Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สองทุ่มสิบ
•
ติดตาม
13 มิ.ย. เวลา 01:04 • นิยาย เรื่องสั้น
Ep. 10 ยินดีที่รู้จัก > Part 3 ผู้มีอุปการะคุณ
เพื่อนกิน สิ้นทรัพย์แล้ว แหนงหนี
หาง่าย หลายหมื่นมี มากได้
เพื่อนตาย ถ่ายแทนชี- วาอาตม์
หายาก ฝากผีไข้ ยากแท้จักหา ฯ
มิตร มาจากคำว่า เมตตา มีความหมายว่า ผู้ที่มีความรักใคร่ ห่วงใย ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข
มิตรมีอุปการะ คือ เพื่อนที่มีบุญคุณ มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่ คอยคุ้มครองป้องกันเป็นที่พึ่งของเพื่อนได้ มีลักษณะ 4 ประการ คือ
1) ป้องกันเพื่อนประมาทชีวิต ชื่อเสียง และเกียรติ
2) ป้องกันทรัพย์สมบัติ แนะนำห้ามปรามเมื่อเห็นเพื่อนใช้จ่ายไปในทางอบายมุขหรือมีการเสี่ยงเกินไป
3) เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ คอยอุปการะช่วยเหลือเมื่อเพื่อนตกทุกข์ มีภัยก็ให้การคุ้มครองป้องกัน
4) เมื่อมีธุระช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก เมื่อเพื่อนมีความจำเป็นต้องใช้เงิน ตอบสนองด้วยดี เสนอ ไม่แสดงความโลภออกมา
kroobannok.com
มิตรแท้ ๔ มิตรเทียม ๔
คำว่า มิตร มีรากศัพท์คำเดียวกับคำว่า เมตตา ซึ่งมีความหมายว่า ความรักใค…
🟠🟠🟠🟠🟠
เวลาเขียนบันทึกฉันใช้สรรพนามในการเขียนตามหลักการภาษาไทย แต่ในสถานการณ์จริง
สรรพนามที่ฉันใช้กับเพื่อน ๆ คือ คำหยาบคาย
และ Ep. นี้ มีคำหยาบ
🟠🟠🟠🟠🟠
ราวปี 2545
“กางเกงขายาวสีน้ำตาลตัวนี้ราคาเท่าไรคะพี่” ฉันถามแม่ค้าขายเสื้อผ้าในสยามสยามสแควร์
“950 บาท จ๊ะ” แม่ค้าขายเสื้อตอบฉันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เอาสิ สวย เหมาะกับเธอดีนะ” ตูนบอกฉัน แบบยิ้มแย้ม และพูดยุยง ปลุกปั่น ส่งเสริม พรางเอามือจับกางเกงขายาวเทียบไปมาบนตัวฉัน
“เหอะ เดี๋ยวไม่มีกิน” ฉันหันหน้าไปตอบตูนแล้วเราสองคนก็หัวเราะพร้อมกัน ตูนยังจับกางเกงเทียบตัวฉัน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ไม่เห็นจะยากเลย เอาเงินฉันไปก่อน” ตูนเสนอเงินให้ฉันยืมแบบยินดี
“ไม่เอา วันจันทร์หน้าป๊าส่งให้เงิน แล้วกดคืนเงินเธอ ฉันก็ไม่มีเงินกินเหมือนกันนั่นแหละ ไม่เอา ๆ ช่างมัน ๆ” ฉันบอกตูน พรางยกสองมือดันหลังเพื่อนสนิท ให้รีบเดินออกจากร้านเสื้อผ้า แต่ตูนทำตัวแข็งสู้แรงผลักของฉัน
“ใครให้เธอจ่ายเงินคืนฉันยอดเต็มเล่า ฉันให้ผ่อนเงินคืนอาทิตย์ละร้อย” ตูนเสนอตัวเป็นเจ้าหนี้ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
“10 อาทิตย์เลยนะ” ฉันหันหน้าบอกตูน แล้วเราสองคนก็หัวเราะพร้อมกันเช่นเคย
สุดท้ายฉันก็เป็นหนี้
🟠🟠🟠🟠🟠
หลังจบมัธยมศึกษาตอนต้น ฉันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พี่สาวของฉันเลือกโรงเรียนสายอาชีพ ระแวกประตูน้ำ และสาขาการตลาด กรอกใบสมัคร เลือกชุดนักเรียน รองเท้านักเรียน หนังสือ สมุดจดทุกสิ่งที่ใช้ในการเรียนให้อย่างเสร็จสรรพ ฉันมีหน้าที่เพียงแค่ทำตามคำสั่งของพี่ เดินตามพี่ และถือของให้พี่ของฉันเท่านั้น
ฉันอาศัยกับพี่สาว ในอพาร์ทเม้นท์ หลังตลาดบางกะปิ พี่สอนให้ฉันขึ้นรถเมล์สาย 60 ปอ. 60 และปอ.พ 20 ฉันต้องตื่นก่อนตีสี่ ขึ้นรถเมล์ก่อนตีห้า เพื่อจะถึงหน้าโรงเรียนฯ ประมาณ 6.00-6.45 น. เพื่อกินข้าวเช้า แล้วก็เดินเข้าโรงเรียนพร้อมกันกับเพื่อน ๆ
บ่อยครั้งที่ฉันนั่งรถเมล์ แล้วหลับจนเลยป้ายราชเทวี ไปถึงปากคลองตลาด เมื่อตื่นฉันต้องตะลีตะลานนั่งรถเมล์กลับมาที่ราชเทวีอีกครั้ง แล้วฉันก็จะเข้าเรียนสายตามเคย
🟠🟠🟠🟠🟠
วันแรกของการเรียน ทางโรงเรียนจัดที่นั่งให้นักเรียน โดยเรียงตามเลขที่ของตัวเอง ในแนวนอน ฉันเลขที่ 18 ตูนเลขที่ 16 เราสองคนมักจะนั่งใกล้กัน อยู่กลุ่มเดียวกัน ตู้เก็บของใกล้กัน หันมาเมื่อไรฉันจะเจอตูนเสมอ ฉันไม่รู้เช่นกันว่าสนิทกับตูนตั้งแต่เมื่อไร
“เธอเราชื่อตูน เลขที่ 16 เรานั่งใกล้เธอเลย แค่มีเลขที่ 17 กั้นเอง เธอชื่ออะไร” ตูนถามฉัน แบบคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีมากคนนึง ยิ้มแย้ม เดินตรงดิ่งเข้ามาคุย ฉันตอบสิ่งที่ตูนถามด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย แข็งทื่อ นิสัยของฉัน และตูนต่างกันเป็นอย่างมาก เราทั้งสองคนจำความประทับใจแรกพบของพวกเราในวันนั้นได้เป็นอย่างดี
ตูน เกิดปีจอ อายุมากกว่าฉัน 1 ปี รูปร่างอวบ ช่วงไหล่เล็ก ผิวขาวเหลือง สูงน้อยกว่าฉันเล็กน้อย ข้อมือ เท้าค่อนข้างเล็ก ผมหยักศก ตาตี่ หัวไว คล่องแคล่ว เสียงดัง ตั้งใจเรียน
ชุดนักเรียนของตูนมักถูกรีดเรียบจนคมกริบ ถุงเท้าขาวสะอาด รองเท้านักเรียนเงาแวววาว มีคนขับรถฯ รับส่งไปกลับ ใส่นาฬิกา Rolex และแหวนเพชรเม็ดเล็กเรียงกันตัวเรือนเป็นทองคำขาว 2-3 วง สภาพฉันตรงข้ามกับตูนเป็นอย่างมาก
🟠🟠🟠🟠🟠
“มีเรื่องถามว่ะ จะโกรธไหมว่ะ” มี่ เพื่อนสาวเรียนร่วมห้องเดินมานั่งตรงข้ามหน้าฉัน
“ไรว่ะ” ฉันถูกมี่ปลุกจากการนั่งหลับอย่างสงบ
“เธอรู้หรือเปล่าว่ามีเพื่อนในห้องเราไม่ชอบตูนเยอะแยะ ส่วนมากชอบนิสัยเธอ แต่ถ้าคบเธอจะคบตูน เลยไม่มีใครเข้ามาหาเธอ” มี่พูดอย่างจริงจัง
“ชอบกูเนียอะนะ เออเพิ่งเคยได้ยิน ๆ!! แล้วเป็นไรกับตูนกันว่ะ” ฉันถามมี่
“ตูนขี้อวด ทุกคนเลยหลอกกินเงินตูนให้มันเลี้ยงข้าว สมน้ำหน้ามัน” มี่พูดหัวเราะคิกคัก
“ขอบใจมากที่หวังดี และมีน้ำใจมาเตือนฉัน ถ้าพวกเธอจะไม่คบตูนก็แล้วแต่เธอ ฉันคบ แล้วถ้าทุกคนจะไม่คบฉันด้วยก็ได้เลย ไม่เป็นไร” ฉันยิ้มตอบมี่ และเริ่มเหม็นขี้หน้าเพื่อนร่วมชั้นที่นำข่าวมาบอกฉันคนนี้
🟠🟠🟠🟠🟠
ฉันรู้ว่าเพื่อนในห้องนินทาตูนกันว่ายังไงบ้าง และใครที่นินทาตูนบ้าง เพราะก็มีหลายคนตั้งใจนินทาตูนให้ฉันฟัง ฉันรับรู้ แต่ก็ไม่สนใจสักเท่าไร คนเราไม่ชอบหน้ากันได้ เป็นเรื่องปกติ
แต่ตูนดีกับฉัน จนกลบเรื่องข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตูนเสียสนิท ฉันเสียอีกที่มีแต่ข้อเสียมากมาย แล้วก็ไม่มีข้อดีอะไรมากพอที่จะนำมากลบข้อเสียได้ด้วย
🟠🟠🟠🟠🟠
บ่อยครั้งฉัน และเพื่อน ๆ ทั้งหญิง และชาย ประมาณ 7-8 คน นัดไปเดินเล่น หาอะไรกินที่ MBK หลังเลิกเรียน พวกเราเลือกกินร้านฟาสต์ฟู้ด ฉัน และตูนชวนกันไปกันไปต่อแถวเพื่อซื้ออาหาร
เมื่อถึงคิวตูนสั่งอาหารจะมีเพื่อน 6-7 คน ที่ไม่ได้เข้าต่อแถว แต่วิ่งกรูกันไปรุมล้อมตูน เพื่อให้ตูนสั่งข้าว และจ่ายเงินให้ แล้วต่างคนก็แยกย้ายต่างคนต่างกิน ไม่มีใครจ่ายเงินกลับคืนตูนสักครั้ง
ฉันเคยเตือนตูนเรื่องนี้แล้ว แต่ตูนบอกฉันว่าไม่เป็นไร
🟠🟠🟠🟠🟠
ตูนในสายตาคนอื่นจะเป็นอย่างไร ฉันไม่อยากรับรู้ เพราะในความคิดฉัน ตูนนิสัยดี มีน้ำใจต่อฉัน ตูนไม่คิดร้ายกับฉัน ใจดี จริงใจ มนุษย์สัมพันธ์ดี ฉันไม่ได้ชอบตูน เพราะผลประโยชน์ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน
นิสัยตูนอาจจะคล้ายคนที่อวดรวย แต่ก็มีของหลายอย่างที่น่าโอ้อวดจริง ๆ เสียด้วย ฉันเข้าออกบ้านตูนมากกว่าใคร คนพวกนั้นจะรู้จักตูนดีมากกว่าฉันได้อย่างไร
หลายครั้งเพื่อนบางคนที่โอ้อวดของใช้ต่าง ๆ ทางคำพูดที่พยายามโอ้อวดทับถมกันไปมา แต่ฉันไม่เคยเห็นสิ่งของที่พวกเขาพยายามโอ้อวดตามปากของเขาสักครั้ง
ถ้าตูนมีของสิ่งนั้นแล้วพูดโอ้อวดบ้าง ทำไมจึงเรียกว่าอวดรวย?
🟠🟠🟠🟠🟠
จากวันนั้นเรื่องที่ฉันตอบมี่ ก็มีเพื่อนในห้องเรียนชั้นเดียวกันซุบซิบนินทาตูนกันพอสมควร พอฉันหันหน้าไปมองต้นเสียง กลุ่มที่กำลังนินทาก็หลบตาฉันอย่างรวดเร็ว ฉันไม่รู้หรอกว่าเพื่อนเรียนร่วมชั้นของฉัน กำลังคุยกันเรื่องอะไร แต่จากอาการที่ทุกคนแสดงออกมาเป็นใครก็น่าจะเดาได้ไม่ยากเสียเท่าไร
“ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ” ฉันทักทายตูน ฉันเพิ่งเข้าเรียนเจอตูนพอดี กวาดสายตาไปรอบ ๆ บรรยากาศดูแปลกไปเล็กน้อย ฉันวางกระเป๋าบนโต๊ะไม้ ย่อตัวลงเตรียมนั่งตรงข้ามตูน
“ไม่มีอะไร” ตูนตอบ ไม่ร่าเริง ดูแปลกกว่าทุกวัน
ฉันหันมองไปรอบ ๆ โต๊ะม้านั่ง ด้านบนทำจากไม้แผ่นหนาทาสีน้ำตาลเข้มเงาวับ ตัดกับโครงเหล็กที่ทาสีดำ หน้าห้องเรียนทุกห้องที่ตึกปลายตัวแอล (L-Shaped) จะมีโต๊ะม้านั่งหลายชุด วางเรียงแถวหน้ากระดานสองแถว โต๊ะแต่ละชุดสามารถนั่งได้ถึง 8-10 คน ตูนนั่งอยู่ตรงกลางกลุ่มเพื่อนที่นั่งจับกลุ่มคุยกันเบา ๆ
“เป็นอะไร” ฉันถาม
“มี่มาคุยกับเธอหรอ” ตูนถามฉัน
“อืม แล้ว?” ฉันตอบ
“เธอทำตามมี่บอกก็ได้นะ” ตูนบอกฉันด้วยเสียงเบาราวกับกำลังกระซิบ สีหน้าตูนดูไม่ดีสักเท่าไร คงไม่ค่อยสบายใจ
“ไม่หรอกน่า ทำไมต้องทำตามมันบอกล่ะ เธอเครียดอยู่หรือ? ไม่ต้องไปสนใจมัน” ฉันเริ่มคุยแบบไม่สบอารมณ์สักเท่าไร เหมือนใกล้เวลาที่องค์ของฉันกำลังจะประทับร่าง
“อืม” ตูนมองฉัน แต่สีหน้าแย่ลงกว่าเดิม
🟠🟠🟠🟠🟠
ฉันนั่งดูเพื่อนสนิทนั่งก้มหน้า ก้มตา ดูเครียดจนฉันกลั้นความโมโหไม่ไหว ลุกเดินไปที่กลุ่มมี่ต้นเรื่อง ที่นั่งคุยซุบซิบกันอยู่ประมาณ 5-6 คน ไม่ไกลจากโต๊ะม้านั่งของตูน ฉันตะโกนเปิดบทสนทนากับมี่อย่างสุภาพ
“พวกมึงมีปัญหาอะไรกันนักหนาว่ะ” ฉันถามมี่เสียงดัง ชัดเจน รับรู้ได้ว่าทุกคน ทุกโต๊ะม้านั่งที่อยู่ระแวกนั้น มองมายังฉันเป็นตาเดียว เสียงระเบ็งเซ็งแซ่เมื่อครู่หายไปอย่างชะงักงัน จากนั้นความเงียบกริบก็เข้ามาแทน
“ถ้ามีปัญหาข้องใจมึงพูดเลย กล้าพูดตรง ๆ เหมือนที่มึงกล้านินทาให้มันรู้ตัวอะ มึงทำกันขนาดนี้แล้ว มึงนินทามันแล้ว มึงจะทำให้มันรู้สึกแย่อีกทำไมว่ะ? ถ้ามึงไม่อยากคบมัน ก็ต่างคนต่างอยู่ไปสิ ไม่ยากป่ะว่ะ? หรือมึงคิดว่ามึงพวกเยอะกว่ามัน มึงถึงทำแบบนี้ กูว่าจะไม่ยุ่งแล้วนะ” ฉันตะเบ็งเสียง เดินประชิดตัว และสบถ กร่นด่าคำหยาบคายอีกหลายคำ
ฉันหันหน้ากวาดตามองทุกคน ส่งสายตาเชื้อเชิญส่งสัญญาณบอกว่าฉันพร้อมมากเพียงใด ตูนรีบวิ่งมาจับ มาดึงแขนฉัน ด้วยมือที่มีเหงื่อ และเย็น
🟠🟠🟠🟠🟠
สักพักประตูห้องเรียนที่พวกเรามานั่งรอก็เปิดออก มีนักเรียนชาย หญิง อาจารย์ทยอยเดินออกมาเรื่อย ๆ จนหมด เพื่อนร่วมห้อง และฉันทั้งหมดทยอยเดินเข้าห้องจนครบ หลังจากที่ฉันวางข้าวของส่วนตัวไว้บนโต๊ะเรียนเรียบร้อย อาจารย์ยังไม่มา ฉันก็เดินไปที่นั่งของมี่ เพราะฉันยังเครียไม่จบ
“มึงจะเอายังไง เรื่องนี้เกิดจากปากมึง ๆ เดินมาคุยกับกูแค่ 2 คน กูยังไม่ได้บอกใคร กับตูนกูก็ยังไม่บอก เหลือแค่มึงแล้ว มึงจะเอายังไงที่อย่างนี้เงียบนะมึง” ฉันถามมี่เสียงดัง เดินไปใกล้พอเหมาะ พร้อมอารมณ์ที่เดือดดาล เพื่อนคนอื่นส่วนมากนั่งหลบตาฉันทุกครั้งที่ฉันหันไปมอง
“ไม่เอาไง” มี่ตอบแบบไม่อยากมีเรื่องมีราว
“กูขอมึงอย่าทำแบบนี้อีกเลย กูพร้อมตลอดนะมี่ ถ้าทุกคนไม่อยากคบกูด้วย ก็ไม่ต้องคบ!! ออ ๆ กูต้องบอกไว้ก่อนนะ เผื่อพวกมึงไม่รู้ว่า กูอยู่ข้างอีตูน” ฉันตะโกนบอกมี่ ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องเรียนเวลานั้น น่าจะได้ยินชัดเจนทุกคำ
“โดดเรียนป่ะ กูไม่มีอารมณ์เรียนล่ะ” ฉันหันหน้ามาถามตูน ที่กำลังยืนร้องไห้เกาะแขนด้านซ้ายฉัน
“ไปด้วย ไม่มีอารมณ์เหมือนกัน” ตูนตอบ ปาดน้ำตา รีบเก็บข้าวของเดินตามฉันออกนอกโรงเรียน
🟠🟠🟠🟠🟠
หลังจากวันที่ฉันตะคอกมี่ ผ่านไม่กี่วันมี่ก็เดินมาขอโทษฉันต่อหน้าสองคน และฉันก็ต้องขอโทษมี่ด้วยเช่นกัน จากวันนั้นก็ไม่มีใครหลอกกินเงินตูนอีกแล้ว เวลาไปเดินห้างฯ หลังเลิกเรียน บางครั้งพวกเราก็จะเรียกรถตุ๊กตุ๊กที่ผ่านหน้าโรงเรียน แล้วเพื่อนทั้งผู้หญิง และเพื่อนผู้ชายก็อัด ๆ ทับ ๆ กันไป
เมื่อถึงร้านฟาสต์ฟู้ด ทุกคนต่างเข้าแถว ต่างคนต่างซื้อ ต่างคนต่างชำระเงินส่วนของตัวเอง แต่พวกเราจะเลือกที่นั่งใกล้ ๆ กัน หยอกล้อ ด่าทอ ขำขันกันไป แค่ย้อนคิดถึงช่วงเวลานั้น ฉันสุขใจอย่างบอกไม่ถูก รสชาติของวัยเด็กมันช่างดีเสียจริง
🟠🟠🟠🟠🟠
ตูน มีเชื้อสายจีนพ่อ แม่จึงจะสนใจพี่สาวคนโต และน้องชายคนเล็กมากเป็นพิเศษ ตูนเป็นลูกคนที่ 3 มีพี่น้อง 5 คน อาม่าเป็นคนเลี้ยงตูนตั้งแต่ยังเล็กจนเติบใหญ่ ตูนค่อนข้างหน้าตาเหมือนอาม่า และครอบครัวประกอบธุรกิจเครื่องเงิน
หลังเลิกเรียนตูนจะมีคนขับรถฯ มารอรับที่หน้าโรงเรียนทุกวัน แล้วต้องรีบขึ้นรถฯ กลับบ้านเพื่อช่วยงานของครอบครัว
วันอาทิตย์หยุดงาน ตูนจึงมีเวลาว่างมาเที่ยวกับเพื่อน ๆ และไม่ว่าเพื่อนจะชวนไปเที่ยวต่อที่ใด ตูนก็จะกลับบ้านไม่เกินเที่ยงคืนทุกครั้ง ตูน ในวัย 18 ปี สำหรับฉัน ตูนเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากคนหนึ่งเลยทีเดียว ฉันเทียบตูนไม่ติด
ตูนมักชวนฉันไปนอนที่บ้าน แม้ว่าฉันจะไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนเพื่อไปเรียนวันพรุ่งนี้ ตูนและฉันก็ไม่คิดว่าการไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนของฉันมันเป็นปัญหาแต่อย่างใด เกือบทุกครั้งตูนจะให้แม่บ้านซักชุดนักเรียนให้ฉัน และตูนจะรีดชุดให้ในตอนเช้า
หลัง ๆ ตูนซื้อชุดชั้นในราคาไม่สูง รองเท้านักเรียนเตรียมไว้ให้ ส่วนชุดนักเรียนก็ใส่ของตูน ใช้เข็มขัดรัด เข็มกลัดช่วย
🟠🟠🟠🟠🟠
“ทำไรอยู่ว่ะ” ตูนโทรฯ หาฉันกลางดึก ประมาณ 22.00 น. เสียงค่อนข้างเครียด
“หาโรงแรม” ฉันตอบ ด้วยเสียงขึ้นจมูก และสั่นเครือ ไม่รู้เป็นอะไรทุกครั้งที่ฉันทะเลาะกับพี่สาวฉันต้องร้องไห้
“นั่งรถฯ มานอนนี่ เครียด ๆ ว่ะไม่ต้องวางสายนะนั่งรถฯ เป็นเพื่อน” ตูนบอกฉัน
“เออ” ฉันตอบตูน แล้วชะโงกหน้าไปบอกพี่คนขับรถฯ แท็กซี่ให้ไปบ้านตูนทันที
ตูนจะยืนรอฉันที่หน้าบ้านทุกครั้ง พอเจอกันบางครั้งเราจะไปหาอะไรกิน ส่วนมากจะจบที่ส้มตำ จิ้มจุ่ม บ้างก็ซื้อขนมมานอนกินระหว่างดูหนังสักเรื่อง บ้างก็นั่งทาเล็บ หรือนอนกลิ้งไปมาคุยกัน บ้านตูนมักเป็นที่พักพิงให้ฉันทุกครั้งที่ฉันลำบาก
🟠🟠🟠🟠
ถ้าช่วงไหนตูนงานเยอะ เบื่อ เหงาฉันก็จะนั่งรถฯ ไปหาแล้วนอนค้างที่บ้านตูน เช้าก็ช่วยตูนทำงาน หรือวันเรียนหลังเลิกเรียนฉันกลับบ้านกับตูน แล้วช่วยทำงาน
กลางคืน บางคืนพวกเราหนีเที่ยว จนพ่อตูนให้อาม่ามานอนคุม แต่ฉันกับตูนก็หนีไปเที่ยวอยู่ดี ช่วงฉันเป็นวัยรุ่นพ่อตูนไม่ค่อยชอบฉันเสียเท่าไร แต่ปัจจุบันนี้พ่อแม่ตูนชอบฉันพอสมควร
ปี 2548-2549
“เฮ้ยยยย อยู่ไหน ๆ” ตูนส่งเสียงทักทายฉัน
“อยู่แถวบ้านเธอ” ฉันตอบตูน
“เข้ามาไหม” ตูนถามฉันด้วยเสียงสดใสเช่นเคย
“สักพักเข้าไปนะ” ฉันตอบ
“สงกรานต์ไปไหน ไปเล่นสงกรานต์กันป่ะ ฉันไม่ได้เล่นมาหลายปีแล้ว มีแต่เล่นกับหลานหน้าบ้าน อยากไปที่อื่น ฉัน ไม่มีเพื่อน” ตูนชวนฉัน
“เออ ไปดิ” ฉันตอบ พูดขนาดนี้ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ ก่อนโทรฯ หาตูน ฉันไม่มีแผนเล่นน้ำช่วงสงกรานต์ในหัว แผนในชีวิตฉันเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเสียจริง
“เอาเพื่อนใหม่ไปคนนึงได้ไหม มันไม่มีเพื่อนเหมือนกัน แล้วชวนเธอจะชวนเค้กไปด้วยไหม” ตูนถาม
“เธอชวนเพื่อนเธอมาได้เลย ส่วนเค้กชวนฉันไปทะเลไปกับแฟน แต่ฉันไม่อยากไปอยากอยู่เฉยๆ มากกว่า” ฉันตอบตูน
🟠🟠🟠🟠🟠
ช่วงมหาวิทยาลัย 4 ปี เป็นช่วงที่ฉันกับตูนห่างกัน เมื่อเรียนจบ ป. ตรี ฉันทำงานที่สีลม จึงไปอยู่กับเค้ก เพื่อนวัยเด็กของฉัน ซึ่งที่พักของเค้กใกล้บ้านตูน ฉันจึงโทรฯ หาตูน ช่วงนั้นเป็นวันสงกรานต์พอดี ฉันคิดว่าตูนคงไม่น่าจะเล่นสงกรานต์ เลยจะโทรฯ ชวนกินข้าว แต่ฉันเดาผิด ปีนี้ตูนอยากเล่นสงกรานต์เสียอย่างนั้น
“เธอดีจังเลยนะ แม้ไม่เจอกันตั้งนาน ยังคุยเหมือนเดิมเลย” ตูนบอกฉันขณะที่กำลังกินจุ้มจุ่ม
“แล้วทำไมต้องไม่เหมือนเดิม แปลกไงว่ะ” ฉันถามตูน
“นิดนึงนะ ปกติเพื่อนห่างกันไปจะไม่เหมือนเดิมแล้ว มันจะมีอะไรไม่รู้ที่รู้สึกว่าไม่เหมือนเดิม” ตูนอธิบายให้ฉันฟัง
“ไม่อะ กูไม่เป็นค่ะ!!” ฉันตอบตูน เราทั้งสองก็หัวเราะด้วยกันเหมือนเดิม
🟠🟠🟠🟠🟠
ปี 2557-2558
“ทำไรอยู่อะ” ตูนถามฉัน เสียงไม่สู้ดีเท่าไร
“นอนดูหนัง เป็นไรอะ” ฉันตอบ
“พ่อฉันเส้นเลือดในสมองแตก” ตูนบอก สิ้นประโยคตูนร้องไห้หนักที่สุด ฉันไม่เคยเห็นตูนร้องไห้หนักขนาดนี้
“เฮ้ย ห่างจากครั้งที่แล้วกี่เดือนเองว่ะ” ฉันถามตูน
“ยังไม่ถึง 6 เดือนเลย กลัว ฉันกลัว” ตูนร้องไห้
“อืม เป็นฉัน ๆ ก็กลัว” ฉันปลอบ แล้วก็ร้องไห้ตามเพื่อนเรียบร้อย
“ฉันหาเงินไม่ทัน” ตูนบอกฉันร้องไห้ไม่หยุด
“เอาของฉันไปก่อน เลขที่บัญชีเดิมนะ” ฉันถามตูน
“ไม่ใช่เธอ ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีเงินแล้วจะโทรฯ มาขอเงินนะ ครั้งที่แล้วเธอก็เพิ่งให้ฉันมา ฉันยังหาคืนไม่ได้เลย ฉันไม่มีเงินคืน” ตูนบอกฉัน เสียงสะอึกสะอื้น
“เออรู้แล้ว ช่างมัน ๆ ไม่มีก็ไม่ต้องคืน ตอนเด็กฉันไปรบกวนบ้านเธอบ่อยมาก พ่อแม่ของเธอก็ไม่ชอบฉัน แต่พ่อแม่ก็ไม่เคยไล่ ทั้ง ๆ ที่เขาก็ทำได้ เดี๋ยวโอนให้ ๆ” ฉันบอกตูน
หลังจากฉันวางสายจากตูน
ฉันก็ล้มละลาย ????🤣🤣
🟠🟠🟠🟠🟠
ตั้งแต่วันแรกที่ตูนชวนฉันเข้าบ้าน ฉันเข้ากับน้องชายคนสุดท้องของตูนได้เพียงคนเดียว นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ๆ หรือญาติของตูนไม่มีใครชอบฉันเลย แต่ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา เป็นความผิดของฉันเอง ฉันชวนตูนโดดเรียน หนีเที่ยว ดื่มเหล้า ตูนสูบบุหรี่ และมีความคิดจะสักที่ต้นขาตามฉัน
อดีตครอบครัวของตูนไม่ชอบฉัน แต่พวกเขาไม่เคยไล่ทั้งๆ ที่สามารถทำได้ แต่ละครั้งที่ฉันไปค้างบ้านตูน แม้แต่น้ำดื่ม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน กางเกงชั้นใน ฉันไม่เคยใช้ของตัวเองเลยตูนจะซื้อไว้เรียบร้อย ซัก ตาก รีดให้ฉันด้วยรวมทั้งชุดชั้นใจ ตูนจัดเตรียมดูแลฉันเป็นอย่างดี
ตูน เป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือ และผู้มีอุปการะคุณของฉันในหลายช่วงชีวิต หลายครั้งถ้าฉันไม่มีตูนช่วยเหลือ ฉันคงต้องทุกข์กว่าที่เป็นแน่นอน ฉันอยากขอบคุณตูนเป็นอย่างมากที่เกิดมาบนโลกนี้ และเราได้เป็นเพื่อนรักกัน ฉันดีใจเป็นอย่างมากที่ได้รู้จักตูน ยินดีที่รู้จัก
เยี่ยมชม
facebook.com
Log in to Facebook
Log in to Facebook to start sharing and connecting with your friends, family and people you know.
ref:
รัก และคิดถึงเสมอ
ทรงศรี
เพื่อน
สังคม
เรื่องเล่า
1 บันทึก
4
3
1
4
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย