9 มิ.ย. เวลา 13:32 • ข่าวรอบโลก

Overcapacity คืออะไร ทำไมคนเอามาใช้กล่าวหาจีน

ช่วงหลังมานี้ คำศัพท์ที่กำลังเป็นที่ฮ็อตฮิตในวงการนักวิเคราะห์ประเทศจีนคือ “โอเวอร์คาปาซิตี” (Overcapacity)
คำนี้แปลว่าอะไร ทำไมช่วงนี้ถึงมีคนพูดถึงกันเยอะ ประเด็นนี้สำคัญและกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน
โอเวอร์คาปาซิตี ก็คือการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งผลิตสิ่งของมากเกินกว่าแรงอุปสงค์ (ดีมานด์) เป็นอย่างมาก อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ผลิตมากไป แต่ความต้องการน้อยไป ผู้นำของทั้งอเมริกาและยุโรป ต่างรุมกันกล่าวหาว่าจีนตั้งใจผลิตสิ่งของต่างๆ มากเกินไปจนเกิดสภาวะโอเวอร์คาปาซิตีขึ้น
หากฟังเผิน ๆ ก็อาจจะสงสัยว่า แล้วผู้นำประเทศต่าง ๆ จะไปสนใจทำไมว่าจีนจะผลิตอะไรในจำนวนเท่าไหร่ (เพราะมันก็น่าจะเป็นเรื่องของเขา) แต่นักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์ตะวันตกต่างชี้ว่า โอเวอร์คาปาซิตีเป็นปัญหาอย่างมาก เพราะว่าซัพพลายที่เยอะเกินไปในจีน ก็จะถูกส่งออกไปต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ทำให้สินค้าของอเมริกกาหรือยุโรปเองราคาตก และหนักไปกว่านั้นคือ จะโดนจีนตีตลาด ทำให้อุตสาหกรรมท้องถิ่นอยู่ไม่ได้
1
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ แผงโซลาร์เซล ปัจจุบันจำนวนการผลิตแผงโซลาร์เซลของจีนทั้งหมดมากกว่าความต้องการของทั้งโลกถึงสองเท่า ซึ่งทำให้โซลาร์เซลมีราคาถูกลงมาก
เมื่อนาง Janet Yellen รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ไปเยือนประเทศจีนเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เธอก็ได้เตือนว่า ประเทศจีนใหญ่เกินไปที่จะพยายามดันเศรษฐกิจให้กลับมาโตอย่างรวดเร็วด้วยการส่งออก จีนควรใช้กลไกตลาดมากขึ้น และพึ่งแรงสนับสนุนของภาครัฐให้น้อยลง
เมื่อสีจิ้นผิงไปปารีส นาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ก็ได้กล่าวเตือนสีจิ้นผิงเรื่องนี้เช่นกัน สีจิ้นผิงก็เลยตอบว่า ปัญหานี้ไม่ได้มีอยู่จริง
สื่อต่าง ๆ ของจีนก็ได้ช่วยกันตอบโต้ข้อกล่าวหานี้ อธิบายว่าโอเวอร์คาปาซิตีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเมื่อมีการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ คนก็จะเลิกใช้ผลิตภัณฑ์รุ่นเก่า และการที่มีการผลิตเพื่อส่งออกก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจอะไร ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ของจีนท่านหนึ่งก็ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า อเมริกาเองยังส่งออกชิปถึง 80 เปอร์เซนต์ของยอดการผลิตทั้งหมด เยอรมณีก็ส่งออกรถในปริมาณใกล้เคียงกัน
ในส่วนของรถอีวี ซึ่งดูจะเป็นข้อกังวลของอเมริกาและยุโรป สถิติก็ชี้ให้เห็นว่า ผู้ผลิตอีวีรายใหญ่ของจีน เช่น BYD ไม่ได้มีปัญหาเรื่องโอเวอร์คาปาซิตี และอัตราการส่งออกก็ยังต่ำกว่าญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้มาก ปัญหาอาจจะมาจากการที่รถอีวีของจีนทั้งถูกลงและคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ จนอีวีของประเทศอื่นสู้ไม่ได้มากกว่า
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่า ระบบการปกครองของจีนเอื้อให้เกิดปัญหาของโอเวอร์คาปาซิตีจริง ๆ เพราะว่าจีนมักปกครองด้วยระบบทที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่า “Campaign-style governance” (การปกครองผ่านแคมเปญ) มาตั้งแต่ยุคเหมา ผู้นำที่ปักกิ่งจะตั้งเป้าหมายใหญ่ ๆ กว้าง ๆ ไว้ และหน่วยงานท้องถิ่นต่าง ๆ จะต้องแข่งกันทำตามเป้าหมายนั้น หลังจากปี 2008 ที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ขึ้น จีนก็พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ ซึ่งก็ทำให้เกิดโอเวอร์คาปาซิตีขึ้นเช่นกัน
เมื่อสีจิ้นผิงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการสร้างนวัตกรรม หรือที่สีเรียกว่านโยบาย “New productive forces” (新质生产力 อาจแปลเป็นไทยได้ว่า แรงการผลิตสมัยใหม่) การผลิตสิ่งขอไฮเท็คของจีนก็คงไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
จะสั่งให้จีนผลิตน้อยลงคงยาก คำถามคือ อเมริกาและยุโรปจะแก้เกมได้อย่างไรมากกว่า
โฆษณา