10 มิ.ย. เวลา 10:12 • ข่าว

แท็กติกทางภาษี!!

เหตุใด ‘คนดัง’ ถึงชอบเปิดบริษัทรับงาน
เพราะ ‘เงินธุรกิจ’ ไม่เท่ากับ ‘เงินส่วนตัว’
(10 มิ.ย.67) จากบทความของ ‘Money Lab’ (https://www.blockdit.com/posts/6311c420ab812cd90fd71092) ได้นำเสนอหัวข้อ ‘ทำไมคนดัง ถึงชอบเปิดบริษัท เพื่อรับงานแสดงและโฆษณา’ ระบุว่า…
หลายคนอาจจะเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างว่า ดาราและอินฟลูเอนเซอร์ หลายท่านทำธุรกิจกันเยอะมาก และบางบริษัทที่คนดังเหล่านี้จดทะเบียนเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นนั้น ก็เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตัวคนดังเหล่านั้นเอง คือ การรับงานแสดง, งานรีวิว และงานโฆษณา
>> แล้วรู้ไหมว่า ทำไมเหล่าคนดังต้องจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเพื่อมารับงาน ทั้งที่ตัวเองก็ทำงานด้านนั้นอยู่แล้ว?
>> คำตอบก็คือ เพื่อลดหย่อนภาษี นั่นเอง
ทั้งนี้ ภาษี ที่คนส่วนใหญ่ต้องจ่ายกันทุกปีให้กับทางภาครัฐนั้น มีอยู่ 2 แบบ คือ…
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ทุกคนที่มีรายได้ต้องจ่ายกันทุกปี มีอัตราการเก็บแบบขั้นบันได โดยมีอัตราเรียกเก็บสูงสุดที่ 35%
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่บริษัทจดทะเบียนต้องจ่ายกัน โดยมีอัตราเรียกเก็บสูงสุดที่ 20%
>> แล้วภาษีทั้ง 2 รูปแบบ เกี่ยวข้องกับธุรกิจรับงานของเหล่าคนดังอย่างไร?
หากลองเปรียบเทียบโดยยกตัวอย่าง 2 กรณี จาก คุณ A และ คุณ B กันจะพบว่า..
ถ้าสมมติให้ คุณ A มีรายได้ต่อปีทั้งหมดจากการรับงานแสดง, งานรีวิวสินค้า และงานโฆษณา เท่ากับ 10,000,000 บาท ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ต้องจ่ายกรณีไม่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเลย ยกเว้นค่าลดหย่อนส่วนตัว จะเท่ากับ 2,959,000 บาท
แต่ถ้าคุณ A ใช้สิทธิที่มีทั้งหมดที่ภาครัฐให้ เพื่อลดหย่อนภาษีเต็มจำนวน เช่น ซื้อกองทุน RMF และทำประกันชนิดต่าง ๆ … คุณ A จะต้องจ่ายภาษีทั้งหมด เท่ากับ 2,134,540 บาท
ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างของคุณ B ที่จดทะเบียนทำธุรกิจเป็นนิติบุคคลชื่อ B Company โดยสมมติให้บริษัทนี้ มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 1,000,000 บาท และมีคุณ B เป็นเจ้าของ รวมถึงเป็นพนักงานคนเดียวของบริษัท และใช้บริษัทนี้เป็นตัวแทนในการรับงานแสดง, งานรีวิวสินค้า และงานโฆษณา
ในการคิดภาษีของบริษัทที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลนั้น จะคำนวณจากฐานกำไรสุทธิ โดยในกรณีนี้ สมมติให้ B Company มีกำไรสุทธิเท่ากับ 10,000,000 บาท (ซึ่งเท่ากับรายได้สุทธิของคุณ A) แต่ภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ B Company ต้องจ่าย จะเท่ากับ 1,805,000 บาท
หลายท่านอาจสงสัยกันว่า ทำไม B Company ถึงไม่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 20% หรือ 2,000,000 บาท
คำตอบก็คือ B Company มีการจดทะเบียนเป็น SME เพราะมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5,000,000 บาท และมีรายได้ไม่เกิน 30,000,000 บาทต่อปี โดยภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ SME มีอัตราการเก็บแบบขั้นบันได และมีอัตราเรียกเก็บสูงสุดที่ 20%
ทีนี้พอเอาตัวเลขข้างต้นของ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ผ่านการใช้สิทธิลดหย่อนแล้ว มาเปรียบเทียบกัน ก็จะเห็นได้ว่า ส่วนต่างของภาษีที่ต้องจ่ายนั้นสูงถึง 329,540 บาท
แต่รู้ไหมว่า คุณ B ยังสามารถทำให้ B Company จ่ายภาษีได้น้อยลงไปยิ่งกว่านี้อีก โดยสมมติว่า B Company เลือกจ่ายเงินเดือนให้แก่คุณ B ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของและลูกจ้างเพียงคนเดียวของบริษัท เป็นเงินเดือน เดือนละ 75,000 บาท เท่ากับว่ารายได้ทั้งปีของคุณ B จะเท่ากับ 900,000 บาท
แล้วตรงนี้ก็จะนับ 900,000 บาท ว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียวของ B Company ซึ่งเท่ากับว่า กำไรของบริษัทนี้จะเหลือ 9,100,000 บาท และในกรณีนี้ ถ้าคุณ B ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเต็มจำนวนตามกฎหมาย ก็จะไม่ต้องเสียภาษีเลย ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ B Company ต้องจ่าย จะเท่ากับ 1,625,000 บาท
จากตัวอย่างข้างต้น พอจะเห็นได้ว่า เมื่อมีการปรับให้ B Company จ่ายเงินเดือนให้แก่คุณ B ส่วนต่างของภาษีที่ต้องจ่ายระหว่าง นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ก็จะมากถึง 509,540 บาท
พูดง่าย ๆ ก็คือ การจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทนั้น จะช่วยให้บรรดาคนดัง สามารถลดหย่อนภาษีไปได้มากพอดูเลย เพราะถ้าใช้บุคคลธรรมดารับเงิน รายได้เยอะขนาดนั้น ก็คงต้องจ่ายเรตภาษี 35% ต่อปี หรือหาได้ 10,000,000 บาท ก็ต้องจ่ายภาษีไป 3,500,000 บาทแล้ว แต่ถ้าเปิดบริษัทแล้วรับเงิน ยังไงก็เสียภาษีแค่ 20% แถมยังสามารถหักค่าใช้จ่ายได้หลายอย่างอีกมากได้ด้วย
ที่มา : Money Lab
โฆษณา