7 มิ.ย. เวลา 04:33 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
วัดธรรมยาน Watdhammayan

ทำไมประเทศไทยจึงมีแต่ความเหลื่อมล้ำ??? รวยกระจุก จนกระจาย ชาวพุทธจะวางใจอย่างไรให้ไม่ทุกข์? #elite

หากใครเคยศึกษาเรื่องจักรวาลวิทยาตามหลักพุทธะวิทยาศาสตร์มาก่อน จะรู้เลยว่าพระพุทธศาสนาคือวิทยาศาสตร์เชิงละเอียด โดยพระศาสดาได้จัดหมวดหมู่ของจักรวาลไว้ให้เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติระดับสูงที่เกิดเป็นวัฏจักร เป็นอินเตอร์ลูป ซ้ำไปซ้ำมา
#จักรวาล #เอกภพ #สังสารวัฏ
จักรวาลในศาสนาพุทธจะไม่ได้หมายถึงแค่เฉพาะจักรวาลที่เรียกว่ายูนิเวิร์สตามหลักดาราศาสตร์ แต่จะครอบคลุมทุกมิติ ทุกเอกภพ คำว่าจักรวาลในศาสนาพุทธกินวงกว้างมาก และพระพุทธเจ้าก็ทรงค้นพบความจริงที่ว่า จักรวาลเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่มีมากมายนับไม่ถ้วน ในช่วงขณะเดียวกันนี้ มีจักรวาลที่มีกาแล๊กซี่ทางช้างเผือก และช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็ยังมีจักรวาลอื่นๆอีกที่อยู่ในห้วงมิติอื่น เรียงหลั่นกันเป็นจำนวนนับอนันต์
และทุกจักรวาลจะมีวัฏจักรของมัน นั่นก็คือ เกิด คงอยู่ ดับสูญ เวียนวนซ้ำมาซ้ำไปแบบนี้ทุกยุคทุกมหาสมัย เพียงแต่สำหรับมนุษย์แล้ว ระยะเวลาในการคงอยู่ของเอกภพ จักรวาล ดาราจักร ระบบสุริยะ ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์นั้นแสนยาวนาน นานนับล้านล้านล้านล้านๆๆๆปี นานเสียจนหลายคนไม่เชื่อว่าเอกภพและจักรวาลจะต้องพังพินาศดับสูญเข้าในสักวัน
อย่างเอกภพที่มีจักรวาลของเรานี้ ครั้งหนึ่งก็เคยมีจักรวาลอื่นมาก่อน ในจักรวาลนั้นอาจมีการเรียงตัวของดาราจักรและดวงดาวที่เหมือนหรือแตกต่างกันกับของเราก็ได้ เป็นอจินไตยที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ ซึ่งสภาวะอินเตอร์ลูปเช่นนี้ ไม่เคยแตกต่างกันเลยแม้แต่มหาสมัยเดียว จักรวาลจะผุดเกิดเปล่งขยาย กระจายตัวตั้งอยู่ แล้วถล่มทลายสลายสิ้นไป
เมื่อมองในมุมนี้เราก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มิติของเวลาเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อใช้บ่งบอกความยาวนานของการตั้งอยู่ แต่จริงๆแล้ว เวลา ไม่มีตัวตน ไม่สามารถจับต้องได้ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางธรรมชาติ แต่เป็นข้อเท็จจริงทางบัญญัติเท่านั้น ดังนั้น ทางธรรม อาจกล่าวได้ว่า เวลาไม่มีอยู่จริง
ลองนึกตามผู้เขียนนะครับ จักรวาลก่อน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป จนเกิดจักรวาลนี้ ที่พวกเรามาดำรงอยู่ เพื่อรอวันที่มันจะดับสลายสูญสิ้นไปอีกครั้ง เพราะฉะนั้น เวลาจึงไม่มีจริง เพราะจักรวาลมีการทำซ้ำ เปรียบประหนึ่งการก๊อปปี้เอกสารพร้อมกันทีเดียวล้านแผ่น แต่ละแผ่นนั้นเกิดขึ้นมาในช่วงไล่เลี่ยกัน รายละเอียดโดยรวมก็เหมือนกัน
ซึ่งเอกสารต้นฉบับอาจถูกใช้งานมาแล้วหลายครั้ง ถูกนำไปถ่ายเอกสารมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง เนื้อหาที่ถูกถ่ายเอกสารก็จะออกมาเป็นเรื่องราวเดียวกันเสมอ พอเอกสารถูกเก็บไว้นานเกินไป ก็เหลือง ก็กรอบ ก็ผุผง ย่อยสลายหายสาบสูญไป จักรวาลก็เช่นกัน
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตัวเราที่เป็นเหมือนเนื้อหาเดิมๆจากเอกสารแผ่นเก่า เมื่อได้ถูกถ่ายทอดไว้ในเอกสารแผ่นใหม่ ก็ไม่ต่างอะไรกับจิตวิญญาณของเราที่ถูกคัดลอกลงในรูปขันธ์ใหม่ ผ่านการเกิดซ้ำๆ ผ่านการตายซ้ำๆ มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นในสภาพของสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เทวดา หรือแม้แต่พรหม
เปรียบประหนึ่งหมึกพิมพ์ที่พิมพ์ลงในกระดาษแผ่นใหม่ แต่เมื่ออ่านข้อความก็ได้ใจความเดิม เนื้อหาเดิม แต่แน่นอนว่า กระดาษแผ่นนั้นอาจจะเป็นกระดาษเอสี่ (โลกมนุษย์) กระดาษเอสาม (โลกสัตว์เดรัจฉาน) กระดาษปกรายงานกลิ่นหอม (โลกเทวดา) หรือ กระดาษปกแข็ง (โลกสัตว์นรก) ก็ได้
#จักรวาล #เอกภพ
เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏจักรสมมติแห่งแดนเกิดที่เป็นความจริงมานับชาติไม่ถ้วนแล้วครับ
ผู้เขียนเคยพูดถึงกฎการสะท้อนเชิงสัมบูรณ์ละเอียด หรือที่ภาษาธรรมะจะเรียกว่ากฎแห่งกรรม อันถือเป็นนิยามในอีกคติหนึ่งของ "ฟิสิกส์ควอนตั้ม" กฎแห่งกรรมจะเป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติที่จะสะท้อนคลื่นควอนตั้ม คลื่นนี้ทำปฏิกิริยากับจิตของสิ่งมีชีวิตที่เพิ่งตาย และเป็นตัวแปลงสัญญาณให้จิตเปลี่ยนที่อยู่ ไปบรรจุอยู่ในรูปขันธ์ที่เหมาะสมที่สุด ตามลักษณะจิตในขณะนั้น
ปฏิกิริยานี้มาพร้อมกับการปฏิสนธิเมื่อจิตได้รูปขันธ์แล้ว เช่น การปฏิสนธิในครรภ์ การปฏิสนธิในไข่ การปฏิสนธิในสิ่งปฏิกูล และการปฏิสนธิแบบปรากฏขึ้นเองจากความว่าง
แม้จะเป็นจิตดวงเดิม วิญญาณกลุ่มเดิม แต่มีรูปขันธ์ใหม่ ทำให้การแสดงออกผิดแผกออกไปตามอินทรีย์ ตามนิสัยใหม่ที่บ่มเพาะในชาติใหม่ ตามเชื้อชาติและสปีชี่ส์ที่ได้มาถือกำเนิดใหม่ เช่น สัตว์เดรัจฉาน อมนุษย์ มนุษย์(รวมมนุษย์ต่างดาวด้วย) อสุรสัตว์ เทพ พรหม เป็นต้น
และแน่นอนว่า รูปขันธ์ใหม่ในแดนเกิดใหม่ ย่อมเป็นไปได้ทั้ง เลวร้ายมาก เลวร้าย พอใช้ ดี และดีมาก ซ้ำแดนเกิดก็ย่อมต่างกันไป เพราะเรามีแดนเกิดมาจากการสะท้อนเชิงสัมบูรณ์ละเอียด เมื่อกฎการสะท้อนยิ่งซับซ้อนมากก็ยิ่งทำให้แดนเกิดหรือสถานเกิดมีความซับซ้อน เช่น อาจจะเกิดในภูมิประเทศที่ร้อนมากแต่เป็นเศรษฐี อาจจะเกิดในภูมิภาคที่อาหารการกินอุดมสมบูรณ์แต่ไม่มีเทคโนโลยี หรืออาจจะเกิดในประเทศที่เต็มไปด้วยการโกงกินจนผู้จนรวยกันเป็นกลุ่มกระจุกตัวแต่ยากจนข้นแค้นเป็นวงกว้าง
หรือที่ศัพท์เทคนิกเรียกว่า "รวยกระจุก จนกระจาย" อันเกิดจากผู้มีบุญเก่าหนุนนำหลายต่อหลายคนเกิดความหลงระเริงในวาสนาที่ตนมี ใช้อำนาจและเงินตราไปในทางมิชอบ แสวงหาผลประโยชน์เข้าสู่ตนและพวกพ้องครอบครัวให้ได้มากที่สุดโดยไม่คำนึงถึงคนอื่นในสังคม
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าเหตุใดประเทศไทยจึงตกอยู่ในสภาวะรวยกระจุกจนกระจาย ซ้ำยังเป็นเช่นนั้นในยุคข้าวยากหมากแพง แต่ คนที่มีวาสนาดีน้อยคนนักที่จะตระหนักถึงเรื่องนี้ บางคนก็เอาแต่เสพความสุขสบายกินหรูอยู่แพงท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อยของคนที่ไร้วาสนา แม้จะพยายามสู้ชีวิตสักแค่ไหนก็ตาม (ไม่นับพวกที่จนอยู่แล้วแต่ก็ขี้เกียจ สำมะเลเทเมา)
ความอยุติธรรมในสังคมเช่นนี้ เกิดขึ้นได้ด้วยการกระทำของผู้คนในปัจจุบันก็จริงอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า "กฎการสะท้อนเชิงสัมบูรณ์ละเอียด" นั้นมาเกี่ยวข้องด้วย และเกี่ยวข้องแบบดัชนีมวลรวมเสียด้วย ยกตัวอย่างเช่น ผู้คนในยุคก่อนกลุ่มใหญ่มากกลุ่มหนึ่ง มีความพากันเลื่อมใสเชิดชูมิจฉาทิฏฐิบุคคล ยกยอปอปั้นไปไกล ให้มิจฉาทิฏฐิบุคคลมาเป็นสรณะของมวลชน
#มิจฉาทิฏฐิ
ต่อมาก็ส่งต่อความเชื่อผิดๆว่าต้องเคารพบูชามิจฉาทิฏฐิบุคคล เหตุเพราะหลงผิดไป แม้จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามแต่ แต่สุดท้ายแล้ว ผลกรรมที่กระทำร่วมกันเป็นหมู่คณะ เผลอๆอาจจะทำร่วมทั้งอาณาจักรก็อาจส่งผลเป็นการสะท้อนเชิงสัมบูรณ์ละเอียดมวลรวม ทำให้สังคมมีแต่ความลุ่มๆดอนๆ คนรวยก็รวยเป็นบ้า คนจนก็จนเสียจนอยากตายไวๆก็มี ส่วนคนฐานะปานกลางก็ไม่พอใจในสิ่งที่มี ดิ้นรนดั้นด้นแสวงหาเพื่อให้ทัดเทียมคนมี
ถามว่าเราจะวางใจอย่างไรในสังคมที่มีแต่ความไม่ยุติธรรม จะทำเช่นไรให้สังคมยุติธรรม ไม่ให้มีความเหลื่อมล้ำ แบ่งแยก แตกต่าง สู่เสมอภาค หากจะให้ผู้เขียนตอบในเชิงของตรรกศาสตร์ ก็คงต้องตอบว่าเราต้องร่วมแรงร่วมใจ "ขุดรากถอนโคนคณะมิจฉาทิฏฐิบุคคล" ให้ได้ ถ้าทำได้ ถ้ากำหราบเหี้ยน ชนิดที่คนเหล่านั้นไม่อาจโงหัวขึ้นมาเอาเปรียบสังคมไทยได้อีก สังคมก็จะดีขึ้น โครงสร้างพื้นฐานจะสมบูรณ์ และพวกเราจะได้รับความเป็นธรรมกันอย่างถ้วนหน้าแน่นอน
แต่หากจะต้องตอบในเชิงของพุทธะวิทยาศาสตร์ ผู้เขียนคงต้องตอบว่า สิ่งเหล่านี้คือธรรมชาติของโลกย์(โลกิยวจร) ความเป็นไปของโลกย์ที่เกิดขึ้นมาในทุกๆจักรวาลนั้นย่อมเป็นไปเป็นมาเช่นนี้เสมอ โดยเฉพาะในดวงดาวเอื้อชีวิตที่มีคุณสมบัติของ "ชมพูทวีป" ซึ่งเป็นพิภพที่ต้องมีความเหลื่อมล้ำโดยกัมมันตะธัมม์ ไม่มีวันกำจัดออกไปได้ ก็ด้วยกฎธรรมชาติแห่งกรรมกำกับอยู่ชั่วกาล แต่ก็อาจทุเลาเบาได้บ้าง แล้วแต่เหตุปัจจัยในประเทศเขตนครนั้นๆ (แม้แต่ประเทศเจริญมากอย่างสวิสก็มีความเหลื่อมล้ำ)
#เสมอภาค
ชมพูทวีป ไม่ใช่ชื่ออินเดียโบราณ แต่เป็นชื่อของดาวเคราะห์ใดก็ตามที่มีมนุษย์ในตระกูลอายุสั้นอาศัยอยู่(80-100ปี) ซึ่งอาจมีดาวเคราะห์ประเภทนี้อยู่ในทุกๆจักรวาล ไม่ว่าจะจักรวาลข้างเคียงอื่นๆในช่วงเวลามหาสมัยเดียวกันในตอนนี้ หรือจักรวาลที่ดับไปแล้วในอดีต หรือจะจักรวาลที่จะเกิดใหม่ในอนาคตก็ไม่เว้น
ลักษณะของชาวชมพูทวีปก็คือ กล้าทำชั่วสุดโต่ง กล้าเฉยเมยสุดขีด และกล้าทำดีอย่างหนักอักโขภิณี แถมมีอายุสั้น นอกจากนี้ตลอดช่วงของการเกิดขึ้นและตั้งอยู่ จะผ่านไปด้วยความเฒ่าชราลงเรื่อยๆ ตั้งแต่เบาบาง ปานกลางและสาหัส ทำให้มองเห็นและพิจารณากฎไตรลักษณ์ได้ดี ถ้าจิตมุ่งธรรม อย่างไรสักวันก็ต้องได้หลุดพ้น แม้จะมีสันดานหยาบอยู่ในตัวมากเพียงไรแต่ถ้ามีธรรมะเป็นที่พึ่งพิงใจ ชาวชมพูทวีปก็จะเดินทางสู่การหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างประเสริฐ
พระพุทธเจ้าจึงตัดสินใจลงมาอุบัติในชมพูทวีปเพื่อโปรดสัตว์ให้หลุดพ้นโอฆะสังสารวัฏ เพราะสัตว์โลกนี้จะสดับธรรมและสามารถบรรลุมรรคผลได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่ามนุษย์ในดาวดวงอื่นนั่นเอง
เพราะฉะนั้น หลักการวางใจให้ถูกต้องเมื่อเห็นสังคมไทยน่าสลดสังเวชไปด้วยความเหลื่อมล้ำ คือ การตั้งสติ ทำใจให้เข้าถึงความธรรมดาของโลก (มีมืดมีสลัวมีสว่าง) วางปัญญูเบกขาให้มั่นคง สดับรับรู้ว่าโลกมันย่อมเป็นไปของมันเช่นนี้แหละ และยากที่จะไปเปลี่ยนแปลงให้มันศิวิไลซ์ในด้านคุณธรรมได้อย่างเสมอภาค ตราบใดที่ศีลของมนุษย์แต่ละคนยังไม่เท่ากัน และวาสนา(กรรม)ของมนุษย์ในชมพูทวีปหรือดาวโลกเรายังไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะกี่จักรวาลผ่านไป ดาวโลกจะเกิดดับอีกสักกี่ล้านครั้ง มนุษยชาติจะตายแล้วเกิดใหม่อีกสักกี่ล้านชาติ....
ประเทศไทยก็จะต้องวนเวียนประสบพบแต่เรื่องน่าสังเวชเช่นนี้ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่ามนุษย์จะได้รับการชำระจิตใจด้วยความเข้าถึงในพระธรรมเท่านั้น การเข้าถึงพระธรรมจะทำให้คนทุกคนมีศีลเสมอกัน มีกรรมทัดเทียมกันคือมีแค่กุศล เมื่อกรรมทัดเทียมกัน ศีลเสมอกัน ปัญญาย่อมเท่ากัน เพราะฉะนั้นการจะเบียดเบียนกันย่อมไม่มีเพราะมีปัญญาที่เท่ากัน จึงรู้เขารู้เรา เอาใจเขามาใส่ใจเราอยู่เป็นอาจิณ
ซึ่ง สังคมในอุดมคติเช่นนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นมาได้ ตราบใดที่มนุษย์ทุกคนยังข้องแวะอยู่ในกิเลสทั้งมวล พวกเราจึงต้องทนอยู่ในสังคมที่มีทั้งเรื่องชั่วเรื่องดีเรื่องทุกข์เรื่องสุขเช่นนี้ให้จงได้ โดยการวางใจว่า ...
"โลกมันก็เป็นของมันเช่นนี้ เรา เมื่อรู้ทันโลกแล้ว ก็อย่าโง่ยอมให้ความโลภ ความรัก ความโกรธ และความหลง มันมาพาตัวเราให้ดำดิ่งไหลไปตามกระแสโลก จงทำตัวให้เหนือโลกให้ได้ ถ้าเห็นใครเขาชั่ว หากเตือนได้ก็เตือน ช่วยได้ก็อย่ารีรอที่จะช่วย ฉุดเขาได้ก็ฉุดเขาขึ้นมาจากหลุมพรางความชั่วร้าย แต่ถ้าทำไม่ได้ด้วยเหตุผลเกินวิสัย(เช่น เขาจะมาทำร้ายเรา) ก็ให้วางเฉยด้วยปัญญาอุเบกขาเสีย"
สิ่งสำคัญที่สุดของการวางใจเมื่อพบเห็นความไม่ยุติธรรมจากการรวยกระจุก จนกระจาย คือ "อย่าไหลไปตามกระแสชั่ว เพื่อให้ตัวเองไปรวมอยู่ในกระจุกนั้น" และ "นกน้อยทำรังแต่พอตัว เดินทางสายกลาง ตามหลักมัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธองค์" เมื่อทำได้ ความสุขจอมปลอมจากการฟุ้งเฟ้อปรุงแต่งกอบโกย ก็จะไม่มี เมื่อไม่มี เลนส์ที่เรามองสังคมก็จะเปลี่ยนไป กลายเป็นความยอมรับได้ หมดทุกข์เพราะสุขเป็น
สุขเป็น ในที่นี้คือความสบายใจนั่นเอง มิใช่สุขจากการครอบครองทรัพย์สินและปรนเปรอโดยคนที่ถูกใจ เมื่อไม่คิดเปรียบเทียบให้ตัวเองมีมากเหมือนคนอื่น เราก็หมดความน้อยเนื้อต่ำใจ หมดความทะเยอทะยานอยาก ใจสงบเย็นเป็นสุข แม้จะยังไม่ถึงกระแสแห่งหนทางดับทุกข์ แต่ก็ไม่สร้างความทุกข์เพิ่ม เพียงเพราะเอาแต่ไล่ตามความสุขแบบดาดดาดที่ไม่ใช่ของแท้ อีกต่อไป
แอดมินเทวยักเขนทร์ แห่งเพจเฟสบุ๊คธรรมะแฟนตาซี
โฆษณา