6 มิ.ย. เวลา 16:31 • ปรัชญา
เวลาที่เรามองไปข้างนอกที่เราสัมผัส วิญญาณทั้งหก ไปสัมผัสรับรู้อาชะไรต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาเป็นมายาของอารมณ์ ทั่งสิ่้น (มายาของอารมณ์ที่ทำให้ไปยึดว่าสิ่งนั่นสิ่งนี้มีความสำคัญแล้วก็สั่งกายให้เคลื่อนไหว ไปหยิบไปเอามา เอามายึดถือ เข่น รูปนี้สวย รูปนี้งาม เกิดอยากได้ เกิด..) ทั่งนอกกายในกาย ในจิตที่มาอาศัยในกายมนุษย์
หรือสัตว์ ต่างมีภาระมีอารมณ์ มีตัณหาราคะ แต่กายมนุษย์มีพิเศษกว่าสัตว์อื่น ที่สามารถใช้กายนี้ มาเรียนเรียบ เหตุผล ให้รู้จักกรรม รู้จักธรรม ที่ส่งเสริมให้นำกายมาสร้างบุญกุศล หนีกรรม สิ่งเหล่านี้ จิตที่อาศัยอยู่ในเรือนกายต้องเป็นผู้ที่ใช้กายนั้นเอง มันเป็นเรื่องสติปัญญาของแต่ละดวงจิต ที่จะใช้กายนี้มาทำอะไรชั่วขณะหนึ่ง
บางคนก็ใช้กายไปเป็นโจร ไปติเตียน ด่อว่าคนนั้นคนนี้ ไปประกอบอาชีพหากินเลี้ยงสังขาร ต้องมีการใช้อารมณ์โลภโกรธหลง อารมณ์นึกคิดตลอด ..สิ่งนั่นแหละที่ทำให้เกิดตายๆ กินกันนอนแล้วก็เกิดมากินนอนไม่รู้จักจบสิ้น ผู้ที่เห็นว่าการเกิด มากินกับนอน มีความน่าเบื่อหน่าย เป็นทุกข์ เค้าก็เสาะแสวงหา ทางที่จะยุติการเกิด
เกิดมาทุกครั้ง ก็เกิดแก่เจ็บตาย แล้วจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ตลอดไปหรือ ..พอมาเจอคำสอนพระพุทธเจ้า เค้าก็มาเรียนรู้ ฝึกหัด ในธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะหนีกรรม หนีการเกิด แล้วใครจะหนีใครจะทำหรือไม่ทำ ก็เป็นสิทธิ์ของจิตแต่ละดวง ที่เป็นใหญ่ ในกายตนที่จิตอาศัย ไม่มีใครใหญ่กว่า จิตของเราที่อาศัยเรือน กาย เพราะเป็นผู้สั่งให้มีกิริยาท่าทางกายวาจาใจเอง
โฆษณา