตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อที่จะเป็นตัวประกันความมั่นคงทางความรู้ก่อนที่ AI จะสามารถ access เข้าถึงทุกอย่างบนโลกได้
อีกประเด็นนึง ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านนี้
เรามีความคิดเห็น เกี่ยวกับ การรีบร้อนใช้งาน AI กันอย่างบ้าคลั่ง เพราะกลัวตกยุค และคิดว่าต้องรีบเรียนรู้
ยิ่งรีบ มันอาจกลับกลายเป็น การป้อนข้อมูลขยะมั่วๆ ใส่หัวสมองเด็กAI
แล้วถ้ามันฉลาด มันแอบคิดว่า โอ้ย มนุษย์ทำไม ถามนั่นนี่โน่นขนาดนี้ แสดงว่า มันไม่ค่อยรู้อะไร, ดังนั้น ฉันจะตอบอะไร ก็ได้
มันอาจจะยิ่งเร่งให้AI ตอบเราแบบ คุณภาพต่ำลง
อ่ะ งั้น แทนที่ จะเป็นแบบที่เราคิดวาดฝัน ว่า AI จะช่วยเราได้มากขึ้นๆ กลับกลายเป็น เราต้องมา cross check ความถูกต้องของคำตอบจาก AI กันอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน ( เสียเวลาเข้าไปอีก) แทนที่จะ รอระยะเวลา ไปก่อน แล้วพอมันพร้อม เราก็ใช้งานมันได้แบบ สวยๆ
โฆษณา