31 พ.ค. 2024 เวลา 13:40 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] HIT ME HARD AND SOFT - Billie Eilish >>> ตบให้แรง เอาให้ด้านชา

“ฉันคิดว่าเราอยู่ในโลกที่ทุกคนต้องรับรู้ทุกๆอย่าง ต้องรับรู้ถึงปัญหาของคนอื่น รับรู้ว่าคนๆนี้มีปัญหาหรือมี beef กับใคร พวกเราอยู่ในโลกที่ เมื่อใครบางคนปล่อยเพลง ทุกคนก็ตั้งคำถาม นี่มันเกี่ยวกับอะไร? เกี่ยวกับใคร ? เรื่องราวทั้งหมดคืออะไร? ซึ่งไม่เปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ตีความในสิ่งที่พวกเขาอยากจะตีความ แม้แต่สักนิดเลย ซึ่งมันน่าหงุดหงิดมากค่ะ”
Billie Eilish กล่าวไว้ในสัมภาษณ์ Zane Lowe Interview โดย Apple Music
-Billie และพี่ชาย FINNEAS โปรดิวซ์เซอร์คู่ใจได้ให้สัมภาษณ์ Zane Lowe Interview โดย Apple Music ในประเด็นซิงเกิ้ลแรก LUNCH อันเป็นเพลงที่สร้างเสียงฮือฮาเกี่ยวกับรสนิยมเลสเบี้ยนอย่างเปิดเผย ซึ่งมันก็หนีไม่พ้นด้วยคำถามมากมายจากสาธารณชนที่ว่า Billie แอบหลงรักสาวคนไหนเป็นพิเศษ ? และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอระบายมันลงในงานเพลง ฮือฮาก็ไม่แปลก
-มุมมองนี้เองที่ทำให้ผมเพิ่งระลึกได้ว่า ไม่ใช่ศิลปินทุกคนที่ชอบซ่อนใครไว้ในเพลงเสมอไป การที่คุณต้องรู้สึกว่า เพลงนี้พุ่งเป้าไปที่ใครหรือเรื่องอะไร มันเป็นการจำกัดกรอบในการตีความจนเกินไป ซึ่งก็ make sense ในแง่ของนิยามความเป็นศิลปะที่ควรจะปล่อยให้ตีความอย่างอิสระ ทั้งนี้ FINNEAS ก็เสริมว่า “อย่าไปคิดเลยว่าบิลลี่จะกินใครเป็นมื้อเที่ยง ขึ้นอยู่กับคุณเองว่าอยากจะกินใคร แค่นั้นจบ”
-ในเมื่อศิลปินระบายความอัดอั้นมาขนาดนี้แล้ว บริบทของ HIT ME HARD AND SOFT จึงเป็นการเล่นกับความรู้สึกล้วนๆ ไม่ต้องตายตัวว่า ผู้ชายหรือผู้หญิงของบิลลี่จะเป็นคนไหน เป็นคนเช่นไร เขาอนุญาตให้เรารู้สึก HARD หรือ SOFT กับใครก็ได้ตามใจฉัน แต่สำหรับผมแม่ง HARD ว่ะ มีแค่ LUNCH เท่านั้นที่ SOFT ด้วยท่าทีสุดเสวขี้เล่น อีกทั้งยังถูกออกแบบมาให้ทำ TikTok Challenge โดยเฉพาะ นอกนั้นแม่งดิ่งใช้ได้ตามปกอัลบั้มเลยครับ
-ต่อให้บางเพลงจะเดินด้วยท่วงทำนองซอฟต์ก็ตาม แต่ก็แอบหน่วงน้ำด้วยอารมณ์ผิดหวังไม่ทางใดก็ทางนึง แอบซ่อนความ insecure น้อยใจบ้าง รวมๆแล้วก็ Blue อยู่ดี
-หลากหลายความรู้สึกผิดหวังจนสามารถหยิบเพลงใดเพลงนึงมาเป็นซาวนด์แทร็คบ่งบอกความรู้สึกที่เป็นอยู่ได้อย่างเหมาะเหม็ง แต่ด้วยการที่สองพี่น้องได้มีโอกาสทำเพลงประกอบภาพยนตร์จนคว้ารางวัล “เพลงยอดเยี่ยม” มาถึง 2 ครั้ง มันเลยอดคิดไม่ได้จริงๆว่า การประกอบร่างเป็นอัลบั้ม 10 แทร็คนั้นช่างติดรส cinematic มากกว่าอัลบั้มที่แล้วมา
-ผมได้มีโอกาสไปงาน listening party ในโรงหนัง SF World Cinema ด้วยระบบ Dolby Atmos ช่างเป็นประสบการณ์ในการฟังอัลบั้มชุดนี้อย่างเต็มอิ่มและเหมาะเหม็งอย่างไม่โอเว่อร์เมื่อเอามาเปิดในโรงหนัง นับว่าสองพี่น้องเก่งกาจขึ้นในการเติมเต็มประสบการณ์ให้ไปไกลกว่าเพลย์ลิสต์มัดรวมสนามอารมณ์
-เปิดด้วย SKINNY กับปม body shaming ที่บิลลี่ยังคงติดอยู่ในใจ ถึงแม้จะเริ่มด้วยความรู้สึก emo ซึมๆ แต่ก็เป็นอคลูสติคที่แน่นเปรี๊ยะ ไต่ระดับความ emotional ขึ้นเรื่อยๆ และการโหมโรงด้วยเครื่องสายออเครสตร้าอย่างสวยงามในช่วง Outro กลับทำให้ผมมองเพลงนี้เปลี่ยนไปโดยทันที สัมผัสได้ถึงพลังงาน cinematic ที่ทำงานกับความรู้สึก melancholy ชนิดที่กะเอาให้จมดิ่งกันตั้งแต่เนิ่นๆเลย
-LUNCH จึงเป็นการคั่นด้วยความสนุกไม่ติดรส cinematic ชวนโยกย้ายได้บ้าง อย่างไรก็ดี CHIHIRO ก็แอบเชื่อมโยงกับแทร็คก่อนหน้านั้นด้วยสาสน์บางอย่าง โดยที่ไม่ละทิ้งให้ LUNCH กลายเป็นซิงเกิ้ลโดดๆจนหลุดคอนเซปท์แต่อย่างใด ถ้าหาก LUNCH เป็นการเปิดเผยตัวตน LGBT+ อย่างสองแง่สองง่ามและดูสนุกสนาน
-CHIHIRO คือความรู้สึกแอบกดดันในการรวบรวมความกล้าเพื่อที่จะเผยมันออกมา เป็นการฉายภาพปกอัลบั้มที่เล่น symbolic ด้วยประโยค Open up the door ซึ่งชัดเจนมากๆว่า ประตูที่ผุดอยู่ตรงเบื้องบนนั้นมันต้องอาศัยให้คนภายนอกเปิดออกมาเพื่อรอการระบายจากการที่เธอกำลังจมน้ำอยู่นั่นเอง และประตูก็เป็นสัญลักษณ์แห่งการ coming out of the closet ซึ่งเป็นบริบทของการกล้าเผยตัวเองว่าชอบเพศเดียวกันด้วย
-นอกจาก CHIHIRO จะหยอกล้อกับปกอัลบั้มอย่างจงใจแล้ว ชื่อเพลงยังเป็นชื่อตัวละครเอกจากการ์ตูนอานิเมะ Spirited Away อันโด่งดังด้วย ยังคงแสดงความคลั่งไคล้ที่มีต่อผลงานของอาจารย์ Miyazaki อย่างต่อเนื่อง
-ประโยค Open up the door ยังมาจากฉากสำคัญใน Spirited Away ซึ่งผมไม่ขอสปอยล์ดีกว่า ที่แน่ๆนี่คือเพลงที่ใส่ลูกเล่น Synth-Pop ได้อย่างเตลิดเกินคาด ที่ชอบเป็นพิเศษคือการ fade เสียงตะโกนโห่ร้องให้เบาบาง ราวกับว่าเสียงตะโกนของบิลลี่แทบจะน้อยคนที่ได้ยินหรือรับรู้การมีตัวตนอยู่จริง ซึ่งได้ reference ใน Spirited Away เช่นกัน
-BIRDS OF A FEATHER อีกหนึ่งเพลงป็อปโทนสว่างเมโลดี้หวานๆที่ไม่ค่อยได้เห็นจากสาวบิลลี่มากนัก และนี่คือเพลงที่โรแมนติกที่สุดในชีวิตของเธอ แต่ก็เคลือบแคลงด้วยความจริงอันเจ็บปวดเช่นกัน มันไม่ใช่แค่เพลงที่ทำหน้าที่จ้องจีบ ส่งตาหวานกันรัวๆ เจอปุ๊บ อร้ายยย ศีลเสมอกันงี้ ยังคงแอบระลึกถึงความแปรผันที่ย่อมเกิดขึ้นได้ เหมือนสภาพอากาศที่ไม่มีใครเปลี่ยนมันได้
But if it's forever, it's even better เป็นประโยคที่โคตรเจ็บปวดสำหรับผมเลย ถ้าเลือกได้ ใครๆก็อยากได้ความตลอดกาลกันทั้งนั้น ซึ่งความเป็นจริงแล้วมันไม่มีทาง เพลงรักหวานๆที่แอบ realistic ในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็มีคนตีความไปไกลถึงเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกเลยก็มี แต่มั่นใจว่ามีสิทธิ์ฮิตติดลมบน
-WILDFLOWER วังวนรักสามเส้าที่เล่าเรื่องได้เข้มข้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเพื่อนสาวของคุณอยากให้คุณปลอบใจ แต่เผอิญว่าคุณกำลังแอบเดทแฟนเก่าของเพื่อนคุณอยู่ อีกหนึ่งความถ่วงน้ำที่เข้าโหมดแบกความรู้สึกผิดของคนที่เผลอล้ำเส้นมีใจให้แฟนเพื่อน ซึมๆหลอนๆตรอมใจกันไป
-THE GREATEST เริ่มต้นเพลงค่อนข้างเนิบนาบชวนหลับเอาได้ง่าย แต่มีการเค้นพลังเสียงเป็นเรื่องเป็นราวเช่นกัน emotional ที่สุด เพราะนี่คือระเบิดเวลาแห่งความอัดอั้นที่พยายามเป็นผู้ให้ทุกวิถีทางแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแลหรือมองเห็นคุณค่ากันบ้างเลย ถ้าลองสังเกตในท่อนเค้นพลังเสียง จะค้นพบว่าเพลงนี้แอบแซมเปิ้ลพาร์ทเครื่องสายของเพลง SKINNY มาด้วย ซึ่งก็ทำให้ผมมองเห็นจุดร่วมของ 2 เพลงนี้ที่เกิดจากความคับข้องใจพอกัน
-SKINNY คับข้องใจเรื่อง beauty standard ที่คนมักจะมองว่าผอมเพรียวแสดงว่าแฮปปี้ดี (ซึ่งอิหยังวะกับคนบางกลุ่มที่คอมเมนต์แบบนั้นจริงๆ) ซึ่งสาวบิลลี่มักมีปมเรื่องของการถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปร่างเสมอมา THE GREATEST คับข้องใจในความพยายามเป็นคนรักในอุดมคติให้ใครบางคน แต่ก็ไม่ได้ผล ไม่ถูกให้ค่า สองเพลงจึงถูกครอบด้วย standard บางอย่างที่ไม่ว่าจะยังไงก็ถูกตีค่าอย่างไม่ยุติธรรมด้วยความอคติและความเพิกเฉยอยู่ดี
-L'AMOUR DE MA VIE (The Love of My Life) เป็นบัลลาดดุ่มๆที่โคตรมีเสน่ห์ด้วยการเอื้อนเอ่ยของบิลลี่ล้วนๆ ไอ้การที่แฟนเก่าเคยพร่ำบอกว่า เธอคือรักแท้ในชีวิต รักใครไม่ได้อีก มันโคตรจะน้ำเน่าสิ้นดี สุดท้ายไอ้คนที่พูดคำๆนั้น เมื่อความสัมพันธ์จบลงก็มักจะมูฟออนได้ก่อนใครเสมอ อย่าคิดว่ารู้ไม่เท่าทัน
-ทั้งนี้ยังมีจุด switch ไปสู่องก์สอง OVER NOW ที่เป็นพาร์ทแห่งการปลดปล่อยในผับมืดๆอย่างเห็นได้ชัด เอาจริง ตอนฟังครั้งแรกผมนึกว่า Charli XCX มาเองเลยนะครับ แต่เสียงของสาวบิลลี่จะมาแนวจมๆ ไม่เน้นฟาดความเฟียสแบบพี่ชาร์ลี ผมพอแยกความแตกต่างได้แล้ว
-เข้าสู่โหมด thriller ด้วย THE DINER ที่ได้มาจากประสบการณ์จริงที่เธอโดน stalkers ตามรังควาน จนต้องฟ้องร้องห้ามให้เข้าใกล้ครอบครัวเธอ แน่นอนว่าด้วยบริบทของการเป็น stalker ก็สอดรับบริบทอัลบั้มนี้ในแง่ความหมกมุ่นที่มีต่อคนรักเก่า ต่อให้จะถูกปฏิเสธแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ยอมแพ้พ่ายได้โดยง่ายจนมันแทบจะเป็นเส้นบางๆระหว่างความรักและหลงด้วยเช่นกัน ผมมองว่าโหมด thriller ของเพลงนี้ยังไม่กระตุกจิตเท่าเพลง NDA อาจจะเพราะติดรสความ creepy จางๆจากเพลง bad guy ที่ทำให้ความตึงเบาบางไปนิด
-BITTERSUITE เป็นการพ้องเสียงคำว่า bittersweet หยอกเย้าบริบทหวานปนขมของคนที่เพิ่งผ่านการเลิกรามาหมาดๆจนพยายามมองหาพื้นที่เซฟโซน SUITE ก็คือห้องนอนโรงแรม ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เธอใช้ “โรงแรม” เป็นสถานที่หลบหลีกส่วนตัว หลังจากที่เธอเคยใช้มันเพื่อปกปิดความสัมพันธ์ต่อสาธารณะมาแล้วในเพลง Billie Bossa Nova (ถ้าใครยังจำกันได้)
แถม vibe เพลงก็ไหลเข้าสู่ท่วงทำนองบอสซ่าโนว่าตาม แต่เพลงนี้ให้อารมณ์เฉยชาล่องลอย ผมชอบตรง Outro ที่มันขมุกขมัวเป็นพิเศษ ให้ความรู้สึก thrill อยู่ไม่น้อย ต่อให้มันจะมาแค่นิดเดียวแล้วตบด้วยบีทเชื่อมไปยังเพลงสุดท้ายก็ตาม
-BLUE แทร็คปิดท้ายแห่งการขมวดปมให้กับอัลบั้มด้วยการร้อยเรียงประโยคจากเพลงที่แล้วมาได้อย่างแนบเนียน เป็นธรรมเนียมที่เคยทำในเพลง goodbye จากอัลบั้มแรก ผลลัพธ์ที่ได้ก็สมแล้วกับการนั่งเทียน rewrite วนไปตั้ง 6 ชั่วโมง ซึ่งจริงๆแล้วเป็นการ rework เดโม่เพลง True Blue และ Born Blue นั่นแหละครับ เพียงแต่พวกเขารอให้ผลของเวลาได้ทำงาน ช่างเป็นความเหมาะเหม็งในการไปอยู่ในอัลบั้มที่มีตีมสีฟ้าแบบนี้จริงๆ fact ที่ผมอึ้งมากๆคือ True Blue เคยปั้นขึ้นมาตั้งแต่บิลลี่อายุ 14 แล้ว 😱
-นอกจากจะร้อยเรียงประโยคภาพจำจากเพลงที่ผ่านมาได้อย่างแนบเนียนแล้ว ในพาร์ทของ Born Blue (องก์สอง) ยังเป็นการพยายามทำความเข้าใจความแตกต่างของคนที่มาจากครอบครัวที่การอบรมเลี้ยงดูคงไม่เหมือนกับครอบครัวตัวเอง นั่นก็ทำให้การคบกันนั้นย่อมมีปัญหาอยู่แล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยหรือสันดานของกันและกันได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้บทสรุปอัลบั้มไปในทางคลี่คลายยิ่งขึ้น It’s over now ที่เคยพร่ำบอกในเพลง L'AMOUR DE MA VIE ซึ่งถูกเอามาใช้เป็นเงาใน Outro เครื่องสายในช่วงท้าย ก็เป็นอันจบทุกความรู้สึกที่ค้างคาแล้วจริงๆ
-ผมเคยเขียนถึง personal development ของสาวบิลลี่ในบทความรีวิวทุกอัลบั้ม ผมแยกไปว่า อัลบั้มแรก WHEN WE FALL ASLEEP คือการเปิดตัวสาวน้อยช่างจินตนาการถึงแฟนตาซีโลกมืด วัยกำลังค้นหาตัวเอง อยากเท่ห์ๆทอมบอยแหละ
-แต่พอมาถึง Happier Than Ever ผมตั้งข้อสังเกตด้วยความแปลกใจที่ว่า จากเด็กสาวช่างจินตนาการวันนั้น ข้ามสเต็ป coming of age เป็นผู้ใหญ่วัยสาวไปเลย กล้าพูดประเด็น feminist ที่ใหญ่ไปไกลกว่าอายุ ณ ช่วงนั้น เป็นความสาวสะพรั่งตามการเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างเข้าใจได้ และไม่แปลกใจเช่นกันที่ Billie และ FINNEAS จะระบุว่า อัลบั้มสองคือ identity crisis ที่ดูทะเยอทะยานเกินวัยในบางที
-เมื่อมาถึง HIT ME HARD AND SOFT ผมก็คิดว่า นี่คือการถอยกลับไปสู่ช่วงวัยรุ่น coming of age ที่ขาดหายไปอีกครั้งด้วยการเรียนรู้ที่จะผิดหวังในความรักแบบ puppy love นั่นแหละครับ เพียงแต่ถูกเขียนออกมาด้วยความเข้าใจโลกจากการข้ามไปเป็นผู้ใหญ่จากอัลบั้มสองมานั่นแหละ ภาษาการเขียนเพลงเลยแน่นเปรี๊ยะชัดเจนในกระบวนความมากขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้คำพูดคำจาตอนไปออกสัมภาษณ์ของสาวน้อยคนนี้ พูดจารู้เรื่องขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลยครับ
-สกิลการแต่งเพลงที่เก่งกาจขึ้นอย่างชัดเจนยิ่งเป็นกาวประสานกับโปรดักชั่นสุด cinematic จากพี่ชาย FINNEAS ให้เรื่องราวความรักแบบวัยรุ่นเกิดการยกระดับ ต่อให้จะใส่ความฟุ้งซ่าน แต่ก็เป็นความฟุ้งซ่านที่ไม่ออกทะเล อยู่ในเลนของเส้นเรื่องได้อย่างมั่นคงเป็นจังหวะจะโคน ความเป็น most “me” thing ที่บิลลี่ได้เคลมไว้จึงเป็นการตอกย้ำถึงการรู้ใจตัวเองที่มากพอโดยที่คาแรคเตอร์ที่ปลุกปั้นมาเกิดความแหลมคม โดดเด่น hit note ได้เต็มข้อ หาใช่กระแส viral ประเดี๋ยวประด๋าวที่ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า ฉันเป็นใคร ทำอะไรอยู่?
จำเป็นต้องตบให้แรง เอาให้เคลียร์ไปเลย
Top Tracks: SKINNY, LUNCH, CHIHIRO, BIRDS OF A FEATHER, WILDFLOWER, L'AMOUR DE MA VIE, BLUE
Give 8/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา