12 มิ.ย. 2024 เวลา 08:21 • ปรัชญา

ผู้ทรงธรรม

พระรัตนตรัยนี้เป็นของจริง ที่อยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ของจริงนั้นต้องคู่กับคนจริง ถ้าทำจริงก็จะเข้าถึงได้แน่นอน ถ้าหากปฏิบัติตามพุทธวิธี ที่ได้แนะนำเอาไว้ จะได้รู้แจ้งเห็นจริง หมดความสงสัยในพระรัตนตรัย
บัณฑิตควรจะพิสูจน์ โดยลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง ให้รู้แจ้งเห็นจริงไปตามความเป็นจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ และได้ทรงนั่งประทับเสวยวิมุตติสุขตลอด ๗ วันแล้ว ทรงเปล่งอุทานว่า..
ยทา หเว ปาตุกวนฺติ ธมฺมา
อาตาปีโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส
อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ สพฺพา
ยโต ปชานาติ สเหตุธมฺมํ
"เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฎแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์ย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ชัดในธรรมพร้อมทั้งเหตุ"
ธรรมกายเป็นของจริงที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา และมีอยู่ในตัวของพวกเราทุก ๆ คน ควรที่เราจะพิสูจน์ ให้เข้าถึงของจริงที่อยู่ภายในตัวของเรา
ผู้ที่ไม่รู้จักธรรมกายมีอยู่ ๒ ประเภท คือ
๑. ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติ คือ ผู้ไม่ได้ศึกษา และลงมือปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจัง จึงไม่ทราบว่า ธรรมกายนั้นมีอยู่จริง เมื่อไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น จึงกล่าวแบบผู้ไม่รู้ไม่เห็น
๒. ผู้ที่ลงมือปฏิบัติแล้ว แต่ทำไม่ได้ เพราะปฏิบัติไม่ถูกวิธี หรือบางพวกรู้วิธีการหมดแล้ว แต่ขาดความเพียรทำไม่ต่อเนื่อง จึงไม่รู้จัก และไม่เข้าใจเรื่องธรรมกาย ซึ่งเป็นหลักที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกผู้เรียนมามาก หรือผู้พูดมากว่า เป็นผู้ทรงธรรม ส่วนผู้ใดเรียนคาถาแม้เพียงบทเดียว แล้วแทงตลอดในธรรมทั้งหลาย ผู้นั้นชื่อว่า เป็นผู้ทรงธรรม"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังนั้น เราจะเห็นว่า ลำพังความรู้ในทางปริยัติ เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอ เราต้องนำความรู้เหล่านั้นมาปฏิบัติ ให้บรรลุผลด้วย เพราะศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ
ถ้าเราเข้าถึงธรรมกายได้เมื่อไร ความสงสัยทั้งปวงก็จะสิ้นไป จากผู้ไม่รู้ก็จะกลายเป็นผู้รู้ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ สามารถรู้แจ้งได้ด้วยธรรมกาย ถ้าทุกคนลงมือปฏิบัตอย่างจริงจัง ทำอย่างถูกวิธี และมีความสม่ำเสมอ ก็จะสามารถเข้าถึงได้ทุกคน และเมื่อนั้นเราก็จะได้ชื่อว่าเป็น"ผู้ทรงธรรมอย่างแท้จริง"
โอวาทคุณครูไม่ใหญ่
๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๒
จากหนังสือ บางสิ่งที่แสวงหา เล่ม ๒ (หน้า ๗๓ - ๗๕)
ภาพดีๆ ๐๗๒, เพจการบ้าน
โฆษณา