29 พ.ค. เวลา 09:36 • ครอบครัว & เด็ก

Ep. 24 กาลครั้งหนึ่ง > Part 2 เนิ่นนาน

“ชูชก” ในตำนานพุทธประวัติ และพระไตรปิฎก มากมาย เกิดมาเพื่อเป็นคู่บารมีของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ทั้งเป็นผู้รับ และผู้ให้ เป็นคนที่เก็บหอมรอมริบ มัธยัสถ์จนมั่งมีเงินทอง มีภรรยาสวยงดงาม และมีสติปัญญา เฉลียวฉลาด สามารถหลุดพ้นด่านต่าง ๆ จนไปถึงเขาวงกต ขอชาลี กัณหาจากพระเวสสันดรจนสำเร็จ
ไสยเวท เชื่อว่า “ชูชก” เป็นเจ้าแห่งโภคทรัพย์ จึงสร้างเป็น "เฒ่าชูชก" เชื่อว่า ผู้บูชาจะขอได้ทุกอย่างเหมือนดั่งชูชกในพุทธประวัติ
—--
ฉันกับอดีตสามีคุยกันว่า เรา 2 คน จะไม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูกอีกแล้ว แล้วช่วยเลิกพูดเรื่องอดีตความสัมพันธ์ของเราที่จบไปนานมากแล้ว ฉันรำคาญ ฟังแล้วหงุดหงิด โมโห ฉันติดต่อกับลูกครั้งนี้ เพราะในอนาคตลูกฉันจะหมดที่พึ่งพิง พ่อไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน ย่าวันนึงต้องออกจากงาน มีภาระเลี้ยงดูทั้งปู่ อดีตสามี และลูกฉัน ถ้าฉันกับลูกติดต่อกันไว้ ลูกฉันจะไม่ลำบาก ลูกจะมีตัวเลือกในชีวิตมากขึ้น ฉันยื่นข้อเสนอ
อดีตสามีของฉันตกลงรับปาก แต่วันนี้ขอคุยเรื่องอดีตวันสุดท้าย “อะไร!!” ฉันตอบตะคอกเอือมระอาเต็มทน
“ทำอะไรอยู่” อดีตสามี กล่าวทักทายฉันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ทำงาน” ฉันตอบ
“เราเลิกกันจริง ๆ แล้วหรอ” อดีตสามีถามฉัน
“ถามโง่ ๆ ใช่ ประสาทหรือเปล่า 10 ปีมาแล้ว ทำไมล่ะชีวิตเธอยังอยู่ที่เดิมหรอ” ฉันตอบแบบคนอารมณ์เสีย แต่เอาจริง ๆ ฉันอยากด่าเขาทุกคำพูดมากกว่า ฉันรังเกียจ
ฉันไม่สามารถคุยดีกับอดีตสามีได้จริง ๆ ฉันหงุดหงิดหลายครั้ง ฉันพยายามแล้ว
“เราเลิกกันเพราะพ่อเธอ ๆ รู้หรือเปล่า” อดีตสามีพูด
“ถ้าฉันเป็นคนเชื่อพ่อแม่ ชีวิตฉันไม่โง่เลือกเธออย่างแน่นอน 10 ปีมาแล้ว เธอตั้งใจจะไม่ฉลาดขึ้นจริง ๆ หรอ” ฉันถามกลับ
“ทำไมอะ ทำไมเราต้องเลิกกัน ฉันไม่เคยปล่อยให้เธออด ทำไมไม่คุยกันก่อน” อดีตสามีพูด
“ไม่มีอะไรต้องคุย ใช่ ไม่เคยให้อด แต่ครอบครัวเธอสอนให้ฉันอยาก เช่น อยากเจริญ อยากชีวิตดีกว่านี้ ถ้าแค่อดไม่มีใครอด แต่อยากนี่สิ” ฉันตอบ
“คนที่ทำให้เราเลิกกันคือพ่อเธอ มาเอาลูกฉันไป คิดว่าถ้าเอาลูกไป แม่ก็ต้องตามไปสินะ” ฉันถาม อาการโมโหค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในความรู้สึกฉัน
“ใช่” อดีตสามีตอบ
“ก็โง่ไง ถ้าเธอไม่กลับมาเอาลูกไป เธอจะมาเยี่ยมลูกบ่อย ๆ สักวันฉันก็จะใจอ่อนลง แต่นี่เธอมาเอาลูกไป สิ่งที่ครอบครัวเธอให้ฉันคือ ความใจร้าย บีบ บังคับ ตลอด 10 ปี ฉันความเจ็บแค้น ชิงชัง รังเกียจ ขยะแขยง ดูถูก ครอบครัวเธอ เราญาติดีกันไม่ได้จริง ๆ ” ฉันพูด
นักจิตบำบัดคนหนึ่ง ทอม บรูเอตต์ (Tom Bruett) กล่าวไว้ว่า คนบางคนยังปักใจอยู่กับความสัมพันธ์ที่จบลงไปแล้ว มีเหตุผลทางจิตวิทยาง่าย ๆ คือ ลึก ๆ อาจจะเต็มไปด้วย ‘ความเสียดาย’ ที่ในช่วงเวลานั้น เรามีโอกาสได้ทำอะไรดี ๆ เพื่อกันและกันมากมาย แต่สุดท้ายก็ลืม ละเลย ไม่เคยได้ทำจนกระทั่งความสัมพันธ์สิ้นสุดลง จึงอยากมีโอกาสนั้นอีกครั้ง เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดที่อยู่ในจิตใจ และรู้สึก ‘ปลอดภัย’ กับอะไรที่ ‘คุ้นเคย’ (familiarity) อยู่แล้ว
นักจิตวิทยาคลินิก โจชัวร์ คลาปาว (Joshua Klapow) ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ความว่างเปล่า ความเหงามักทำให้เหมารวมไปว่า “ฉัน/เขาเปลี่ยนไปแล้วนะ” แต่นั่นไม่ใช่เลย สุดท้ายก็ไม่มีใครเปลี่ยนไป
—--
“ฉันเจอลูกแล้ว ลูกรู้จักฉันแล้ว เลี้ยงลูกฉันที่เธอเอาไปให้ดี เพราะวันนึงลูกจะอับอาย เบื่อหน่าย ความไม่มีอะไรเลยของเธอจะผลักลูกให้เดินมาหาฉันเอง” ฉันพูดสิ่งที่เก็บมาตลอด และยังมีอีกมากมายที่ไม่ได้พูดออกไป
“เด็กสมัยนี้เขาคุยเรื่องอาชีพพ่อแม่ ฐานะพ่อแม่ กระเป๋า แบรนด์เสื้อผ้า ไอเทมในเกมส์ ชื่อมหาวิทยาลัย ทุกอย่างคือเงิน รู้โลกภายนอกบ้างหรือเปล่า” ฉันถามอย่างอารมณ์ไม่ดี
—--
พัฒนาการของมนุษย์ ช่วงวัยรุ่นเริ่มตั้งแต่วัย 12 ปียาวไปจนถึงอายุ 18 ปีโดยประมาณ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะมี
1) ให้ความสนใจและความสำคัญกับเสื้อผ้า การแต่งกาย และภาพลักษณ์ของตัวเองมากขึ้น
2) เริ่มสนใจเรื่องความรักและความสัมพันธ์มากขึ้น 3) แสดงความเครียดหรือความกังวล ทั้งในเรื่องการเรียนและเรื่องเพื่อนมากเป็นพิเศษ
Living in Generation สำรวจโลกวัยรุ่นผ่านเรื่องเล่า และประสบการณ์ โดยสัมภาษณ์วัยรุ่นมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่ง ที่มีไลฟ์สไตล์ร่วมสมัยกับยุคปัจจุบัน พวกเขาจับจ่ายใช้สอย ผ่านการกินเที่ยวในวันหยุด มีโทรศัพท์มือถือแบรนด์มาตรฐานของสังคม มีเครื่องสำอางอย่างดี และหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนม ไม่มีเงินเดือนประจำ และยังพึ่งพาเงินจากพ่อแม่เป็นหลัก แม่ให้เดือนละ 9,000-15,000 บาททุกเดือน ไม่รวมค่าหอพัก ค่าหาหมอ ค่ายาจิตเวช กับค่าเทอม
วัยรุ่นมีความเห็นว่า ไอโฟน มีแมคบุคส์ อยู่คอนโด เดินซื้อเครื่องสำอาง เข้าคาเฟ่ กินอาหารตามร้าน เพราะต้องรักษาการเข้าสังคม พบปะเพื่อน ๆ เพื่อไม่ให้ mental breakdown ไปกว่านี้
และมีความเห็นเพิ่มเติมว่า สินค้าแบรนด์เนม เช่น กระเป๋า โทรศัพท์ เป็นการใช้จ่ายที่คุ้มค่า เหมือนซื้อโน้ตบุกส์มาเรียนหนังสือ การแต่งตัวไปคาเฟ่ เป็นค่าใช้จ่าย สำหรับการอาศัยอยู่ในวัฒนธรรม Visual culture ซึ่งจำเป็นต้องบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยบ้าง เพื่อรักษาความมั่นใจบางประการไว้
—--
“ขอโทษ มีทางไหนที่จะทำให้เราดีกันไหม?” อดีตสามีถามฉัน
“เธอเปลี่ยนพ่อแม่ สายเลือดได้หรือเปล่า? ถ้าไม่ได้ก็ไม่มีทาง ฉันไม่ได้เกลียดแค่เธอ พ่อ แม่เธอ ตระกูลเธอ นามสกุลเธอ ฉันก็เกลียด” ฉันตอบ
—-
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว…
ฉัน และลูกนอนหลับอยู่ที่ฟูกหน้า tv ห้องนั่งเล่น อดีตสามี พ่อแม่สามี มาปลุกลูกของฉันให้ตื่นมาเล่น ลูกฉันไม่ตื่น อดีตแม่สามีจึงอุ้มลูกของฉัน ให้อยู่ในท่านั่งหลังตรง สักพักลูกฉันก็ถ่าย ฉันให้สามีอุ้มลูกไปล้างก้น แต่ล้างไม่สะอาดยังมีกลิ่นอยู่ ฉันบอกเขา ฉันจึงอุ้มลูกไปล้างเอง
อดีตสามีลุกเดินตามฉันมา ยืนรอหน้าห้องน้ำ จนฉันทำความสะอาดลูกเรียบร้อย ขาฉันเดินพ้นประตูห้องน้ำ เขายื่นมือมาแย่งลูกจากอกฉัน แล้วนำไปให้แม่เขาอุ้ม และการทำร้ายกันก็เริ่มขึ้น ต่อหน้าผู้ใหญ่ในบ้านของเขา
ในวันนั้นฉันหมดทางสู้ ฉันสมเพชตัวเองเป็นอย่างมาก ฉันรู้สึกอดสู กระจอก ต่ำต้อย ไร้เกียจ ไร้ราคา ไร้คุณค่า ถูกดูหมิ่น และหยามศักดิ์ศรีของฉัน ความชิงชังที่มีอยู่บ้างแล้วก็เริ่มก่อตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว..อีกครั้ง
ฉันถูกสามีตบเข้าที่แก้มด้านซ้าย จนผมฉันสะบัด เขาบีบคอฉันขึ้นสูง หลังฉันแนบตู้เสื้อผ้า ขาลอยอยู่เหนือพื้น เหตุการณ์ทั้งหมดอดีตสามีทำต่อหน้าพ่อ แม่ของเขา ที่ยืนอุ้มลูกของฉัน พ่อแม่ของเขายืนดูอย่างสงบนิ่ง ไม่พูด ไม่ห้ามปราม ไม่กล่าวไม่สั่งสอนลูกตัวเอง หรือกล่าวใด ๆ เลย
“ถ้าเธออยากไปก็ไป ลูกต้องอยู่กับฉัน” อดีตสามีชี้หน้า ตะโกนบอกฉัน ขณะที่เขายื่นแขนไปอุ้มลูกฉันจากอกแม่ของเขา
ฉันยืนฟังเขาพูดจนจบ อดีตพ่อแม่สามียืนมองหน้าฉันด้วยสีหน้า ท่าทางปกติ ส่วนฉันไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่ยืนน้ำตาไหลเท่านั้น จากนั้นฉันเดินขึ้นบันได เพื่อมาที่ห้องนอน ฉันนั่งร้องไห้ที่เตียงนอน
—--
ความรุนแรงในครอบครัว มักถูกเข้าใจผิด ว่าเป็นเพียงการทำร้ายร่างกาย และการล่วงละเมิด ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป มันรวมถึงการบังคับ ขู่เข็ญ และการแยกตัวออก ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ยอมรับหรือยกโทษให้ไม่ได้
ทำร้ายร่างกาย โดยการผลัก ดัน คว้า สะกิด ตบ ตี ต่อยหรือเตะ การข่มขู่ ตะโกน กรีดร้อง ท่าทาง และรูปลักษณ์ที่ดูคุกคามโดยธรรมชาติ การละเมิดทางวาจา ประณาม ดูหมิ่น เหยียดหยาม เย้ยหยัน
การล่วงละเมิดทางอารมณ์ มอบความเงียบให้ ความอัปยศอดสูและความอับอายทั้งในที่สาธารณะหรือส่วนตัว
—--
ฉันนั่งย้อนคิดถึงชีวิตก่อนมีความรัก ระหว่างมีความรัก และตอนนี้ที่หมดรัก อดีตฉันเคยมีความสุขกว่านี้ ฉันเคยหยิ่งยโสมากกว่านี้ ฉันเคยโดนใครตบแสกหน้าแบบนี้ไหม เวลามันผ่านมานานแล้วหรืออย่างไร ฉันมีความสุขจริง ๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อไรกันนะ มันคงผ่านมาเนิ่นนานเสียเหลือเกินแล้วกระมัง
—--
ทุกคนคู่ควรกับการมีความสัมพันธ์ที่ดี คู่ควรกับการให้เกียรติ และเป็นที่รัก การเลือกที่จะหย่า เพราะเห็นคุณค่าของตัวเอง คือ การแสดงความรักของตัวเองในรูปแบบหนึ่ง ได้ความสุขในชีวิตของตนกลับคืนมา
—--
ฉันนั่งคิดอะไรไปมาจนฉันคิดได้ว่า ถ้าฉันไปตอนนี้ ฉันจะทนคิดถึงลูกได้อย่างไร ฉันจะอยู่อย่างไรถ้าฉันไม่มีลูก ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันคิดแบบนั้นอยู่นาน
—--
การถูกพรากจากพ่อแม่ เป็นประสบการณ์ที่ทิ้งบาดแผลทางจิตใจให้กับเด็ก ๆ อย่างมาก และจากผลงานวิจัยของสมาคมจิตแพทย์โลก (World Psychiatric Association) ชี้ให้เห็นว่า บาดแผลนี้จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งร่างกาย และจิตใจไปอย่างถาวร คอลลีน คราฟต์ (Colleen Kraft) ผู้อำนวยการสมาคมกุมารแพทย์ (American Academy of Pediatrics) ได้กล่าวว่า บาดแผลทางใจนี้ สามารถส่งผลกระทบต่อสมองเด็ก ๆ เหล่านี้ และส่งผลต่อพัฒนาการในระยะยาวของพวกเขาด้วย
ฉันเดินลงบันไดช้า ๆ เดินน้ำหนักเท้าให้เบาที่สุด ฉันอยากไปรับลูก ฉันเดินไปจนถึงกลางบันได “ขึ้นไปง้อไปกอดสักสองสามทีเดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวเขาไปฟ้องพ่อเขาจะเป็นเรื่องใหญ่” พ่ออดีตสามีสั่งสอนลูกชายของเขา อดีตสามีทำตามที่พ่อเขาสั่งสอนมา แต่ฉันไม่เห็นจะหายโกรธ
รุ่งขึ้นฉันอุ้มลูกนั่งรถโดยสารไปนอนบ้านเพื่อนสนิท พ่อแม่เพื่อนสนิทมองฉัน แต่ไม่ได้พูดอะไร ช่วยเลี้ยงลูกให้ แล้วให้ฉันไปนอนพัก ช่วงเย็นอดีตสามีฉันมาง้อให้กลับบ้านไปด้วยกัน
หลังจากกลับไปบ้านอดีตสามีอีกครั้ง ฉันอุ้มลูกน้อยลง ปล่อยให้ลูกร้องไห้นานขึ้น ให้ลูกอยู่โดยไม่มีฉันบ่อยขึ้น ฉันรวบรวมของที่จะต้องใช้หากจะต้องกลับบ้าน ฉันจัดเตรียมทุกอย่างแบบเงียบ ๆ เมื่อไรที่ฉันทนเห็นลุกร้องไห้ หรือร้องไห้ดัง ๆ ได้บ้างแล้ว เวลานั้นแหละคือเวลาไปของฉัน ไม่เกิน 2 เดือน ฉันโทรฯบอกป๊า แม่ฉันว่า ฉันจะกลับบ้าน
เวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ฉันถึงบอกครอบครัวฉันว่า ฉันเคยถูกอดีตสามีตบ
—--
หลังจากเจอลูก ครั้งที่ 1**
เสียงโทรฯ ฉันดังขึ้น หน้าจอแสดงชื่อผู้โทรฯ คือ อดีตสามี ฉันรีบรับ เพราะว่าอาจจะเป็นเรื่องลูกเพราะใกล้ถึงวันที่ฉันกับลูกนัดกันอีกครั้ง
“ขอเงินหน่อย โทรศัพท์ลูกหน้าจอเสีย” อดีตสามีฉันกล่าวทักทายแบบรวบรัด
“เอาเลขบัญชีธนาคารของร้านซ่อมโทรศัพท์ มาเดี๋ยวจัดการให้” ฉันรับคำกล่าวทักทายแบบสุภาพเช่นกัน
“เกินไปปะ อย่างนั้นไม่เอาก็ได้” อดีตสามีฉันประชดประชัน
“ก็ดี” ฉันตอบ พร้อมตัดสาย
ไม่เกินครึ่งชั่วโมง มีสายเข้า หน้าจอแสดงชื่อผู้โทรมาเป็นชื่อเดิม
“จะอะไรนักหนาแค่พันหกเอง” อดีตสามีฉันพูด แบบคนรวย
“ก็ไม่อะไรนักหนา ไม่เชื่อว่าเอาเงินไปซ่อมโทรศัพท์ให้ลูก ถ้าไม่สะดวกก็จ่ายเองได้เลย ยอดไม่เยอะนี่ไม่น่าลำบากมากหรอก” ฉันตอบ
“เกินไปปะ” อดีตสามีฉันตั้งคำถามใส่ฉัน น้ำเสียงแข็ง รุนแรง และกรรโชกพอหอมปากหอมคอ
“ไม่เกินไป ฉันมีหน้าที่เลี้ยงลูก และมีลูกเพียงคนเดียว ถ้าโทรศัพท์เสียจริง ๆ ให้เอาไปซ่อมแล้วเอาเลขบัญชีที่ร้านมา มันก็ไม่น่ายากอะไร” ฉันอธิบายอย่างพยายามใจเย็น
“งั้นเธอก็ไม่มีโทรศัทพ์เอาไว้ติดต่อลูก” อดีตสามีฉันขู่ฉัน..อีกแล้ว
“ได้ ฉันทนความคิดถึงจนชินแล้ว จะยังไงก็ได้” ฉันตอบ พร้อมตัดสายอีกครั้ง
ลูกชายฉันโทรศัพท์มาหาฉัน นัดแนะเวลาสถานที่ ฉันไปรับคราวนี้แม่ของฉันอาเจียรมาตลอดทาง ฉันเลยแวะเข้าที่โรงพยาบาลxx ให้แม่หาหมอ แล้วโทรฯ ให้ลูกชายรบกวนพ่อเขามาส่งที่โรงพยาบาลxx อดีตสามีมาส่งแต่โดยดี
“ม๊าสวัสดีครับ” ลูกชายรีบวิ่งมา มือถือข้าวโพดต้ม
“สวัสดีค่ะ” ฉันตอบรับ พร้อมทั้งเดินไปหา กอด หอมลูก
หลังจากที่อดีตแม่สามี และอดีตสามีฉันหันหลังเดินจากไป ลูกชายฉันนั่งรอฉันที่โซฟา มือทั้งสองที่กุมถุงข้าวโพดต้มอย่างหวงแหนเมื่อครู่ สะบัดถุงข้าวโพดต้มไปที่โต๊ะรับแขกอย่างไม่มีเยื้อใย จากนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ฉันมองพฤติกรรมลูกฉันเสมอ
“ชอบกินข้าวโพดต้มหรือคะ แล้วทำไมไม่กินข้าวโพดละคะ” ฉันถามเพราะเห็นลูกถือมาแบบระมัดระวังเหมือนเป็นของชอบ ของหวง
“ไม่ชอบกินครับ” ลูกฉันตอบ
“อ้าว แล้วเอามาด้วยทำไม” ฉันถาม
“ย่าชอบซื้อให้กินครับ” ลูกฉันตอบ
“เอ้า แล้วย่าไม่รู้หรอคะ ว่าไม่ชอบกิน” ฉันถาม
“ไม่มีใครรู้ครับ” ลูกฉันตอบ เขาโน้มตัวมาพิงตัวฉันเล่นเกมส์ หัวเราะคิดคัก ส่วนฉันไม่รู้สึกอยากหัวเราะเลยสักนิด
วันอาทิตย์ก่อนส่งลูกกลับ ฉันพาไป Gourmet Market เพื่อซื้อขนมให้ลูกเช่นเคย รถเข็นหมดจึงใช้ตระกร้าถือของแทน เขารีบวิ่งไปหยิบช๊อกโกแล๊ต ritter รสต่าง ๆ โดยเอาแขนสอดไปที่ช่องระหว่างสินค้า และนำตระกร้ารองรับ ใช้เข่ายันตระกร้าไม่ให้หล่น แล้วกวาดลงตระกร้า
จากนั้นก็วิ่งไปที่ชั้นวางเยลลี่ UHA Cororo และ โอริฮิโระ แล้วก็หยิบขนมจากชั้นวางด้วยวิธีกวาดลงตระกร้าแบบเดิม เดินหิ้วตระกร้าตัวเอียนเองไปที่ชั้นวางนมสด หยิบนมสด 5 ลิตร 2 ขวดใส่ตระกร้า ลูกหยิบขนม นม เนยจนพอใจ แล้วมาบอกฉันว่า “ม๊าครบแล้วครับ” นำตระกร้าที่เต็มไปด้วยของไปจ่ายเงินห้าพันกว่าบาท ฉันมองพฤติกรรมลูกที่รักของฉันอย่างเงียบ ๆ
“เอาไปขนาดนี้ อาทิตย์หน้าเดี๋ยวม๊าก็มาอีก กินหมดหรือคะ” ฉันถามลูก ขณะที่ลูกกำลังกอดฉัน ๆ เอามือไปโอบตัวลูก ก้มตัวไปหอมลูก ฉันถามเพราะแค่อยากรู้ว่าคำตอบลูกเป็นแบบที่ฉันคิดหรือไม่ และมันก็ใช่จริงเสียด้วย
“หมดครับ” ลูกตอบ
“แบ่งให้พ่อ กับ T กินไหมคะ” ฉันถามลูก T คือภรรยาใหม่ของอดีตสามีฉัน คือแม่เลี้ยงของลูกฉัน
“แบ่งครับ แต่ T ชอบขโมยกิน” ลูกฉันฟ้อง
“ทำไมต้องขโมยด้วยคะ” ฉันถาม
“ไม่รู้เหมือนกันนะหม่าม๊า” ลูกตอบฉัน พรางทำหน้าคุ่นคิด แล้วก็กอดเอามือพันแขน และไหล่ฉัน
“แล้วพ่อไม่อยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือคะ” ฉันถามลูก พรางเอามือลูบหัวลูก
“อยากครับ สั่งมาว่าเอาช๊อกโกแลต นม เยลลี่มาเยอะ ๆ” ลูกฉันตอบแบบพาซื่อ
“พ่อรู้ได้ไงคะ ว่าม๊าจะพามาห้างฯ” ฉันถาม
“ไม่รู้ครับ พ่อว่าถ้าม๊าพาไปห้างต้องหยิบขนมมาด้วย” ลูกตอบ
ฉันรู้สึกเป็นนัย ๆ ว่าลูกฉันไม่มีวันอด เพราะพ่อสอนวิชา “การขอ” ให้เรียบร้อยแล้ว ฉันเพียงตกใจเล็กน้อยที่พ่อสอนลูกให้มาทำกับแม่แบบนี้
ถ้าฉันโดนลูกดูดเงินตามคำสั่งพ่อจนฉันหมดตัว ในอนาคตลูกฉันจะพึ่งพิงใคร ดูเหมือนอดีตสามีฉันจะไม่คิดเช่นเดียวกับฉัน
ดูแม้ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานมากแล้ว จะมีบุคคลใดบ้าง ที่ยังคงเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว ไม่พัฒนา ไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยเช่นนี้ เวลาผ่านไปไม่ช่วยอะไรเลย ช่างเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายดีเสียจริง
โฆษณา