เป็น นักแสดง ดารา นักร้อง นักมายากล ศิลปิน ทำให้คนลุ่มหลงมีแต่กิเลส ตายไปต้องตกนรก? จริงหรือ???

ก่อนจะตอบคำถามข้อนี้ ผู้เขียนขอเกริ่นด้วยเหตุการณ์หนึ่งในสมัยพุทธกาล ในประเทศภารตะโบราณเคยมีนักแสดงชื่อดังที่ทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะร้องเพลง การละคร เต้นรำและมายากล เขามีนามว่าตาลบุตร เป็นคนมีบุญหนุนนำเพราะเกิดมาหน้าตาหล่อรูปงามเหมือนเทพบุตร มีผิวใสเหมือนผลตาลสุก ทำให้เขาได้รับความนิยมจากมหาชนมากในยุคนั้น
#ไอด้อล #นักร้อง #นักแสดง
ตาลบุตรได้รับเชิญไปแสดงละครร้องรำที่เมืองหนึ่ง เมื่อเสร็จงาน ก็มีแม่ยกพ่อยกมาบอกว่า "ให้ท่านไปนมัสการพระพุทธเจ้าที่จาริกมาพำนักในเมืองนี้เพื่อเป็นเป็นสิริมงคลเถิด" ตาลบุตรจึงได้ไปฟังธรรมจากพระโอษฐ์ ก่อนจะถามพระพุทธองค์ว่า การที่เขาเป็นนักแสดงมอบความสุขสนุกสนานและความสุนทรีย์ให้ผู้คน เมื่อตายไปเขาจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาที่ร้องรำทำเพลงอยู่เป็นนิจด้วยความสุข ใช่ไหม
#อเวจี #ปหาสะ #ดารา #ศิลปิน
แม้ตาลบุตรจะถามพระพุทธเจ้าถึงสามครั้ง แต่พระพุทธเจ้าก็บ่ายเบี่ยงไม่ตอบถึงสามครั้ง แต่ตาลบุตรก็ยังยืนกรานที่จะรอฟังคำตอบให้ได้ พระพุทธองค์จึงยอมบอกตาลบุตรแม้จะรู้ว่าตาลบุตรจะต้องเศร้าหมอง เพราะตาลบุตรอ้างว่าจะไม่ยอมกลับเมือง หากไม่ได้รับคำตอบ
พระพุทธองค์ทรงตอบตาลบุตรว่า "หากนักแสดงหรือศิลปินผู้ใด "มีความเข้าใจผิดๆ" ว่าการเป็นนักแสดงผู้สร้างความสนุกสนานหรรษาและบันดาลเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้ผู้คนจะทำให้ตนได้ไปเกิดบนสวรรค์ จึงทำให้เป็นผู้ประมาทในกรรม จนทำการละคร การร้องรำ การมายากล และกล่าววาจาเย้าหยอกหลอกล่อ จริงบ้างเท็จบ้าง ทำให้คนตื่นใจ แปลกใจ ตกใจกลัว หรือโกรธตามด้วยการแสดงอันเสมือนจริง ย่อมทำให้คนสามารถเกิดอกุศลจิตได้ เท่ากับว่าเราสร้างอกุศลกรรมให้เกิดกับผู้อื่น เท่ากับเราสร้างบาปเองด้วย"
"ดังนั้น เมื่อตายกายแตกสลาย จิตก็จะไปเกิดใหม่ในดินแดนส่วนหนึ่งของอเวจีมหานรก ต้องไปร้องรำระบำดิ้นดีดอยู่ในเปลวไฟนรกชั่วกัปชั่วกัลป์ เพราะความเห็นผิดนั้น" ตาลบุตรได้ฟังดังนั้นก็เสียใจที่ตัวเองเข้าใจผิดมาโดยตลอดเพราะโดนครอบครัวญาติพี่น้องยัดความเชื่อผิดๆให้มาโดยตลอด แล้วบรรลุเป็นอริยบุคคล
บรรยากาศของนรก
สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสื่อความหมายถึง คือ "หมายถึงศิลปินนักแสดงร้องรำที่ {เห็นผิด} ว่าการเป็นศิลปินดารานักร้องจะทำให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ ซึ่งมันไม่ใช่ ปัจจัยที่จะได้ไปเกิดในเทวโลกไม่ใช่การทำให้คนเกิดความบันเทิง อีกทั้งในสมัยพุทธกาล พวกเต้นกินรำกิน วันๆ ไม่ค่อยมีเวลาที่คิดจะทำบุญ วันๆ มัวแต่แสดงและแสวงหาที่แสดง ไปเรื่อยๆ จนแก่ชรา จนตัวเองไม่สามารถประกอบอาชีพได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เคยคิดจะทำบุญ นั่นเอง กล่าวคือพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงหมายความว่าคนบันเทิงทุกคนจะต้องตายไปตกนรกทั้งหมด"
สรุปก็คือ โอกาสของคนบันเทิงที่จะได้ทำบุญมีน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า บางคนเป็นดารานักร้องแล้ว จะไม่ได้ทำบุญทั้งหมด แต่ด้วยเพราะหน้าที่การงานมันมีส่วนทำให้ห่างไกลจากบุญ
ในพุทธศาสนา บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาปแน่นอน ดูกรณีศึกษาของท่าน องคุลีมาล บาปก็ให้ผล บุญก็ให้ผล ทำงานแยกกันชัดเจน
สัตว์ในอเวจีมหานรก
ดังนั้น หากบุญ(กุศลกรรม) มี "มากพอ" ที่จะเบียดบดกดทับบาป(อกุศลกรรม) ต่อให้มีบาป ก็สามารถทำให้บาปนั้นงอกเงยไม่ทัน ส่งผลไม่ทัน ในบางกรณีบาปก็อาจจะไม่ส่งผลแล้วเพราะมีกำลังต่ำ ดั่งเช่นในกรณีของ ท่าน-องคุลีมาล เป็นต้น
เพราะฉะนั้น หากเป็นดารา แต่ไม่ได้มีความหลงผิด คือ ประกอบอาชีพดารานักร้องไปด้วยความเห็นที่ถูกต้อง เช่น หมั่นสะสมสุตะ เพียรประกอบบุญ เมื่อมีเวลาก็ไล้ฟ์สดชักชวนคนมาสนทนาธรรมจนเกิดปัญญา ฟังพระสัทธรรมสม่ำเสมอ ประพฤติปฏิบัติภาวนา วางใจให้รู้อะไรควรมิควร ไม่รับงานที่สุ่มเสี่ยงผิดศีลธรรมจรรยา เพียงเท่านี้ก็สามารถหนีนรกได้แล้ว
หนำซ้ำเมื่อสดับธรรมจนจิตพ้นไปจากกระแสโลกีย์ไปได้ สักวันก็ย่อมเบื่อความเพลินอันไม่ประกอบด้วยปัญญา และสามารถละทิ้งนันทิได้จนเข้าถึงอริยสัจธรรม จนสามารถพ้นโลกไปสู่มรรคผลนิพพานได้เลย
ดังนั้นถ้าถามว่า เป็น นักแสดง ดารา นักร้อง นักมายากล ศิลปิน ตายไปแล้วจะต้องตกนรก? จริงหรือ??? คำตอบก็คือ "ไม่เสมอไป" ครับ ถ้าเป็นศิลปินดารานักร้องที่มีปัญญา ไม่เห็นผิดเป็นชอบ ปลีกตนจากทางสู่กรรมชั่ว มีการสั่งสมสุตะอย่างแยบคายมากพอ นิยมประกอบกุศลมากกว่าอกุศลจนมีกำลังนำส่งมากพอให้ไม่ไปเกิดในนรก ฯลฯ ก็ย่อมไปสู่สุคติได้ทั้ง27ภูมิเมื่อกายแตกดับนั่นเองครับ
แอดมินคันธัพ แห่งเพจเฟ๊ซบุ๊คธรรมะแฟนตาซี
โฆษณา