7 มิ.ย. 2024 เวลา 12:13 • ธุรกิจ

หน้าร้านไม่มีวันตาย! ‘EVEANDBOY’ เปิดเพิ่ม 8 แห่ง ลูกค้ายังอยาก ‘ลองก่อนซื้อ’

ใครว่า Online Marketing สำคัญสุด ? ปีนี้ “EVEANDBOY” เปิดสโตร์ไปแล้ว 8 แห่ง เชื่อ หน้าร้านยังจำเป็น ยอดขาย 87% มาจากออฟไลน์ ลุยเพิ่มสัดส่วนแบรนด์ไทย-Exclusive Item ด้านผู้บริหารเผยอินไซต์ลูกค้ามีอายุน้อยลง เฉลี่ย 18 ถึง 24 ปี แม้ไม่ได้จ่ายหนักแต่มาสม่ำเสมอ
คงไม่เกินจริงไปนัก หากจะบอกว่า “อีฟแอนด์บอย” (EVEANDBOY) คือร้านมัลติแบรนด์สโตร์ “ผู้มาก่อนกาล” เพราะมีของสารพัดอย่างในตลาดความสวยความงาม ตั้งแต่เครื่องสำอาง สกินแคร์ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม และน้ำหอม ทำให้ชื่อเสียงของบิวตี้สโตร์แห่งนี้เติบโต-ขึ้นแท่นผู้นำตลาดอย่างรวดเร็ว จากร้านโชห่วยในจังหวัดมหาสารคาม มาวันนี้ได้สยายปีกสู่หัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ และมีความฝันบุกต่างประเทศในอนาคตด้วย
ตลาดความสวยความงามในปี 2566 เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า 11.6% ทว่า “อีฟแอนด์บอย” กลับมีสัดส่วนการเติบโตมากถึง 30% และยังคงรักษาระดับรายได้ที่หลักพันล้านบาท มีกำไรปีล่าสุดเฉียด 500 ล้านบาทแล้ว ทั้งยังแง้มด้วยว่า ปี 2567 เป็นปีที่ “อีฟแอนด์บอย” เปิดสโตร์แห่งใหม่มากกว่าปีก่อนๆ เพราะเชื่อว่า หน้าร้านยังเป็นสิ่งจำเป็น และออนไลน์ไม่สามารถแทนที่ทั้งหมดได้
หิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟ แอนด์ บอย จำกัด
“หิรัญ ตันมิตร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟ แอนด์ บอย จำกัด ให้ข้อมูลว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทขายสินค้าไปทั้งหมด 23 ล้านชิ้น เป็นตัวเลขการขายตรงให้ลูกค้าแบบ “B2C” ทั้งหมด โดยแบ่งสัดส่วนยอดขายออกเป็นออฟไลน์ 87% และออนไลน์ 13%
ผู้บริหารและผู้ก่อตั้งอาณาจักรบิวตี้สโตร์แห่งนี้ยังระบุด้วยว่า “เครื่องสำอาง” เป็นหมวดหมู่ที่มีการเติบโตมากที่สุดหลังจากซบเซาไปในช่วงโควิด-19 สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยอย่างเคร่งครัด ทำให้การแต่งหน้าอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นในช่วงเวลาดังกล่าว แต่หลังจากการแพร่ระบาดใหญ่จบลง ผู้บริโภคก็เริ่มกลับมาแต่งหน้ามากขึ้น ทำให้ตลาดเครื่องสำอางฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากการปรับตัวไปตามเทรนด์ “Exclusive Brand” และ “Exclusive Item” ก็เป็นอีกตัวแปรสำคัญที่ทำให้ภาพรวมธุรกิจแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นๆ “หิรัญ” เล่าว่า ปีที่แล้วมีน้ำหอม “Paris Hilton Rush Collection” วางขายหน้าร้านในฐานะ Exclusive Brand เป็นที่แรก ส่วนปีนี้ “บิ๊กดีล” ที่เจรจามาเกือบ 4 ปี และจะเริ่มวางขายในร้านอีฟ แอนด์ บอย ได้แก่ “ไคลี่” (Kylie) แบรนด์เครื่องสำอางมาแรงของ “ไคลี่ เจนเนอร์” (Kylie Jenner) เซเลบริตี้ชื่อดังระดับโลก
เหตุผลที่ทำให้แบรนด์เลือกอีฟ แอนด์ บอย “หิรัญ” มองว่า อันดับแรกเป็นเรื่องภาพรวมการเติบโต ส่วนที่สองคือภาพลักษณ์และประสบการณ์ที่ร้าน ตนมองว่า เรื่องนี้สำคัญที่สุด แบรนด์ต้องมองว่า อยากวางจุดยืนแบบไหน มีความพรีเมียมหรือไม่ เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้รึเปล่า ซึ่งอีฟ แอนด์ บอย ตอบโจทย์ทุกข้อที่กล่าวมาได้ ปัจจุบันสัดส่วน “Exclusive Brand” คิดเป็น 15% ของสินค้าทั้งหมด ส่วน “Exclusive Item” มีมากกว่า 3,000 รายการ เป็นการพัฒนาโปรดักต์ร่วมกันกับแบรนด์
“หิรัญ” เสริมว่า ราคาแบรนด์ไคลี่ในร้านแทบไม่ต่างจากราคาที่ประเทศต้นทางเลย หลังจากนี้ผู้บริโภคชาวไทยไม่ต้องสั่งซื้อจากร้านรับหิ้วอีกแล้ว เบื้องต้นวางจำหน่ายเฉพาะที่ร้านอีฟ แอนด์ บอย เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งนับเป็นประเทศแรกๆ ในฝั่งเอเชียที่ได้รับสิทธิ์นี้
“ไคลี่” (Kylie) แบรนด์เครื่องสำอางของ “ไคลี่ เจนเนอร์” (Kylie Jenner)
สำหรับแผนธุรกิจปี 2567 ผู้บริหารย้ำว่า ยังเชื่อในการเปิดหน้าร้าน หรือ “Offline Store” เฉพาะปีนี้ “อีฟ แอนด์ บอย” เปิดสโตร์แห่งใหม่ไปแล้ว 8 แห่ง ถือว่าเป็นตัวเลขที่เยอะมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเร็วๆ นี้จะได้เห็น “แฟล็กชิปสโตร์” แห่งใหม่ที่สยามสแควร์ ทำเลทองติดกับสถานีรถไฟฟ้าสยาม บนเนื้อที่ 1,000 ตารางเมตร จะมีแบรนด์ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมาเมืองไทยมาก่อน ซึ่งน่าจะได้ยลโฉมกันภายในปลายเดือนมิถุนายนนี้
ตอนนี้เรามีหน้าร้านทั้งหมด 29 แห่งทั่วประเทศ จังหวัดหัวเมืองใหญ่เรามีครบทุกภาค เมืองรองก็ไปมาแล้วอย่างมหาสารคามบ้านเกิดเรายอดขายก็ดีเลย สัดส่วนสาขาต่างจังหวัดคิดเป็น 25% ทั้งหมด 8 สาขา อาจจะยังไม่เยอะมาก จังหวัดอื่นๆ เราก็มองเห็นศักยภาพในการไปเปิดหลายแห่ง ส่วนแผนไปต่างประเทศเรียกว่า เป็นความฝันที่อยากจะทำ แต่ต้องไปแบบระมัดระวัง ต้องไปแบบมั่นใจ
หิรัญ ตันมิตร
ในขณะที่หลายแบรนด์หันไปทำ “Online Marketing” อย่างแข็งขัน เพราะอะไร “อีฟ แอนด์ บอย” จึงให้ความสำคัญกับหน้าร้านที่มีต้นทุนสูงกว่าเช่นนี้ “หิรัญ” ให้ความเห็นว่า ช่องทางออนไลน์ก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่อีฟ แอนด์ บอย ยังเชื่อในหน้าร้านแบบออฟไลน์ด้วย การมีหน้าร้านทำให้ลูกค้าเข้ามาลองสินค้าได้หลายอย่าง แต่เป็นการขยายสาขาอย่างระมัดระวัง เปิดแล้วต้องประสบผลสำเร็จ
“หมัดเด็ด” ของ อีฟ แอนด์ บอย คือการมีทีมการตลาดที่เชี่ยวชาญในการออกแบบประสบการณ์ที่เข้าถึงคนไทยได้อย่างแม่นยำ ทำให้หลายแบรนด์ตัดสินใจเข้ามาพาร์ตเนอร์ร่วมกับทางร้าน มองว่า เป็นความถนัดที่แบรนด์อยู่ในตลาดมายาวนาน ขณะนี้พบว่า อีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรง คือการใช้สินค้าแบรนด์ไทย เริ่มต้นจากกระแสในโซเชียลมีเดียก่อน สังเกตได้จากการที่มีลูกค้าเข้ามาสอบถามสินค้าที่หน้าร้านโดยตรง ซึ่งขณะนี้ยอดขายแบรนด์ไทยในอีฟ แอนด์ บอย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% แล้ว
“หิรัญ” เปิดเผยอินไซต์ที่น่าสนใจให้ฟังว่า ลูกค้าไม่ได้ยึดติดกับแบรนด์แล้ว มีความหลากหลายในการเลือกซื้อสินค้ามากขึ้น กลุ่มลูกค้าของอีฟ แอนด์ บอย ก็ค่อนข้างเด็ก อายุเฉลี่ยประมาณ 25 ถึง 34 ปี แต่เมื่อเร็วๆ นี้พบว่า กลุ่มลูกค้าเด็กลงไปอีก เฉลี่ยประมาณ 18 ถึง 24 ปี แม้ไม่ได้มียอดการใช้จ่ายมาก แต่เห็นความถี่ในการกลับมาซื้อซ้ำ โดยสินค้าที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจยังคงเป็นเครื่องสำอาง มี “ลิปสติก” เป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด
โฆษณา