4 มิ.ย. เวลา 15:04 • ความคิดเห็น
การจะตอบคำถามของคุณ THE FOOL นี่มันเป็นยังไงนะ คอมผมต้องดับทุกที แล้วต้องพิมพ์ใหม่ทุกที 😂 เอาล่ะครับ ยังไงครั้งนี้ก็ตั้งใจจะตอบให้เต็มความสามารถ พิมพ์ใหม่ก็พิม์เอ้า แม้อาจไม่เหมือนอันที่พิมพ์ไปก่อนหน้าก็ตาม
1
คือจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งที่ผมเคยได้ยินมาให้ฟังอย่างนี้ครับว่า มีสามเณรอยู่รูปหนึ่ง อาศัยอยู่กับพระอุปัชฌาย์รูปหนึ่ง ในที่แห่งหนึ่ง จะเป็นที่ไหนก็จำไม่ได้แล้ว เช้าวันหนึ่ง สามเณรก็เดินตามหลังพระอุปัชฌาย์ออกไปบิณฑบาตรตามปรกติ ครั้นขากลับ พระอุปัชฌาย์พายืนพักในที่ริมทางที่งดงามแห่งหนึ่ง
จะด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินบิณฑบาตร หรือเพียงแค่ความงามของธรรมชาติก็เป็นได้ ทำให้พระอุปัชฌาย์ทัศนาไปในทางหนึ่ง ในที่ๆ งดงาม ฝ่ายสามเณรได้ทอดสายตาลงทัศนาไปอีกทางหนึ่ง ครั้นแล้วก็ได้พบกับศพมนุษย์ศพหนึ่ง อยู่ข้างกอหญ้าใกล้ๆ นั้น คืนนั้นตลอดทั้งคืน สามเณรคงเจริญวิปัสสนาอย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นแน่ จิตจึงได้ตั้งมั่นไม่ไหวหวั่น ครั้นแล้วสามเณรก็อาศัยศพนั้นเจริญอสุภสัญญา พิจารณาจากผิวหนังชั้นนอก เข้าไปจนถึงเหยื้อในกระดูก พิจารณาจากเหยื้อในกระดูกออกมาจนผิวหนังชั้นนอก ก็พบกับอมตธรรม
บรรลุพระอรหันต์ในที่นั้น จากนั้นสามเณรก็คิดว่าควรสงเคราะห์พระอุปัชฌาย์ของตนให้บรรลุธรรมวิเศษนี้บ้าง แต่แล้วก็คิดได้ว่า ตนเป็นเพียงสามเณร หากบอกพระอุปัชฌาย์ว่าตนบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วแสดงธรรม พระอุปัชฌาย์ก็คงถือดีว่าตนเป็นพระอุปัชฌาย์ การแสดงธรรมก็คงจะไร้ผล คิดได้ดังนั้นสามเณรผู้เป็นพระอรหันต์แล้วจึงนิ่งอยู่ พอพระอุปัชฌาย์อิ่มกะความงามของธรรมชาติแล้วกำลังจะเดินไป สามเณรจึงค่อยกล่าวขึ้นว่า "พระคูณเจ้าขอรับ จะไปแล้วหรือขอรับ?"
"ไปแล้วสามเณร" พระอุปัชฌาย์ตอบ
"ขอให้พระคุณเจ้ารอซักครู่ หันไปทางนั้น มีสิ่งงดงามอื่นให้ดูอยู่อีก" สามเณรบอกพระอุปัชฌาย์พลางหันหน้าไปทางที่ศพถูกทิ้งไว้อยู่ พอพระอุปัชฌาย์หันไปตามสามเณรก็ตกกะใจจังงัง ความดำริว่างามที่เก็บเอามาเต็มอกก็พรันปราศนาการไปสิ้น คิดอยากจะหันไปตวาดสามเณรว่ามีความน่าดูอยู่ที่ไหนในศพ มีแต่ความน่าสยดสยอง น่าขยะแขยง แต่พอเห็นสีหน้าของสามเณรที่ดูเรียบเฉยแล้ว ก็สลดใจลงไปอีก
พระอุปัชฌาย์จึงยืนพิจารณาศพนั้นอยู่ซักครู่ตามคำของสามเณรที่บอกเป้นนัยตั้งแต่แรกนั้น แล้วก็บรรลุพระอรหันต์เหมือนกัน นิทานเรื่องนี้เป็นสำนวนของผมเอง ทั้งคำพูดทั้งข้อธรรมก็เป็นผมนั่นแหละเอาใส่ จึงไม่มีแหล่งที่มาอ้างอิงใด แต่สาบานได้ว่าผมได้ยินมาจากที่อื่นจริงๆ
1
โดยนัยนี้ ศพๆ เดียวจึงให้คุณประโยชน์ถึงสองคน และพระอุปัชฌาย์ได้บรรลุพระอรหันต์ตามคำของสามเณรก็โดยนัยนี้
สารสำคัญที่จะบอกก้คือ การที่เด็กกล่าวสอนธรรมแก่ผู้ใหญ่นั้นเป็นเรื่องธรรมดาในศาสนาพุทธนั่นล่ะครับ เพราะท่านกล่าวว่า "กษัตริย์ เพลิง งู อย่าดูว่าน้อย และผู้มีปัญญา ก็อย่าดูว่าอายุยังน้อยด้วยเช่นกัน" เพราะฉะนั้น การที่เด็กจะกล่าวสอนธรรมแก่ผู้ใหญ่ เฉพาะแค่เรื่องนี้ ไม่มีปัญหาหรอกครับ เรื่องของอายุน่ะ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า สิ่งที่เด็กกล่าวสอนนั้นจะเป็นธรรม หรือไม่เป็นธรรม คือเป็นธรรมเก๊ๆ ปัญหาอยู่ตรงนี้นี่เอง
ดังนั้นหากสมมุติว่า หากพระโสดาบัน ตายไปแล้วเกิดมาเป็นเด็กที่มีคุณวิเศษอะไรบางอย่าง เอาเป็นว่าบรรลุหลักธรรมอะไรบางอย่างก็แล้วกัน แล้วจะสอนธรรมะแก่ผู้ใหญ่ พระโสดาบันเด็กที่บรรลุธรรมคนนั้น ก็คงรู้จักกำลังของตนเป็นอย่างแรกนั่นแหละครับว่าตนเองจะสามารถสอนคนอื่นได้หรือไม่ได้ และหากเป็นผู้มีกำลังที่จะกล่าวสอนคนอื่นจริง ก็คงฉลาดในการหากลวิธี หาอุบายต่างๆ ทำให้ผู้ใหญ่ยอมฟังแม้ตนจะเป็นเด็กอยู่ก็ตาม
เพราะหากจะสักแต่กล่าวๆ อ้างๆ ว่า ตนบรรลุธรรมๆ แล้วกล่าวสอนชาวบ้าน ก็คงไม่มีชาวบ้านคนไหนสนใจรับฟังหรอกใช่ไหมล่ะครับ และยิ่งถ้าตัวเองเป็นเด็ก และสิ่งที่พูดออกมานั้นไม่เป็นเหตุเป็นผลน่าเชื่อถือรับฟังด้วยแล้วก็ยิ่งแล้วกันไปใหญ่ เพราะคนที่จะยอมรับฟังคำพูดของเด็กได้ นอกจากคนฉลาดแล้ว ก็คงจะมีแต่เพียงคนโง่สุดๆ เท่านั้นเอง 😜
โฆษณา