8 มิ.ย. 2024 เวลา 11:20 • หุ้น & เศรษฐกิจ

บริษัทย่อยและบริษัทร่วมต่างกันอย่างไร?

บริษัทส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำแค่ธุรกิจเดียว อาจจะเข้าไปร่วมหุ้นกับบริษัทนี้ 10%, 35% หรือ 99% ซึ่งจะพบเจอได้บ่อยในงบการเงิน เกี่ยวกับบริษัทย่อยและบริษัทร่วม โดยจะแบ่งได้ตามสัดส่วนการถือหุ้นดังนี้
กรณีถือหุ้นน้อยกว่า 20%
เมื่อผู้ลงทุนซื้อหุ้นทุนน้อยกว่า 20% จะถือว่าผู้ซื้อมีอิทธิพลต่อผู้ขายเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกันหากบริษัทผู้ซื้อจัดประเภทหลักทรัพย์เป็นเพื่อค้า หรือหลักทรัพย์เผื่อขาย เมื่อถึงสิ้นงวดบัญชี บริษัทผู้ซื้อจะต้องตีราคาใหม่โดย ใช้วิธีมูลค่ายุติธรรม ณ วันสิ้นงวด เพื่อสะท้อนให้เห็นมูลค่าที่แท้จริงของเงินลงทุน
“หลักทรัพย์เพื่อค้า หากราคาหุ้นขึ้นลงจะบันทึกในกำไร-ขาดทุน ถ้าหุ้นขึ้น บ. ก็กำไรเพิ่ม หุ้นลง บ.ก็รับผลขาดทุน”
“หลักทรัพย์เผื่อขาย ราคาหุ้นที่ขึ้นลง ไม่ส่งผลกระทบต่อ กำไร-ขาดทุน แต่จะไปบันทึกตรงกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ”
กรณีถือหุ้นตั้งแต่ 20% ถึง 50%
การถือหุ้นตั้งแต่ 20% จนถึง 50% จะทำให้ผู้ถือหุ้นมีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานและการกำหนดนโยบายทางการเงินของกิจการที่ไปลงทุน การมีอิทธิพล อย่างมีนัยสำคัญพิจารณาได้จากอำนาจในการออกเสียงทั้งโดยทางตรงหรือทางอ้อมของผู้ลงทุนในกิจการอย่างน้อย 20% เรียกการลงทุนนี้ว่า “เงินลงทุนในบริษัทร่วม” ผู้ลงทุนต้องใช้วิธีส่วนได้เสีย บันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัทร่วม
“วิธีส่วนได้เสีย” ผู้ลงทุนจะบันทึกเงินลงทุนในบริษัทร่วมเมื่อเริ่มแรกด้วยราคาทุน เงินลงทุนจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงด้วยส่วนแบ่งกำไรหรือขาดทุนของกิจการที่ถูกลงทุนที่ตามสัดส่วนที่ผู้ลงทุนมีส่วนได้เสียอยู่
กรณีถือหุ้นสูงกว่า 50%
หากบริษัทผู้ซื้อถือหุ้นของอีกบริษัทหนึ่งเกิน 50% ถือว่ากิจการที่ลงทุนมีอำนาจเข้าไปควบคุมอีกกิจการหนึ่งบริษัทผู้ซื้อจะเรียกว่า “บริษัทใหญ่” ส่วนบริษัทผู้ขายจะเรียกว่า“บริษัทย่อย” ผู้ลงทุนต้องใช้วิธีบันทึกบัญชีแบบงบการเงินรวม
โฆษณา