2 มิ.ย. เวลา 09:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

20 Days in Mariupol (2023) – บันทึกหนีตายเขตสงคราม 20 วัน

นับตั้งแต่ห้วงทศวรรษใหม่ สงครามและความบาดหมาดรุนแรงก็บังเกิดและบานปลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียที่ทำให้ภาคพื้นยุโรประส่ำระส่าย ยุคแห่งข้อมูลข่าวสารจึงมีบทบาทสำคัญในการนำเสนอถึงแง่มุมความขัดแย้งที่ยกระดับรุนแรงจนกลายเป็นการรุกราน ช่างภาพข่าวชุดหนึ่งซึ่งเดินทางรุดหน้าไปยังเมืองพรมแดนติดกับรัสเซีย ได้บันทึกภาพเหตุการณ์ล้อมเมืองเป็นเวลา 20 วัน และมันก็ถูกนำมาถ่ายทอดเป็นสารคดีอย่าง “20 Days in Mariupol“
“20 Days in Mariupol” เป็นบันทึกภาพเคลื่อนไหวของทีมข่าวสำนัก AP และ Frontline ที่ทำการบันทึกจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการทางการทหารในการรุกรานประเทศยูเครนโดยรัสเซีย ด้วยการลงพื้นที่เมืองมารีอูปอล หน้าด่านที่เป็นพรมแดนระหว่างประเทศ ผ่านเสียงบรรยายของมิสทิสลาฟ เชอร์นอฟ หนึ่งในทีมข่าวที่คอยบรรยายถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นทุกขณะที่สงครามเริ่มรุกคืบเข้ามา ก่อนที่จะค้นพบว่า พวกเขาตกอยู่ภายใต้การปิดล้อมเมืองเป็นเวลากว่า 20 วัน
สารคดีถ่ายทอดเป็นเส้นตรง ด้วยการบอกเล่าเหตุการณ์ในแต่ละวันโดยย่นย่อถึงสถานการณ์ที่น่าพรั่นพรึง และตึงเครียดขึ้นทุกขณะ แรกเริ่มด้วยการย่างเท้าเข้าสู่เขตชานเมืองเลฟต์แบงค์ ที่กระสุนปืนใหญ่เริ่มตกใส่อาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ก่อนกระจายไปรอบเมืองมารีอูปอล และมีพลเมืองผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บมากมาย โดยถ่ายทอดสถานการณ์ส่วนใหญ่ ในโรงพยาบาลฉุกเฉินหมายเลขสอง โดยมี มิสทิสลาฟ บรรยายถึงข้อมูลเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
ด้วยความเป็นสารคดีสงคราม หนังจึงบอกเล่าถึงการบาดเจ็บและล้มตายจากพิษร้ายแบบสงคราม ที่ชวนน่าหดหู่สะเทือนใจ แต่ก็มีการเซ็นเซอร์ซึ่งความรุนแรง รวมถึงใบหน้าของผู้เสียชีวิตไว้ โดยไม่ได้เป็นการนำเสนอซึ่ง shock value จากเนื้อหาอันรุนแรง แต่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนที่ตกอยู่ในดงกระสุนเขตสงครามที่พวกเขาไม่ได้ก่อ หรือมีส่วนร่วมเลยด้วยซ้ำ กระหน่ำด้วยสุรเสียงของอาวุธที่แผ่ดขึ้นรอบเมืองเป็นพัก ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนอยู่ในเมือง ไม่ต่างจากทีมข่าวของมิสทิสลาฟ
น่าสนใจตรงที่ เนื้อหาของสารคดีไม่ได้ซับซ้อนแต่บอกเล่าแบบตรงไปตรงมา ถึงเหตุการณ์ระหว่างวัน ก่อนสรุปด้วยรายงานข่าวของสถานการณ์ในท้ายวัน โดยที่สถานการณ์ภายในเมืองแย่ขึ้นทุกขณะ การถูกปิดล้อมเมือง ตัดน้ำตัดไฟ ตัดสัญญาณมือถือ พร่องซึ่งทรัพยากรแบบยาปฏิชีวนะ หรือกระทั่งการที่ ประชากรในตัวเมืองถูกลูกหลงแทบจะตลอดเวลา และสารคดีก็เลือกจะถ่ายทอดความน่าหดหู่ ผ่านการเสียชีวิตของเหยื่อสงครามอย่างเด็กหลายราย ก็ชวนให้เรารู้สึกขุ่นเคืองและเศร้าสลดต่อเหตุการณ์ตรงหน้าไม่น้อย
การที่เมืองถูกตัดขาด ทั้งทางกายภาพอย่างการปิดถนนล้อมเมือง หรือสัญญาณอินเตอร์เน็ต ทำให้การบันทึกภาพของมิสทิสลาฟเป็นสิ่งที่ค่ามาก เขาจึงต้องหาทางออกไปจากเมือง เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นจริงภายในเมือง ถึงความโหดร้ายที่ฝั่งรัสเซียพยายามจะทำ ความหมดหวังของผู้คนในเมืองที่ต้องเอาชีวิตรอดจากการปิดล้อมเมือง ผ่านความไม่พอใจที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐฯ ที่พยายามจะทำให้สถานการณ์ผ่อนคลาย หรือกระทั่ง เหตุปล้นสดมภ์ด้วยกันเอง มันก็เป็นการสะท้อนถึงความเลวร้ายของสงครามได้อย่างดี
ส่วนหนึ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจ ไม่ใช่แค่ด้านภาพที่ชวนสลดหดหู่ จากการที่เด็กตัวเล็กตัวน้อยต้องเสียชีวิตไปจากกระสุนปืนใหญ่หรืออะไรก็ตาม หากแต่เป็นวิธีนำเสนอของมิสทิสลาฟ การบันทึกภาพที่ไม่ต่างจากภาพข่าว และเจ้าตัวยังบรรยายถึงเหตุการณ์และความรู้สึกที่เขามีต่อเหตุการณ์ตรงหน้า ด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและเรียบเฉย ราวกับว่า เจ้าตัวไม่มีอารมณ์แค้นเคืองแต่อย่างใด แต่ทว่า มันกลับเจือไปด้วยความสิ้นหวังผ่านประโยคและวิธีการถ่ายทอดสารคดีเรื่องนี้
จริงอยู่ที่ว่า มิสทิสลาฟ เป็นนักข่าว ที่อาจจะบันทึกภาพนี้ด้วยจุดประสงค์อื่น (รวมถึงกำหนดทิศทางข่าวด้วยเนื้อหาภายในภาพ) แต่ด้วยสัญชาติยูเครน เขาจึงมีหน้าที่ไม่ต่างจากผู้บอกเล่าเรื่องราวถึงสิ่งที่เกิดใน 20 วันภายในเมือง ตามข้อเท็จจริงที่อยู่ตรงหน้า โดยแทบไม่ต้องปรุงแต่งทางอารมณ์เสียด้วยซ้ำ นอกเหนือจากดนตรีประกอบที่เสริมซึ่งความพรั่นพรึงที่ต้องตกอยู่ในดงกระสุนปืนใหญ่ ที่อาจตกใส่ได้ทุกเมื่อ
มิสทิสลาฟ จึงพยายามถ่ายทอดเหตุการณ์ด้วยกล้องที่เขามีในมือ ผ่านความพยายามที่จะสัมภาษณ์ถึงผู้คนต่อเหตุการณ์ที่เกิด เฉกเช่น การโจมตีทั่วเมืองที่มีเด็กหลายคนโดนลูกหลง หรือกระทั่งการโจมตีโรงพยาบาลจนแผนกผดุงครรภ์โดนถล่ม ก็ดูเป็นเจตนาที่ชัดเจนของมิสทิสลาฟ ที่เขาดูจะกังวลต่อแนวโน้มความรุนแรงของสงครามที่อาจจะไม่มีวันจบสิ้น และมันก็ได้เดินทางสู่จุดที่ลูกหลานรุ่นถัดไปได้ผลกระทบโดยตรง
สารคดี จึงมาพร้อมบางห้วงที่มิสลิฟลาฟยอมเปิดเปลือยตัวเองออก เผยซึ่งความกังวลผ่านการคำนึงถึงลูกของตนเอง ที่เขาหวังจะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่สงบสุข ไม่ใช่กลางวงกระสุนที่เต็มไปด้วยความโกลาหล น้ำเสียงอันเรียบนิ่งของมิสทิสลาฟ จึงไม่ใช่การเพิกเฉยแต่อย่างใด แต่มันคือน้ำเสียงแห่งความสิ้นหวัง ที่สงครามกำลังบังเกิดขึ้น โดยที่ผู้คนบริสุทธิ์ส่วนมากกลายเป็นผู้ได้รับผลกระทบ และเขาให้ผู้คนในเมืองสบถถ้อยคำอันโกรธแค้น เพื่อเป็นสาส์นที่ส่งตรงไปยังไอ้สารเลวที่ให้กำเนิดสงครามรุกรานนี้โดยตรง
สารคดีชิ้นนี้ จึงไม่ได้เป็นแค่สารคดีที่ถ่ายทอดเหตุการณ์ในเมืองเพียงอย่างเดียว แต่ มิสทิสลาฟ จัดลำดับภาพและเรื่องราวเพื่อให้เรารู้สึกโกรธแค้นในความโหดร้ายของแง่มุมสงคราม ซึ่งตัวเขาตระหนักด้วยซ้ำ ว่าภาพข่าวเหล่านี้รุนแรง แต่ก็จำเป็นที่จะต้องเผยแพร่เพื่อให้รู้สึกเช่นนั้น เพื่อให้รู้สึกต่อต้านซึ่งการรุกราน เพื่อให้วัฎจักรของสงครามสิ้นสุดลง ให้โลกได้เดินหน้าต่อด้วยเสียงร่ำไห้ของเด็กเกิดใหม่ ที่กว่าระงมไปด้วยเสียงของผู้ใหญ่ที่ร้องไห้ระงมจากการสูญเสียลูกหลาน
“สมองผมพยายามอยากให้ผมลืมภาพเหล่านี้ แต่กล้องจะไม่ยอมให้ผมทำ” – มิสทิสลาฟ เชอร์นอฟ
สรุปแล้ว “20 Days in Mariupol” คือสารคดีสงครามของมิสทิสลาฟ เชอร์นอฟ ที่ถ่ายทอดห้วงเวลาการบุกยึดและปิดล้อมเมืองมารีอูปอล ในช่วงแรกของสงครามรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย เต็มไปด้วยห้วงเวลาที่น่าพรั่นพรึง สลดหดหู่ น่าสะเทือนใจ ก่อนการเก็บบันทึกภาพจะกลายเป็นภารกิจเอาชีวิตรอดเพื่อเผยแผร่อาชญากรรมสงคราม ใต้โมงยามแห่งการโจมตี ที่ล้วนมีผู้บริสุทธิ์เป็นผู้รับเคราะห์ พร่ำคร่ำครวญถึงความกังวลต่อวัฏจักรของสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น
4.5 / 5
20 Days in Mariupol “20 днів у Маріуполі” (2023)
Written & Directed by Mstyslav Chernov

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา