11 มิ.ย. เวลา 15:28 • ข่าวรอบโลก

Chat-GPT อ่านคลื่นหัวใจ แม่นกว่าหมอหัวใจแล้วจริงหรือ?

ในทางการแพทย์ การอ่านคลื่นหัวใจเป็นเรื่องที่สำคัญ ทั้งต่อการวินิจฉัยโรค ติดตามภาวะต่างๆของผู้ป่วย รวมถึงผลข้างเคียงจากยา แม้แต่เภสัชกรเอง ในปัจจุบันก็มีการใส่บทเรียนเกี่ยวกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่เกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงจากยาเข้ามาให้นักศึกษาได้เรียนมากขึ้น(รวมถึงการสอบด้วย😭)
4
แต่ใครจะรู้จักคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้ดีกว่าหมอหัวใจ และหมอ ER ซึ่งความรู้ของท่านเหล่านี้ช่วยเหลือคนไข้ไว้ได้มากมาย ทั้งตัวโรค ยา และการออกแบบการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่หมอหัวใจและหมอฉุกเฉินเหล่านี้มีคล้ายกัน ก็คือทักษะการอ่านคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือ Electrocardiography (EKG)
ที่แม่นยำชนิดขึ้นมานิดเดียวก็จับได้ว่าอะไรเป็นอะไร ต้องทำอย่างไงต่อ
แต่การศึกษาล่าสุดของ The American Journal of Emergency Medicine อาจสร้างความประหลาดใจให้กับแวดวงวิชาการ โดยเฉพาะงานด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ถึงความสามารถของ AI ที่จะเข้ามามีบทบาทต่อการแพทย์ มากกว่าที่เราคิด
3
การศึกษาดังกล่าวจัดทำโดย Hitit University มหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งในตุรกี โดยการคัดเลือกหมอเฉพาะทางด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด 12 ท่าน หมอฉุกเฉิน 12 ท่าน ทดสอบโดยการอ่านและแปลผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจจากเคสต่างๆกันจำนวน 150 เคส ประมวลออกมาเป็นเคสทดสอบ 40 เคส โดย 20 เคสเป็นเคสที่พบได้ในชีวิตประจำวันของแพทย์ ที่ต้องเจอเป็นประจำ ส่วนอีก 20 เคสเป็นเคสที่มีความยาก โดยผสมผสานความซับซ้อนจากหลายๆเคสเข้าด้วยกัน เปรียบเทียบกับประสิทธิภาพในการอ่านและแปลผลของ Chat-GPT
ผลที่ออกมาค่อนข้างน่าทึ่ง การศึกษาพบว่า Chat-GPT สามารถอ่านและแปลผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่เป็น everyday case 20 เคสได้แม่นยำกว่าหมอฉุกเฉินและหมอหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.001, p = 0.001) ส่วนในเคสที่ยากและซับซ้อนจำนวน 20 เคส พบว่า Chat-GPT ยังคงทำได้ดีกว่าหมอฉุกเฉินอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.001) แต่มีประสิทธิภาพไม่แตกต่างจากหมอหัวใจ (p = 0.190)
3
แน่นอนว่าเราไม่เจตนาจะด้อยค่าวิชาชีพหมอ การทำการรักษาจำเป็นต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เรื่องนี้ไม่มีใครเถียงได้ แต่การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ต้องอยู่ในข้อจำกัดบางอย่างที่มนุษย์มี การทำเคสปริมาณมหาศาลอาจทำให้หมอเองเกิดอาการล้า และอ่านเกิดความคลาดเคลื่อนได้ คุณค่าของการศึกษานี้ คือการนำเสนอโอกาสในอนาคต ที่ AI อาจเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
ในการรักษาผู้ป่วยในโรคพยาบาล เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น สิ่งนี้อาจเป็นอนาคตอันใกล้ของวงการแพทย์ทั่วโลก
4
โฆษณา