4 มิ.ย. เวลา 08:46 • ปรัชญา
เมื่อก่อนนี้ เมื่อเราเข้าวัด เราก็เห็นคนนั้นคนนี้ ที่ก็มีหลากหลายรูปแบบ บางคนก็เข้ามาที่กุฏิ มาคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ มาเล่ามาระบาย บ้างก็มาถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอพระท่านพูดบางก็ไม่ใส่ใจ บางคนเข้ามาก็อยากปฏิบัติธรรม ..ก็ทำเลย .. ทำไปตามที่ตัว เคยรู้จัก .. บางที ก็มีร่างทรง มาอวดอะไรให้ดู บ้างทำตัวเป็นกุมาร บ้างส่งเสียงดังเหมือนอสูร เราก็ดูพระที่เรานับถือ ท่านก็อยู่เฉย
..เราก็เข้าไปหาท่านประจำ จนมีคนไปถามพระอีกองค์ ว่า เค้าเข้าไปหาพระที่กุฏินั้นทำไม ท่านก็บอกว่า..คนที่รู้ตัวว่า ..โง่ ก็เข้าไป ก็เลยไม่ค่อยมีใครเข้าไปหาท่าน
คนเรา เราอยู่กับคนที่ต่างมีอารมณ์ ต่างใช้อารมณ์ เป็นทาสของอารมณ์กันทั้งนั้น หากเค้าไม่มาแสดง ว่าดีชั่ว เป็นอย่างไร แล้วเราจะเอาอะไรศึกษา
แม้แต่เทพยดา ท่านก็ศึกษาดีชั่วไม่ได้ เพราะมันมีแต่สิ่งดีๆ มีความสุข พอมาเกิดโลกมนุษย์ มันมีอารมณ์ดีชั่ว ที่หลงใหลกันอยู่ อารมณ์(มันพร้อมรับใช้ ปกปิดจิต ไม่ใก้มีสติสัมปชัญญะ รู้จักกรรมได้เลย แล้วจะไปรู้สิ่งที่เป็นธรรม ช่วยหนุนนำ ให้จิต .รู้จักกรรม อารมณ์กรรมในตัวตน ที่มันเกิดขึ้น ทุกคนก็ชอบกอดทุกข์ ชอบที่จะมีราคะ มีตัณหา ..แต่ก็ไม่เคยทำความรู้จัก จริงๆ ว่ามันนำพาอะไรมาบ้าง ..
เราก็ศึกษาอารมณ์ที่พาไป ทั้งดีทั้งชั่ว ที่เค้าก็ไม่มีสติ รับรู้ได้ ..เพราะเค้าไม่รู้ ..เค้าจึงใช้อารมณ์ฟุ่มเฟือย เราก็ศึกษาเอาจากเค้า เป็นกระจกส่องเข้ามาในตัวตน ที่ว่าไม่ดี นั่น เราใช้อารมณ์เยี่ยงนั้นมั้ย มันไม่มีใครผิดใครถูก มีแต่อารมณ์ที่ปรุงแต่งกายวาจาใจ ชั่วขณะหนึ่ง
โฆษณา