5 มิ.ย. เวลา 06:30 • การตลาด

ไขความลับ ‘Muketing’ พลังแห่งศรัทธา ปั้น Brand Engagement สู่ยอดขายหลักหมื่นล้าน!

ในโลกของการตลาดยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูง แบรนด์ต่างๆ กำลังมองหาวิธีการสร้างความผูกพันกับลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และหนึ่งในกลยุทธ์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้คือ ‘Muketing’ หรือการนำเอาความเชื่อ ความศรัทธา และสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจมาใช้ในการทำการตลาด
ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้าและบริการเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ MuTech หรือการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับความเชื่อและศรัทธา กำลังกลายเป็นเทรนด์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ยังคงเชื่อเรื่องโชคลางและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เมื่อความเชื่อและศรัทธาของผู้บริโภคกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง Brand Engagement และกระตุ้นยอดขายให้ธุรกิจค้าปลีก Muketing หรือการตลาดที่ผสานความเชื่อเข้ากับกลยุทธ์ทางการตลาด จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หัวใจสำคัญของ Muketing คือการสร้าง Content ที่น่าสนใจและมีความเชื่อมโยงกับความเชื่อและวิถีชีวิตของผู้บริโภคเข้ากับสินค้าและบริการได้อย่างกลมกลืน โดยอาจมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยเพิ่มลูกเล่นและความน่าสนใจ เช่น AR, VR หรือ Interactive Content ต่างๆ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดื่มด่ำและน่าประทับใจให้กับลูกค้า ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่ม Engagement เท่านั้น แต่ยังสามารถกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าได้อีกด้วย
ยิ่งในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ การผสมผสานระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์เพื่อสร้าง Immersive Experience ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ตัวอย่างของ MuTech ที่เห็นได้ชัด เช่น การใช้ AI สร้างภาพวอลเปเปอร์สายมูตามวันเกิด, แอปดูดวงออนไลน์, บริการไหว้พระ-แก้บนออนไลน์ หรือ e-commerce ขายเครื่องรางของขลัง เป็นต้น
นอกจากนี้ การเลือกช่วงเวลาและโอกาสที่เหมาะสมในการจัดแคมเปญหรืออีเวนท์ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การทำ Muketing ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น เช่น ในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา เซ็นทรัลพัฒนาได้จัดแคมเปญใหญ่ฉลองตรุษจีน โดยร่วมมือกับ "หมอช้าง-ทศพร ศรีตุลา" ในฐานะ Content Creator ชื่อดังสายมู จัดพิธีไหว้ไฉ่ซิ่งเอี๊ยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในไทยพร้อมประดับตกแต่งด้วยกำแพง 9 มังกรดิจิทัล เพื่อเสริมสิริมงคลให้กับลูกค้าที่มาร่วมงาน ซึ่งถือเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างสีสันและดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Lucky HengHeng ก็ได้เข้ามาลุยตลาด MuTech อย่างเต็มตัว โดยอาศัยข้อได้เปรียบจากฐานข้อมูลผู้ใช้บริการสายด่วนดูดวง 1900 กว่า 20 ล้านครั้ง และทีมโหราจารย์กว่า 270 ท่าน ในการนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น ส่วนในฝั่งของ SME ก็มีผู้ให้บริการอย่าง Sattha Online ที่เข้ามาแก้ Pain Point ของคนไม่มีเวลาเดินทางไปทำบุญ ด้วยการให้บริการแก้บนและขอพรออนไลน์ โดยใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อกลางเชื่อมความเชื่อเข้ากับโลกดิจิทัล
งานวิจัยล่าสุดจากหอการค้าไทยชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจสายมูจะกลายเป็นดาวรุ่งแห่งปี 2567 ด้วยมูลค่าการตลาดสูงถึง 10,000-15,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นถึง 10-20% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คนไทยยังคงให้ความสำคัญกับความเชื่อและศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก
ทั้งในเรื่องของการบูชาและอธิษฐานขอพร การใช้เครื่องรางของขลัง ไปจนถึงการใช้เลขมงคล สีมงคล เป็นส่วนประกอบในชีวิตประจำวัน โดยจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,200 รายทั่วประเทศ พบว่า 88% ของคนไทยเชื่อเรื่องการมูเตลู โดยเฉพาะในเรื่องเงินและโชคลาภ และกว่า 52% มองว่าการมูเตลูเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจที่สำคัญ
นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาจาก CMMU ยังระบุอีกว่า คนไทยกว่า 52 ล้านคน มีความเชื่อเรื่องโชคลาง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ไม่แน่นอน จึงต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
โดย 5 ความเชื่อหลักที่มีอิทธิพลต่อคนไทยมากที่สุด ได้แก่
1. โหราศาสตร์และการดูดวง
2. สีมงคลในชีวิตประจำวัน
3. ตัวเลขมงคลนำโชค
4. พระเครื่องและวัตถุมงคล
5. ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ
ในส่วนของพฤติกรรมการเสพข้อมูลนั้น คนไทยราว 47 ล้านคน ชอบดูรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย เช่น YouTube, TikTok, Facebook และ Instagram
โดยหากแยกกตามช่วงวัย จะพบว่าทั้ง Gen X, Gen Y และ Gen Z ต่างมีรูปแบบและวิธีการมูที่แตกต่างกันออกไป Gen X หรือคนในช่วงอายุ 43-58 ปี จะเน้นการสวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญ และขอพรเรื่องสุขภาพเป็นหลัก เพราะมองว่าเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความหวังและกำลังใจในการใช้ชีวิต
ในขณะที่ Gen Y คนวัยทำงานอายุ 27-42 ปี จะเปิดกว้างกับการมูในหลากหลายรูปแบบ เน้นเรื่องของการเงินและหน้าที่การงานเป็นพิเศษ ส่วน Gen Z เด็กรุ่นใหม่วัย 11-26 ปีนั้น มองการมูเป็นเรื่องของไลฟ์สไตล์ ที่สามารถหยิบจับมาปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะผ่านการแต่งกาย เครื่องประดับ หรือกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ
โดยผลสำรวจจาก AU Poll ชี้ว่า แม้ Gen Z จะเป็นเด็กยุคดิจิทัลที่มีเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน แต่ก็ยังให้ความสนใจเรื่องมูเตลูไม่แพ้เจนอื่น โดย 73% ของนักศึกษากลุ่มนี้จัดเป็นสายมู และ 86% ใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเสพข้อมูลเรื่องมูเตลู
สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการนำ Muketing มาปรับใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาด มี 3 กลยุทธ์หลัก ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่
1. Empowering Muketing เติมพลังใจ เพิ่มพลังกายให้คน Gen X ผ่านการเชื่อมโยงไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพเข้ากับกิจกรรมมูตามความเชื่อ เช่น การจัดงานวิ่งมาราธอนไหว้พระ 9 วัด เป็นต้น
2. Embracing Muketing มอบประสบการณ์มูแบบใหม่ๆ ให้คน Gen Y ที่ชอบลองของใหม่ ผ่านการนำเสนอกิจกรรมมูสุดพิเศษที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน บวกกับการพาไปเที่ยวในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่มาพร้อมโปรโมชันสุดคุ้มจากแบรนด์
3. Embellish Muketing เติมเต็มไลฟ์สไตล์มินิมอลของคน Gen Z ด้วยการสอดแทรกความเป็นมูเข้าไปในสินค้าและบริการ ผ่านการใช้สีสัน ลวดลาย หรือการออกแบบที่ผสมผสานความเชื่อเข้ากับความทันสมัย ให้สามารถหยิบจับมาใช้ได้ในชีวิตประจำวันอย่างเท่และมีสไตล์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระมัดระวังในการทำ Muketing คือ การทำความเข้าใจถึงความเชื่อและความแตกต่างของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม เพราะความเชื่อของแต่ละคนล้วนมีความหลากหลายและเฉพาะตัว หากทำมากเกินไปหรือไม่ตรงใจลูกค้า ก็อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ ดังนั้น การหาจุดสมดุลที่ลงตัวและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
จากข้อมูลและตัวอย่างที่ได้พูดถึงมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าธุรกิจใดก็ตามที่สามารถนำ MuTech มาประยุกต์ใช้ในสัดส่วนที่ลงตัว ย่อมมีโอกาสที่จะเติบโตได้สูงในตลาดสายมูที่มีมูลค่ากว่า 10,000-15,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มขยายตัวถึง 10-20% ต่อปี
ดังนั้น หากแบรนด์สามารถนำข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์ต่าง ๆ เหล่านี้ไปปรับใช้ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของตัวเอง ก็จะสามารถสร้าง Brand Engagement ที่แข็งแกร่งได้ ด้วยการเชื่อมโยงกับสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจที่มีมาช้านานของคนไทย ผ่านแนวคิด Muketing ที่ผสานเทคโนโลยีเข้ากับความเชื่อได้อย่างลงตัว เพื่อส่งมอบคุณค่าและประสบการณ์ที่ดีที่สุดทั้งทางกายและใจ ที่จะนำไปสู่ความผูกพันที่ยั่งยืนระหว่างแบรนด์และลูกค้าต่อไปในยุคดิจิทัลนี้ค่ะ
Source: brandage, marketingoops
โฆษณา