7 มิ.ย. เวลา 12:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

ดูซีรี่ส์เกาหลี Flex X Cop ปี 1 แล้วนึกถึงอะไร

เรื่องนี้ก็น่าจะถือว่าเป็นอีกซีรี่ส์ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของวงการบันเทิงของเกาหลีและมาตรฐานการทำงานจริงๆ อีกนั่นหละ แกมีทรัพยากรมากพอที่จะทำละครเป็นซีซันได้ แล้วสามารถคงทีมนักแสดง ทีมงาน คุมตีมได้ตลอดรอดฝั่ง อันนี้แสดงให้เห็นความพร้อมและการแข่งขันกันจริงจัง เรื่องที่ทำกันเป็นซีซันนี่ ถ้าเป็นสายละครฝั่งโสมแล้ว น่าจะเห็นแนวทางมาได้สองสามปีหละ ส่วนใหญ่ที่ทำได้ต่อเนื่องก็จะมีแนวสืบสวนสอบสวนในหลายๆวงการ ตำรวจ ทหาร กระทั้งทหารเกณฑ์ยังทำได้ แนวการแพทย์ แนวกฏหมาย แกงค์คนเขียนบทแกทำได้จริงจัง
สำหรับเรื่อง  Flex X Cop นี่ ออกฉายในดิสนี่ย์พลัส EP1 ที่ดูแล้วอาจไม่ฮุค (เอาจริงแกได้เรตติ้งต่ำสุดก็ EP1 นี่หละจากนั้น ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่ถึงเลขสองหลัก) คือละครค่อนข้างเฉพาะทางไปหน่อย พระเอกก็คนที่เล่นเรื่อง Itaewon Class เป็นคนน่าสงสาร หรืออีกเรื่องที่น่าจะจำได้ก็ Military Prosecutor Doberman นางเอกนี่จะมีงงแทบจำไม่ได้ เรียกว่าบอกให้รู้ว่า การออกแบบตัวละคร เสื้อผ้าหน้าผม การเดิน โห เหมือนคนละคน ถ้าใครเดาไม่ออกเฉลยได้ นางเล่นเรื่อง ​Do you like Brahms? เป็นดารารองที่มีบทในเรื่องพอสมควร
เรื่องย่อก็พระเอกแกเป็นลูกเมียสุดที่รัก (แต่ไม่ใช่เมียแต่ง) แม่ตาย พ่อเอามาเลี้ยงจริงๆ จบทนายความแต่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ประมาณเซเลบ นิสัยดีอ่ะนะ มีเบื้องหลังดำมืดในชีวิต ส่วนนางเอกก็ตำรวจเก่งๆคนนึงที่พ่อโดนใส่ร้ายว่ารับสินบน ด้วยความจำเป็นพระเอกต้องมาเป็นตำรวจปลอมๆ แต่โทษที ไขคดีเก่งกว่าตำรวจจริง ประมาณนั้น การพัฒนาในเรื่องก็ค่อยเป็นค่อยไปสมเหตุสมผลแล้วค่อยๆ ลอกเปลือกตัวละครอื่นๆออกมาเรื่อยๆ ทำให้เรตติ้งดีขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าผู้ดูจะเดาทางออกก็เหอะ แต่ละครก็ชวนให้ติดตามถือว่าดูเพลินๆ อย่าคิดมาก
สิ่งหนึ่งที่กระตุกความคิดเลย เอาจริงละครเกาหลีนี่จะแสดงให้เห็นเรื่องความแตกต่างระหว่างคนรวย คนจน โอกาสความเท่าเทียมโน่นนี่ตลอด เรื่องก็แสดงเหมือนกัน แต่แกทำประมาณว่าก็พระเอกเป็นคนที่อยู่ในโลกของผู้ร้ายที่ตำรวจไม่เคยอยู่ไม่เคยสัมผัสแบบจริงๆ จะให้ตำรวจธรรมดากับข้อจำกัดทางทรัพยากรตามทันผู้ร้ายได้อย่างไร มีอยู่ฉากนึง นางเอกถามพระเอกว่า เออ โลกของคุณมันเป็นยังไงกันนี่ พระเอกตอบว่า เป็นโลกที่ทุกอย่างเป็นไปได้ไง แค่ตรงนี้นะ ก็ทำให้คนที่มีทรัพยากรมากมีโอกาสที่จะคิดจะทำมากกว่าคนมีน้อยแล้ว
ยังไม่รวมไปถึงประสบการณ์สั่งสมที่ผ่านมา สำหรับคนมีเยอะ ก็มีโอกาสทำอะไรสำเร็มากกว่าคนมีไม่เยอะแล้ว ไม่ว่าจะมุมมองในการมองปัญหา ในการสังเกตุและวิเคราะห์ก็แตกต่างกันเยอะ ไม่ใช่แค่เพราะคนเขียนบทเขียนแบบนั้นเพื่อให้พระเอกเก่ง แต่มันก็มีเหตุผลสนับสนุนนั่นหละ เพราะแกอยู่ในสภาวะที่ไม่เคยต้องกังวลอะไรเลย แกจะคิดอะไรสุดโต่งเพื่อไขคดีก็ย่อมได้ ลองคิดถึง Sherlock Holmes Tony Stark Bruce Wayne ประมาณนั้น แก้ปัญหาด้วยทัศนคติคล้ายๆกัน
ในเรื่องนี้มีบทเกี่ยวกับรุ่นพี่รุ่นน้องระบบอาวุโสเหมือนกัน นางเอกนี่แกเป็นสารวัตรหัวหน้าทีมสืบสวนที่อายุน้อย เป็นผู้หญิงอีก โดนเขม่นแน่นอน เรียกว่าโดนแช่งให้จับผู้ร้ายไม่ได้ แต่แล้วก็มีจังหวะที่นางเอกมีโอกาสแก้แค้นรุ่นพี่ นางก็ไม่ได้ทำอะน่ะ เรียกว่าเก็บแต้มบุญไว้ซะงั้น คนเขียนบทคงอยากจะชี้นำสร้างเสริมวัฒนธรรมดีๆในองค์กรให้คนในสังคมเลียนแบบ กระทั่งบทที่รองผู้กำกับด่ารุ่นพี่ว่า ก่อนจะเอาเรื่องอาวุโสมาเอาเปรียบรุ่นน้องก็ไปพัฒนาการทำงานให้ได้ดีกว่ารุ่นน้องก่อนเหอะ อย่ามาบ้าอำนาจตามความแก่เพราะอายุ
อีกเรื่องที่ยังคิดไม่ตกตลอดในละครจะจีน จะเกาหลี ก็เหอะส่วนใหญ่จะต้องมีหลายเรื่องเลยที่จะต้องมีเรื่องการโดนหักหลังโดยคนที่เราคิดว่าดีกับเราที่สุดตลอด ท่าทางความจริงในชีวิตก็คงเป็นเช่นนี้ เหมือนกับมีพวกปราชญ์โบร่ำโบราณชอบเตือนเอาไว้ว่า คนที่คุณไว้ใจมากที่สุด จะเป็นคนที่ทำร้ายคุณได้มากที่สุด พอคิดแบบนี้แล้ว ก็นึกได้อีกว่า เป็นคนที่ตัดสินใจ ที่จะเอาใจไปไว้กับคนอื่น ควักออกไปถ้าโดนใครบีบเข้าก็คงเจ็บสุด คงเป็นเรื่องธรรมดา
แต่อย่างว่าหละ ละครเขียนยังไงก็ได้ แต่ก็อีกนั่นหละ ดูละครแล้วย้อนดูตัวเองถึงจะเกิดการพิจารณาเข้ามาภายใน เห็นได้รับรู้ได้แต่อย่าไปเป็น เห็นแล้วคิดบวกคิดให้สร้างสรรค์ ไอ้ที่ดูๆแล้วเกิดอิจฉาว่าเพราะเราไม่มีเราเลยไม่เก่งอย่างเขาอันนั้นดูแล้วไม่สร้างสรรค์ ต้องคิดดีๆ มีหรือไม่มีสมมติเอาคิดเองป่ะเหอะ ขาดบางทีก็มีประโยชน์ของมัน ไอ้ที่มีเยอะบางทีก็ไม่ได้ดีไปหมด
โฆษณา