16 มิ.ย. เวลา 13:58 • ความคิดเห็น

'Passion' กับ 'I pass on'

พาสชั่น (Passion) ในบริบทของการทำงาน หมายถึงความพอใจ ความลุ่มหลงคลั่งไคล้ในสิ่งนั้นๆ สิ่งที่เราคิดว่ามัน 'ใช่' สำหรับเรา หลายคนบอกให้ค้นหางานโดยเริ่มต้นด้วยคำว่า 'Passion'
ส่วนความหมายของคำว่า 'งาน' ก็นิยามได้อีกหลายระดับชั้น
ถ้าตีความแค่ว่า "อะไรก็ได้ที่ทำแล้วได้เงิน" นั่นคือ 'Job'
ถ้าได้เงินแล้วเติบโต ก้าวหน้า ได้พัฒนาตัวเองด้วย จาก Job จะกลายเป็น 'Career'
ถ้าได้เงิน ได้ก้าวหน้า แล้วตกผลึกว่า "เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้" จาก Career จะกลายเป็น 'Calling'
แต่ไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่จะได้ทำงานแบบที่เรียกว่า 'Calling' ไม่ใช่แค่หลุ่มหลง พอใจ ทำแล้วมีความสุข แล้วนั่นจะคืองานที่ 'ใช่' เสมอไป
หากคิดแค่ว่ามี Passion แล้วกระโจนเข้าหางานที่คิดว่าคลั่งไคล้ ผ่านไปสักพักเจออุปสรรคหรือสารพัดขวากหนาม แล้วเปลี่ยนใจว่า มันไม่น่าจะใช่งานสำหรับเราแล้ว และตัดสินใจกระโจนสู่หนทางอื่นต่อไป .. ผ่านไปสักพักก็โดดเปลี่ยนสายงานใหม่อีก .. คนแบบนี้จะตามหา 'Passion' ไปทั้งชีวิต
ไม่ใช่ทุกงานจะทำได้ด้วยเพราะใจรักเสมอไป แต่มันต้อง 'อึด' และ 'แกร่ง" ด้วย เพราะทุกงานมีหนามโปรยขวางหน้าเสมอ
ในอีกบางมุมของบางคน งานของพวกเขาไม่ได้เริ่มต้นที่ 'Passion'
หลายคนไม่ได้อยากเป็นหมอตั้งแต่ต้น แค่บังเอิญสอบได้หรือสอบตามเพื่อน สอบตามพ่อแม่บอก หลายคนไม่ได้อยากเป็นทหารแต่เพราะดันสอบติดโรงเรียนนายร้อย ชีวิตก็ไหลไปตามเส้นทางนั้น
อีกหลายคนไม่ได้อยากเป็นดารา ศิลปิน หรือนักแสดง เคยได้ยินพิธีกรบางคนบอกว่า รู้ตัวว่าเป็นพวก Introvert (ไม่ชอบออกสังคม) แต่สุดท้ายต้องมาเป็นพิธีกร .. แถมเป็นพิธีกรที่ดังซะด้วย
คนเหล่านั้น .. ดันทำอาชีพที่ไม่ได้เริ่มต้นจาก 'Passion' ได้ดีเยี่ยม .. เคยสงสัยไหมว่าเพราะอะไร
เพราะว่า 'Passion' มันไม่ใช่สมการเดียวของการเลือกและทำงาน มันมีอีกหลายองค์ประกอบ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ โอกาสของแต่ละคนที่เข้ามามันไม่เหมือนกัน
บางคนจำเป็นต้องใช้ 'เงิน' มากกว่า 'Passion' .. แล้วไง? .. ถ้างานนั้นได้เงิน ทำๆไปแล้วเติบโต พอเก็บประสบการณ์ ทักษะในงานนั้นจนชำนาญ เขาคือคนที่เกิดมาเพื่อสิ่งนั้นใช่หรือไม่
และหากถามพวกเขาเหล่านั้น อาจได้คำตอบว่า "ใช่ ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ นี่คือ Calling ของผม"
ทั้งๆที่ไม่ได้ชอบมาตั้งแต่แรก แต่พอได้ทำไป จนสิ่งที่ทำกลายเป็นสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ชอบมันกลายเป็นสิ่งที่ใช่ .. ทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้
แล้วเมื่อไปแกะคำว่า 'Passion' ของคนประเภทนี้จะพบว่า พวกเขาเลือกสลับตำแหน่งของตัวอักษรใหม่ โดยดึงตัว 'I' ออกมาไว้หน้าสุด จากคำว่า 'Passion' จะกลายเป็น "I pass on"
ในที่นี้หมายถึง "จงก้าวต่อไป"
ถ้าเป็นคนประเภท หนักก็เอา เบาก็สู้ ต่อให้ได้งานที่มันยังไม่ใช่ 'Passion' สุดท้ายคนพวกนี้ก็จะผ่านได้ในทุกบททดสอบ เพราะพวกเขา 'แกร่ง' แล้วเดี๋ยว 'Passion' มันก็มาเอง
ฉะนั้น
"ไอ พาส ออน" นี่แหละ คือตัวขับ Passion ในตัวให้ออกมา เพราะโลกความจริงของชีวิตแต่ละคนอาจไม่ได้เดินบนหนทางที่ชอบเสมอไป จะหางานที่คิดว่า "เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้" แต่ถ้างานนั้นทำแล้วไม่ได้เงิน หรือได้ไม่พอใช้ ไม่ตอบโจทย์ชีวิต ถามว่า .. แล้วจะทำไหม?
โลกไม่ได้สวยงามตามทฤษฎีเสมอไป ไอที่บอกว่าให้เลือกงานที่เรารัก เมื่อทำแล้วจะเพลิน และเหมือนไม่ได้ทำงาน ตำราเขาว่าไว้งั้น แต่ความเป็นจริงก็อีกเรื่อง
แม้ได้งานที่เรารัก แต่ระหว่างทางย่อมเจอหนามรายทางมากมายเสมอ
เพราะคำว่า 'Passion' อย่างเดียวนั้นไม่พอ มันต้อง 'I pass on' ในทุกบททดสอบให้ได้ด้วย
สรุปว่า หากได้งานที่ชอบ ทำๆไป สักพักก็ต้องใช้ปรัชญา 'I pass on' ช่วยผลักดันชีวิตให้ก้าวต่อไป
แต่หากชีวิตมันไม่มีโอกาสได้ทำงานที่ชอบ ยังไงก็ต้องใช้คำว่า 'I pass on' ด้วยอยู่ดี และ 'ระหว่างทาง' ที่เดินบนถนนที่มันไม่ใช่ เราค่อยๆเก็บเกี่ยวทักษะในสิ่งที่เราชอบไปเรื่อยๆ จนกว่า 'โอกาส' ที่จะกระโจนสู่งานที่เราคลั่งไคล้นั้นมันมาถึง
งาน คือ อะไรที่ทำแล้วต้องได้เงิน เติบโต และเติมเต็ม Passion ..
ซึ่งบางครั้ง Passion มันก็ไม่ได้งอกขึ้นมาก่อน แต่มันตามมาทีหลัง กว่าคนเราจะพบ Calling ในชีวิตได้ ช้าเร็วไม่เท่ากัน และมันไม่สำคัญมากไปกว่า "I pass on" ในทุกบททดสอบที่ถาโถมเข้ามา
โลกนี้มีที่ว่างมากพอให้กับคนพันธุ์แกร่งเสมอ
Inspired by @MilaniCreative
โฆษณา