4 มิ.ย. เวลา 03:32 • การศึกษา
วัดนาคปรก

พญานาคเป็นสัตว์เดรัจฉาน บรรลุธรรมไม่ได้ การดูถูกเหยียดหยามว่าร้ายพญานาคจึงไม่เป็นบาป? จริงหรือ?

พญานาคเป็นสัตว์ที่เกิดจาก "อเหตูกะ" คือเกิดมาด้วยความไม่แจ้งในเหตุต้นผลลัพธ์ ยังมีอวิชชาบดบังสภาพภูมิธรรมอยู่ ถือว่าเป็นสัตว์จำพวกที่เคลื่อนที่ไปในแนวขนานกับพื้นโลก จัดอยู่ในหมวดหมู่ของสัตว์เดรัจฉานซึ่งเป็นหนึ่งในอบายภูมิสี่ แต่สถานภาพเทียบเท่าเทวดาชั้นล่างในจำพวกจาตุมหาราชเทวดา มีอิทธิฤทธิ์ ดลบันดาลทรัพย์ได้ แปลงร่างได้ บางครั้งพญานาคที่มีบุญมากก็จะปรากฏกายข้ามมิติมาให้มนุษย์เราเห็นได้ด้วยถ้าบุคคลนั้นมีกรรมสัมพันธ์กับพญานาคตนนั้น
จึงได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่มีที่อยู่เป็นสุคติภูมิ แต่มีสภาวะเป็นเดรัจฉานภูมิ แม้มีกายเป็นทิพย์ก็จริงอยู่ ทว่าก็เป็นทิพยภาวะที่มีอาการเหมือนสัตว์เดรัจฉาน เช่น มีพิษร้อน มีเขี้ยว เลื้อยไปด้วยเกล็ดท้อง ออกลูกเป็นไข่บ้าง เป็นตัวบ้าง แม้บางตนจะเกิดแบบผุดขึ้นเองตามท้องน้ำหรือในสวรรค์ชั้นที่๑ บางตนก็มีราคะ โทสะและโมหะแรงกล้า ทำให้ดุร้ายยิ่งกว่าเสือสิงห์จระเข้ แต่บางตนก็มีรูปร่างเป็นสัตว์ประณีต เกล็ดสวยงามเงาระยิบวิบวับและใจเย็น จอมนาคาบางตนใจเย็นกว่ามนุษย์เราก็มี
ด้วยความข้างต้น เราจึงต้องมาทำความเข้าใจในอีกด้านหนึ่งว่า พญานาคแม้จะบรรลุธรรมไม่ได้ แต่พญานาคส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในเขตประเทศไทยและเขตประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ เป็นพญานาคที่เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธเจ้า ศรัทธาในพระธรรม และศรัทธาในพระอริยสงฆ์-พระสุปฏิปัณโณ แม้เขาจะบรรลุธรรมไม่ได้ แต่ก็มีใจศรัทธา เปรียบประหนึ่งปุถุชนประเภทคนดี ที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมแต่ก็ศรัทธาในพระพุทธเจ้า โดยทำความดีตามอย่างพระพุทธเจ้า และยังถือศีลแปดอย่างเคร่งครัดในทุกๆวันพระวันโกน พญานาคบางตนก็เพียรบำเพ็ญภาวนาเคร่งกว่าปุถุชน
ดังนั้น พญานาคแม้มีกรรมที่นำเกิดในสภาพสัตว์เดรัจฉาน แต่ก็มีภูมิจิตที่เถรตรงคงมั่นในพระรัตนตรัย จึงถือว่ามีบุญนำมาส่งให้ได้เกิดเป็นพญานาค (มีบุญพอที่จะเกิดอยู่ในสุคติโลกสวรรค์) การที่เราไปดูถูกเหยียดหยาม ด้วย กาย วาจาและใจก็ตาม ย่อมมีความหมายเทียบเท่าการดูถูกเหยียดหยามผู้ที่มีบุญ แม้เขาจะมีข้อผิดพลาดที่ทำให้กรรมนำส่งเกิดในสภาพเดรัจฉานงูใหญ่ แต่ส่วนที่เป็นกุศลกรรมของเขาก็มีมากเช่นกัน
เราไม่จำเป็นจะต้องไปบูชาพญานาค แต่ก็ไม่ควรดูถูกเหยียดหยามพญานาคเช่นกัน เพราะเท่ากับว่าเราดูถูกผู้มีบุญท่านหนึ่ง ยิ่งใครทำบุญด้วยการรำลึกถึงคุณธรรมความดีของพระพุทธเจ้าอยู่เป็นนิตย์ แล้วเราไปมีอกุศลจิตต่อเขา นั่นเท่ากับว่าเราติดกรรมที่ต้องชดใช้แล้ว แม้ว่าเราเพียงแต่คิดหยามหลู่อยู่ในใจก็ตาม
แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานชนิดอื่น เช่น สุนัข แมว ไก่ ปลา ปู หอย ฯลฯ ก็ไม่ควรไปหยามหลู่ เพราะการไปรังเกียจเหยียดหยาม นั่นเท่ากับว่าเราได้สร้างกรรมให้ผูกจิตไว้ อย่างสุนัขหรือแมว เวลาที่เรารังเกียจเขา โกรธเกลียดเขา ฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือ ฮอร์โมนอะดรีนาลีนเราจะหลั่งออกมาทำให้น้องหมาน้องแมวได้กลิ่น พอน้องหมาน้องแมวรับรู้ เขาก็อาจจะเกลียดเรากลับ โกรธเรากลับ แล้วเกิดการผูกกรรมโดยอัตโนมัติ อาจจะทำให้ชาติหน้า เราได้ไปเกิดเป็นสุนัข แล้วเขาได้ไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อมาจองเวรทางใจให้เราได้
แถมสัตว์ในโลกเรา หากชนิดใดมีขนาดไม่เล็กกว่านกกระจาบและไม่ใหญ่กว่าช้าง ก็อาจจะมีบางตัวกำลังอยู่ในสภาวะของโพธิสัตว์ เกิดมาชดใช้กรรมเพื่อชำระจิตใจให้พ้นไปจากมลทินอยู่ เพื่อรอวันไปเกิดเป็นคนแล้วบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลก็ได้ ดังนั้นหากเราดูถูกเหยียดหยามหรืออาฆาตมาดร้ายเขา นั่นเท่ากับว่าเราก่อมโนกรรม วจีกรรมอย่างมหาศาล อาจจะทำให้เราถึงขั้นตกมหานรกได้เลยโดยที่ไม่รู้ตัว แม้ทำบุญมามากก็อาจต้องไปอยู่ในมหานรกสัก 1000 ปีมนุษย์ ถึงจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง
แล้วยิ่ง ถ้าเป็นพญานาค บางตนนับถือพระรัตนตรัยมากก็จริง แต่ก็ยังมีความเป็นปุถุสัตว์ผู้มีรัก-โลภ-โกรธ-หลง ยังโมโหโทโสได้ง่าย พญานาคนั้น แน่นอนว่าเขาฟังภาษามนุษย์รู้เรื่องทุกภาษาเพราะสามารถอ่านจิตอ่านใจคนได้ เมื่อรู้ว่าเราดูถูกเหยียดหยามเขา เขาก็อาจจะผูกอาฆาตพยาบาทและตามแช่งตามสาปเราไปจนวันตายของเรา ก็มีมาแล้ว เพราะฉะนั้น หากรู้ว่าในอนาคตกาลมีพระนิพพานรอพวกเราทุกคนอยู่ จงพึงละกรรมทุกทาง ละทิ้งการกระทำทุกอย่างที่จะก่อให้เกิดความทุเรศฉิบหายแก่ชีวิต ไม่ผูกกรรมทางใจและวาจาต่อผู้ใด
การด่าทอต่อว่า ถ้าไม่ได้เกี่ยวกับเราก็อย่าอุตริทำ อย่าอุตริออกความคิดเห็นกล่าวว่าด่าทอถึงใคร เพื่อมิให้เกิดความขุ่นในศีลในความปรกติสุข ศีล แปลว่าปรกติ ดังนั้นผู้ที่สรรหาเรื่องมาด่าว่าคนนั้นคนนี้ ตำหนิวิจารณ์คนนั้นคนนี้ไปในเชิงหยามหลู่ดูหมิ่นเพียงเพราะเห็นว่าไม่ถูกใจตน แม้จะไม่ได้เคยมีเรื่องบาดหมาง แม้คนผู้นั้นจะไม่เคยมาทำร้ายเรามาก่อน แต่เราก็ยังจะต่อว่าด่าทอ บ้างอ้างสิทธิ์แสดงความคิดเห็น แต่ลืมมองไปว่า สิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นของเราเป็นการยุ่งเกี่ยวกับกรรมของคนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับเราไหม
บุคคลที่มีอุปนิสัยเช่นนั้น คือ มีความไม่ปรกติ โดยหลักการสะท้อนกลับเชิงควอนตั้ม (Law of Reflection)ที่เกิดกับพวกไม่ปรกติก็คือ ความไม่สบายใจ ความขุ่นข้องอึดอัดใจ ความบ้า ความวิปริตทางใจ ความไม่สมประกอบ-ไม่สมประดี แม้ว่าเราจะยังคงหายใจอยู่ในโลกวัตถุธาตุ แต่ผลของการสะท้อนกลับ หรือภาษาธรรมเรียกว่ากฎแห่งกรรมก็จะกำเนิดขึ้นทันทีที่เรายังมีชีวิตอยู่ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เราตายก่อน
นั่นก็คือ จะเกิดความรุ่มร้อนทุกข์ใจ ไม่สบายใจ ทำอะไรก็มีแต่คนไม่ให้เกียรติ ถูกด่าว่า ทำสิ่งใดก็มีแต่คนไม่เห็นค่า หรืออาจถูกนินทาใส่ร้ายและป้ายสี มีกรรมที่พูดอะไรไปก็จะตะกุกตะกัก ไม่มีคนเชื่อถือ พูดจาผิดๆถูกๆ คิดอะไรผิดๆถูกๆ ทำผิดพลาดได้ง่ายเพราะมีความหลงผิดง่าย เป็นต้น
เมื่อเป็นบ่อยเข้าจนวาระสุดท้าย พอตายไป จุติจิตก็จะกระชากวิญญาณของเราให้ไปปฏิสนธิในภพภูมิของสัตว์เดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง วินิบาตบ้าง นรกบ้าง เป็นต้น
ดังนั้น พึงระลึกไว้เสมอว่าสัตว์ทุกชนิดก็มีทั้งส่วนที่เป็นอกุศลกรรมและบุญ จะบุญเพียงหยิบมือก็เรียกว่าบุญ จะขอยกตัวอย่างที่ซับซ้อน เช่น โจรบางคนถึงขั้นปล้นฆ่าเศรษฐีจนตายเพื่อขโมยของมีค่าไปช่วยครอบครัว (ลูก เมีย พ่อและแม่) ที่ถูกไฟไหม้อาการสาหัส จนอาการทุเลาเบาบาง สุดท้ายโดนจับได้ก็ติดคุกตลอดชีพ แน่นอนว่า โจรคนนี้ตายไปย่อมต้องตกมหานรกและทรมานปางตายยาวนานถึงหนึ่งกัปแน่นอน แต่ผลของความกตัญญูนั้นก็จะยังมีอยู่ คือเป็นบุญ ที่ทำให้เมื่อเขาพ้นจากนรก อาจได้ไปเกิดเป็นเปรตก่อน แล้วตาย ก่อนได้กำเนิดมนุษย์
จะเห็นได้ว่า ส่วนที่มีบุญของเขายังอยู่ แม้จะไม่มาก แต่ก็ยังพอที่จะทำให้เขาได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งในอนาคตกาลนานโข นานชนิดที่ว่าเราตายแล้วเกิด-เกิดแล้วตายอีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ โจรคนนั้นก็ยังตกนรกทรมาทรกรรมอยู่นานแสนนาน ก่อนจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์
ดังนั้น เราจะต้องไม่ต่อว่าด่าทอเหยียดหยามใครก็ตามที่เราไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางของเขา ไม่ได้เป็นบุคคลที่เราเกี่ยวพันโดยตรงในชีวิตของเขา หรือเขาไม่ได้มาทำร้ายเราก่อนอย่างอยุติธรรมจนเราต้องตอบโต้เพื่อปกป้องสิทธิ์ของเรา เพื่อจะได้ไม่เกิดกระแสพลังงานสะท้อนกลับที่จะตวัดมารัดเราเหมือนเขวี้ยงตวัดเชือกรัดกิ่งมะเกลือ ฉันใดก็ฉันนั้น ดังนั้น การว่าร้ายเหยียดหยามสิ่งมีชีวิตชนิดใดก็ตาม เป็นบาปอย่างแน่นอน (บาป=ชั่วร้าย)
เพื่อหยุดยั้งกรรมที่จะเกิดจากความไม่ฉลาดทางอารมณ์และE-Qของเรา ขอให้มองโลกตามความเป็นจริง และความเป็นธรรมดาของโลก ว่าไม่มีขาว ไม่มีดำ ทุกอย่างเป็นไปของมันทั้งเลวทั้งดี ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับกรรมของผู้อื่น หากอยากให้ศีลของเราบริสุทธิ์เพื่อที่จะได้อยู่ในเส้นทางที่ปลอดภัย ไม่ชักศึกเข้าบ้าน ไม่นำภัยเข้าตัว โดยตั้งอยู่ในเจตนาอันไม่ประมาท ว่า-อย่างน้อยหากไม่ถึงพระนิพพานในชาตินี้ เมื่อสิ้นลมไปเราก็ยังวางใจได้ว่าเราจะไปเกิดในสุคติ-เทวโลก-พรหมโลก หรือ ภพภูมิที่ดีที่สุดอย่างมนุษย์ได้แน่นอน
โฆษณา