16 มิ.ย. เวลา 03:33 • ท่องเที่ยว
อุทัยธานี

เที่ยว "อุทัยธานี" ทริปเล็กๆในเมืองน่ารัก

🌺 อ่านรีวิวยาวๆ ได้ที่ pantip.com ได้เนื้อหา สาระ รูปภาพสวยๆ แบบเต็มๆ 🌺
จุดเริ่มต้นทริปของเรา คือ หุบป่าตาด และเราพักกันที่ At the Mountain ที่อยู่ไม่ไกลจากทางเข้าหุบป่าตาดนัก
At the Mountain มีห้องพักให้เลือกหลายแบบ ด้านหน้าของที่พักเป็นคาเฟ่และร้านอาหาร สามารถมานั่งทานอาหารหรือจิบเครื่องดื่มช่วงเย็นๆก็ไม่เลว ข้อดีอย่างหนึ่งของที่นี่คือมีภูเขา 2 ด้านทำให้ตอนเช้าแดดมาช้า ตอนเย็นแดดไปเร็ว
ห้องพักคืนนี้ คือ ห้องกล่องสีขาวๆข้างหน้า ขนาดของห้องไม่ใหญ่โตอะไรนักตกแต่งแบบมินิมอล เรียบง่าย แอร์เย็นฉ่ำและตัวเลขบอกอุณหภูมิสว่างมาก ตอนกลางคืนอย่างกับเปิดไฟไว้
เมื่อคืนฝนตกลงมาชุดใหญ่ วันนี้หุบป่าตาดเลยชื้นและแฉะเป็นพิเศษ “หุบป่าตาด” เป็นป่าที่มีลักษณะคล้ายป่าดึกดำบรรพ์ ตามคำบอกเล่าจากป้ายที่อยู่ในพื้นที่บอกว่าเมื่อก่อนหุบป่าตาดเป็นถ้ำมาก่อนจนกระทั่งผนังถ้ำรับน้ำหนักไม่ไหวเลยพังลงมา มีทางเข้าออกเพียงทางเดียวพื้นที่ตรงนี้เลยเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างปิดมีความชุ่มชื้นตลอดทั้งปี
หุบป่าตาด ชื่อก็มาจากลักษณะพื้นที่ตรงนี้เลยครับ หุบ แปลว่า ไม่กาง...อันนั้นคนละหุบ หุบคือภูมิประเทศที่เป็นแอ่งขนาบด้วยแผ่นดินสูง ภูเขาหรือเทือกเขา ส่วนป่าตาดก็มาตามต้นตาดที่ขึ้นอยู่อย่างมากมายในบริเวณนี้ ต้นตาดหรือต๋าวเป็นพืชตระกูลปาล์ม ต้นสูงแต่ไม่สูงเท่าปาล์ม
เดินชมความเขียวครึ้มมาครู่เดียวก็ถึงปากต้ำอีกแห่ง จริงๆไม่น่าจะเป็นถ้ำน่าจะเป็นเพดานส่วนที่เหลือของถ้ำเดิมที่ไม่พังลงมา จุดเด่นของบริเวณนี้คือ “หินย้อยตามแสง” คือ หินย้อยด้านที่เป็นส่วนปลายจะเอียงเข้าหาด้านที่มีแสงสว่าง เพราะสารละลายหินปูนที่หยดลงมามีการเจือปนโคลน รา แบคทีเรียต่างๆ ทำให้ด้านที่มีแสงสว่างโตได้เร็วกว่าด้านที่อยู่ในที่อับแสง
หลังจากนั้น เช็คเอ้าท์ ก่อนเข้าเมืองก็แวะชมต้นไม้ยักษ์ เห็นว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอยู่เหมือนกัน
ที่ดินที่ต้นไม้ยักษ์นี้โตอยู่เป็นที่ดินเอกชนมีเจ้าของนะ เดิมเป็นของพ่อตานายเฮียง ชาวป่า เดิมต้นไม้ต้นนี้เกือบถูกโค่นไปเหมือนกันแต่นายเฮียง ชาวป่าขอพ่อตาไว้ และทำเป็นที่เรียนรู้ ทำกิจกรรมต่างๆ
ไม่ไกลจากต้นไม้ยักษ์เท่าไรนัก ถ้าไปตรงวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีตลาดจำหน่ายสินค้าเกษตรและอื่นๆชื่อ “ตลาดซาวไฮ่” เป็นตลาดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ของขายคึกคักมาก ช่วงต้นๆของตลาดเป็นสินค้าเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูป ลึกเข้าไปด้านในมีร้านกาแฟ เวทีการแสดง ร้านเสื้อผ้า หัตถกรรมต่างๆ
ต่อจากนี้จะเข้าตัวเมืองอุทัยแล้ว เอกลักษณ์ของอุทัยธษนี คือ การอยู่แพเป็นวิถีชีวิตของชาวอุทัยธานีมานานแล้ว สมัยก่อนในแม่น้ำสะแกกรังมีแพอยู่ร่วม 5-6ร้อยแพ แต่ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 200 แพ ทุกแพมีทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายและไม่สร้างเพิ่มไปกว่านี้ ดังนั้นการลองมานอนแพสักคืนก็น่าสนใจ
คืนนี้เรานอนที่ แพ บ้าน บ้าน แพจะแบ่งเป็น 2 แพผูกติดกันแพหนึ่งเปิดโล่งเป็นพื้นที่นั่งเล่น นั่งทานข้าว นั่งเอาขาจุ่มน้ำ หรือจะนั่งจ้องตากันฉันกับเธอก็แล้วแต่สะดวก อีกแพหนึ่งเป็นส่วนห้องพักมีระเบียงไว้นั่งเล่น
ภายในแพพักโดยพื้นฐานแล้วจะนอนได้ 4 ท่านเป็นที่นอนด้านนอก 2 และในห้องอีก 2 ที่นอนเป็นฟูกบางๆแต่นุ่มสบายเกินคาดหลับสบายใช้ได้ แต่ถ้าคนกลัวที่กว้างจะโหวงๆหน่อย ส่วนคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว อยากจะสวีทกับหวานใจสามารถใช้ห้องนอนเล็กได้
ตื่นตอนเช้าหลังจากพักผ่อนเต็มที่ การพักผ่อนค่อนข้างเงียบสงบดีเลยครับแม่น้ำสะแกกรังไม่ได้พลุกพล่านมากนัก ที่จริงตอนกลางคืนเรียกว่าเงียบเลยล่ะ วิวและอากาศตอนเช้าดีมากๆ สดชื่นหายใจเต็มปอด เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่หาปลาตามแม่น้ำ
มาถึงอุทัยธานี ก็ต้องไปกราบไหว้วัดคู่บ้านคู่เมือง “วัดท่าซุง” หรือวัดจันทาราม วัดขนาดใหญ่ริมแม่น้ำสะแกกรัง จากวัดที่มีพื้นที่ประมาณ 6 ไร่จนปัจจุบันเนื้อที่ร่วม 300 ไร่
มาวัดท่าซุงไม่แวะสักการะพระพุทธรูปพระพุทธชินราชจำลองและโลงแก้วของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำก็น่าจะไม่เหมาะสม วิหารแก้ว หรือวิหารแก้ว 100 เมตรน่าจะเป็นศูนย์กลางของการเดินทางมาที่วัดท่าซุง
นักท่องเที่ยวที่มาอุทัยธานีตรงกับวันเสาร์น่าจะมี “ถนนคนเดินตรอกโรงยา” เป็นเป้าหมายสำคัญ ถนนคนเดินตรอกโรงยาอยู่ที่ตรอกโรงยา เป็นถนนคนเดินที่เน้นขายของทั้งของกินของใช้ของทำมือมีให้เลือกหลายอย่าง
และสิ่งที่เราชื่นชมมากที่สุด คือ “ตลาดเช้า”...ตลาดโดยเฉพาะตลาดที่เป็นวิถีชีวิตปกติของผู้คนมักจะแสดงให้เห็นถึงบุคลิกของที่นั้นๆได้ดีที่สุด ตลาดเช้าของอุทัยธานีก็เป็นอย่างนั้นและเป็นตลาดที่เราไปเดินทุกวันที่อยู่ในตัวเมือง
ตอนเย็นกลับไปอีกรอบตรงที่เดิมมีตลาดเย็นที่ของขายเหมือนตลาดเช้า แต่สำหรับเราว่า ตลาดเช้าจะคึกคักกว่านิดหน่อย
ส่วนของกินที่มาอุทัยธานีแล้วไม่ควรพลาด ก็มีหลายร้าน ซึ่งร้านที่เป็นตำนานของอุทัยธานีคือ “ขนมแคะป้าเตียง”หรือ จุ้ยก้วย หน้าตาขนมครกแต่รสชาติออกแนวกุ๊ยช่ายแต่แป้งหนึบไม่มีไส้ โรยหน้าด้วยไชโป้วสับ หน่อไม้สับ กระเทียมเจียวราดน้ำเชื่อมหวานๆ จะทานเล่นก็ได้ทานอิ่มก็ได้เช่นกัน
อีกร้านระดับตำนานป้าเล็กหมูปิ้งบาทเดียว แต่ตอนนี้ไม้ละ 2.50 บาทแล้วนะ ร้านป้าเล็กจะอยู่ตรงสวน 200 ปี ป้ามาขายกันตั้งแต่เช้ามืดสายๆหมูหมดก็กลับบ้านทำวันละพันไม้หมดแล้วก็หมด
บ่ายๆอากาศร้อนใช้ได้ “ป้าแจวไอศครีมเสวย” เป็นร้านเล็กๆคูหาเดียวอยู่ในตลาดนั่นแหละ ขายไอศครีมมากว่า 40 ปีแล้ว ไอศครีมกะทิหอมๆกับเครืองล้นถ้วยเหมาะกับอากาศร้อนๆแบบนี้ดีนัก
นอกจากการทานไอศครีมแล้วอีกอย่างที่น่ารักของร้านนี้คือการได้คุยกับป้านี่แหละ ป้าเล่าให้นักท่องเที่ยวแปลกหน้าอย่างเราฟังหลายเรื่อง
ทานไอติมเสร็จก็ต่อของหวานกันอีกสักร้าน ซอยเดียวกับโรงแรมอุทัยเฮอริเทจ มีร้านคาเฟ่ขนมไทยอยู่ร้านหนึ่งชื่อ “ทัย” เป็นคาเฟ่ที่เน้นขนมไทย ในร้านบรรยากาศง่ายๆ ดูอบอุ่น ที่นั่งเยอะพอสมควร
ขนมไทยสารพัดอย่างให้เลือกทาน เช่น ลูกชุบ ทองเอก ดาราทอง อัลลัว ฝอยทอง และอีกเยอะแยะถ้วยละ 15 บาทหยิบๆเอาได้เลยแล้วเขาจะจัดมาเป็นกระเช้าสวยงาม
ส่วนมื้อเย็น เริ่มร้านแรก “เจ๊ดาปลาลวก” ร้านหาง่ายมากอยู่ตรงห้าแยกวิทยุ คนเยอะๆร้านนั้นเลย ร้านอยู่ริมถนนแบบนี้เลย ที่นั่งในร้านน้อยแต่ลามออกมาด้านนอกอีกหลายที่ เริ่มขายตอน สี่โมงครึ่งตอนเย็นไม่ถึงห้าโมงร้านก็เต็มหมดแล้ว
ร้านสุดท้ายก่อนกลับของเราในทริปนี้ เป็นร้านที่อยู่เลยวัดท่าซุงประมาณ 1 กม.หากเดินทางมาจากตัวเมือง ตัวร้านอยู่ริมถนน "ศาลาโค้ก"
จบทริปอุทัยธานีแต่เพียงเท่านี้...เมืองเล็กๆที่น่ารักดี ผู้คนเท่าที่เจอตลอดทริปใจดี มีน้ำใจ และน่ารักมากๆ มันเป็นบรรยากาศที่ไม่ค่อยได้พบเห็นในเมืองกรุง
สถานที่ท่องเที่ยวอาจจะไม่เยอะแยะเหมือนกับจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ แต่ถ้าอยากเที่ยวแบบสบายๆ สัมผัสความเรียบง่าย ทิ้งความเครียดให้ลอยไปในแม่น้ำสะแกกรัง...ก็แวะมาพักผ่อนที่อุทัยธานีได้นะ
⭐️ ถ้าชอบการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ดูรีวิวเพิ่มเติมได้ที่
โฆษณา