17 มิ.ย. เวลา 04:56 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
วัดเทสก์ธรรมนาวา (วัดท่าไทร)

ขยายความคำว่ากายละเอียด คืออะไร? ต่างจากกายหยาบอย่างไร? แอ๊ดมินมีคำตอบให้!

วัตถุธาตุในโลกของเราทุกอย่างล้วนเป็นของหยาบ หยาบในที่นี้ไม่ได้แปลว่าไม่ดี หรือหยาบช้า แต่หมายถึงว่ามีลักษณะเป็นของแข็งคงสภาพ สัมผัสจับต้องได้ มีความตัน ส่วนมากมักทึบแสง แต่ที่โปร่งแสงก็มี
ยกตัวอย่างง่ายๆเลย ก้อนหิน ต้นไม้ และร่างมนุษย์ เป็นของหยาบอย่างแน่นอน 100เปอร์เซนต์ เพราะเมื่อจับสัมผัสแล้วกระทบติดมือเราได้ รับความรู้สึกได้
จะเห็นได้ว่าของหยาบเป็นของที่เกิดจากการประชุมรวมตัวกันของอนุภาคเล็กๆของธาตุต่างๆ เช่น ดินน้ำลมไฟ เพียงแต่วัตถุบางอย่างก็เป็นแต่ดิน เป็นแต่น้ำ บางอย่างก็ปะปนกันระหว่างน้ำและดิน อาจจะมีไฟบ้าง แต่ร่างกายหรือกายเนื้อของเราเป็นธาตุที่มาประชุมกันได้ครบที่สุด นั่นก็คือมีทั้งดิน ทั้งน้ำ ทั้งลมแล้วก็ไฟ
ครบชนิดที่ว่าแม้แต่สัตว์หลายๆชนิดก็ยังขาดธาตุตัวใดตัวหนึ่งไป เช่น ปลา มีแค่ธาตุน้ำ ลมและดิน ไม่มีไฟ แมลง มีแค่ธาตุ น้ำ,ลม,ดิน ฉลาม ก็มีแค่ธาตุน้ำ,ลม,ดิน.. แต่สัตว์ปีกกลับมีครบทั้งสี่ธาตุ ช้าง ม้า วัว ควาย หมู หมี หมา แมว วาฬ โลมา ก็เช่นกัน
สังเกตได้ว่ายิ่งสัตว์มีความซับซ้อนมากเท่าไร ความครบของธาตุก็จะมีมากเท่านั้น พอธาตุมาประชุมรวมกันครบสี่ ก็จะเกิดน้ำหนัก เกิดความตันตัว เกิดความเป็นรูปร่างทรวดทรง สามารถสัมผัสได้ ชำรุดได้เสียหายได้บาดเจ็บได้ มีความทึบแสงเป็นหลัก อยู่ในระดับคลื่นความมองเห็นที่ตาเนื้อสามารถจับผัสสะได้
เมื่อกลับมาเจาะลึกถึงธาตุต่างๆ จะพบว่า "ความหยาบ" ของแต่ละธาตุมีความหนักและเบาบาง แตกต่างกัน โดยธาตุดินหยาบที่สุด ธาตุน้ำหยาบรองลงมา ธาตุไฟหยาบน้อย และธาตุลมหยาบน้อยที่สุดเพราะไม่สามารถจับกุมตะครุบไว้ได้เลย
ความหยาบมากน้อยดังกล่าว ส่งผลให้การสัมผัสจับเป็นไปได้ง่ายและยากตามลำดับ แน่นอนว่าเราจับดินได้ แต่เราจับน้ำได้เล็กน้อย แต่ไฟเราไม่สามารถไปจับได้เลย แต่กลับถูกมันเผาผลาญจนมอดไหม้ได้เลย ส่วนธาตุลมก็ไม่สามารถจับต้องตะครุบตัวได้ แต่เรารู้สึกได้เวลาลมพัดผ่านอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ แม้ไฟจะไม่สามารถไขว่คว้าจับต้องเอาไว้ในมือได้ แต่ก็ให้ผลได้ ทั้งความร้อนและความไหม้ นอกจากนี้ยังมองเห็นด้วยตาเนื้อได้ มีรูปทรงให้เห็น แม้จะไม่มีรูปร่างให้จับต้องก็ตาม
เช่นเดียวกัน ไม่มีใครสามารถจับลมได้ แต่ที่หนักกว่านั้นคือ ลมไม่มีรูปทรง ไม่มีรูปร่าง ไม่มีกรอบของรูปร่างที่แน่ชัด แต่มีมวลมากระทบกายเราได้ เรารู้สึกถึงลมได้
ทั้งนี้ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต การเกาะกลุ่มกันจึงมีความไร้ระบบ แตกต่างกับสิ่งมีชีวิต ที่มีร่างกายเกาะกลุ่มกันด้วยองคาพะยพต่างๆอย่างมีระบบ เช่นกล้ามเนื้อหัวใจต้องเป็นแบบไหน กล้ามเนื้อเรียบต้องเป็นแบบไหน กล้ามเนื้อลาย กล้ามเนื้อฟองน้ำ เยื่อบุ ระบบไหลเวียนธาตุน้ำ เช่น เลือด น้ำดี น้ำเหลือง น้ำเชื้อ ระบบทางเดินหายใจอุ่นๆที่เป็นธาตุลมและไฟ ฯลฯ
และแน่นอน กายเนื้อของเรา มือไม่สามารถทะลุผ่านได้ ไม่เหมือนน้ำ หรือลม แม้แต่ไฟก็ตาม (แต่คงไม่มีใครทนเอามือเข้าไปในไฟไหว)
นั่นคือรูปแบบของสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จัก เป็นของหยาบ มีระบบที่ยึดไว้ด้วยธาตุทั้งสี่ที่โขลก-รวมกันอย่างลงตัว ทีนี้ลองนึกภาพว่า กลุ่มควัน หรือ หมอกไอ ที่มีระบบ และมีพลังงานชีวิตหมุน-วนอยู่ภายใน การที่มีดวงชีวิตหมุนวนอยู่ภายใน จะทำให้เกิดรูปเกิดร่างที่ดวงชีพนั้นยึดไว้ เช่น สมมติว่าควันสีเทามีรูปร่างเป็นคน กลุ่มไอหมอกขาวที่มีรูปร่างเป็นงู เป็นต้น
แม้นั่นจะเป็นเพียงทฤษฎีสมมติเพื่อยกตัวอย่างเปรียบเทียบ แต่ถ้าหากมีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น ก็จะมีลักษณะที่มีชีวิตจิตใจ เคลื่อนกายเคลื่อนไหว มองเห็นได้ แต่ไม่สามารถจับต้องได้ เพราะมือของเราจะทะลุเข้าไปในตัวเขาเลย
แต่พวกเขาจะสัมผัสกันเองได้ สื่อสารกันได้เพราะอยู่ในภาวะเดียวกัน อาจมีพูดจาปราศรัย มีการกอดจูบ ผสมพันธุ์กันได้ เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทั่วๆไป
ทีนี้ลองจินตนาการว่า ควันหรือหมอกเหล่านั้น มีสีอ่อนมาก อ่อนแบบโปร่งใส ไปจนถึงขั้นล่องหน มีความเบามากถึงมากที่สุด มีโมเลกุลที่เล็กละเอียดเกินกว่าคำว่าผุยผง แต่ก็ยังเกาะกลุ่มกันเป็นรูปเป็นร่างอยู่ จะเห็นได้ว่าในสเต็ปนี้ "ตาเนื้อของเราจะมองไม่เห็นเขาแล้ว"
แต่สิ่งมีชีวิตในลักษณะนั้นก็ยังคงมีรูปร่างที่พวกเขามองเห็นเฉพาะกัน ด้วยธาตุที่นอกเหนือไปจากโลกของเรา (สังเกตได้ว่า ควันและหมอก เป็นธาตุย่อยของไฟและน้ำ ถือว่ายังเป็นธาตุในมิติโลกของเรา) อาจเป็นธาตุที่นอกเหนือไปจากธาตุสสาร อย่าง ดินน้ำลมไฟก็ได้ บางคนอาจจะเรียกธาตุที่มีการเกาะตัวเป็นรูปทรงแต่ตาเนื้อมองไม่เห็นนี้ว่าเป็นธาตุ "สสารมืด"
แน่นอน สสารมืดเหล่านี้มีทั้งที่เป็นสิ่งมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต เช่น อมนุษย์ เทพ นาค แฟรี่แลนด์ ต้นมักกะลีผล ต้นปาริชาติ วิมาน วัง ดินทิพย์ หินทิพย์ และน้ำทิพย์ เป็นต้น ในศาสตร์ฟิสิกส์แบบควันตั้มมีสอนเรื่อง สสารมืด กันเป็นปรกติ มีการตีความไปได้ทุกมิติ ทั้งมิติของโลกวิญญาณ มิติของปรโลกหรือโลกทิพย์ มิติของโลก 3D 4D 5D 6Dไล่ไปจนถึง18Dโน่นเลยยังมีมาแล้ว
ทีนี้กลับมาเรื่องสสารมืดที่มีชีวิตอีกที จะเห็นได้ว่าสสารมืดที่มีชีวิตมีร่างกายที่ละเอียด มีความอ่อนนุ่ม มวลกายของพวกเขาจะล่องหนในสายตามนุษย์ แต่ในสายตาของพวกเขาที่ละเอียดเพราะเป็นตาทิพย์ ย่อมจะมองเห็นกันและกันได้ แน่นอนว่ากายย่อมสัมผัสกันและกันได้ เพราะเป็นสสารมืดที่มีชีวิต มีกรอบรูปร่างที่ชัดเจนแม้จะมีความละเอียด แต่ถ้าสิ่งมีชีวิตที่ละเอียดพอกัน มาถูกเนื้อต้องตัวกัน ก็ย่อมเกิดสัมผัสที่ไม่ต่างจากเวลามนุษย์เราสัมผัสตัวซึ่งกันและกัน
พวกกายละเอียดจึงมองเห็นความงดงาม หรือ ความน่ากลัว ของกันและกันได้อย่างชัดเจน เหมือนเวลาที่เรามองหน้าคนรัก ชมการแสดงของศิลปิน มองหน้าน้องหมาน้องแมว กอดรัดฟัดเหวี่ยง สัมผัสคนนั้นคนนี้ ฯลฯ เท่ากับว่าพวกกายละเอียดก็แทบจะมีความเป็นไปไม่ต่างจากมนุษย์เราเลย
จึงมีความเป็นไปได้สูงที่เรื่องราวดินแดนแฟนตาซีบังบดซ้อนทับลับแลอันเป็นตำนานเล่าขานนั้นคือเรื่องจริง บางทีที่ที่เราอยู่ ณะปัจจุบัน ก็อาจเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เหล่าสิ่งมีชีวิตสสารมืดหรือสิ่งมีชีวิตกายละเอียดอาศัยอยู่เช่นกัน และแน่นอน บางทีโขดหินที่คุณเห็น อาจจะเป็นพระราชวังที่เขาเห็น ก็ได้นะ
สสารมืดที่มีชีวิต อาจจะมองเห็นพวกเราได้ หากเราไปในที่ของเขา ที่ตรงกับมิติของเขาพอดี แต่สสารมืดจะเลือกเปิดม่านมิติเพื่อมองเห็นเรา หรือเลือกที่จะปิดม่านมิติไว้ก็ทำได้อีก เช่น พวกเปรต พวกอสุรกาย และพวกเทวดาเป็นต้น คนโบราณจึงมักจะห้ามนักห้ามหนาไม่ให้เด็กผู้ชายเที่ยวไปยืนฉี่รดจอมปลวกที่ไหนเข้า
ดังนั้น ถ้าอิงทฤษฎีสสารมืด ก็เชื่อได้สบายๆว่า "ภพภูมิ" และ "สิ่งลี้ลับ" มีอยู่จริง 100เปอร์เซนต์
หากบางครั้ง จิตเรามีคลื่นความถี่ที่ละเอียดเบาบางมากพอที่จะจูนติดกับคลื่นของพวกที่อยู่ซ้อนมิติกับเรา ปรากฏการณ์ "เห็นผี" หรือ "เห็นสิ่งลี้ลับ" ก็อาจจะเกิดขึ้นให้เราได้กรี๊ดสนั่นกันแบบงงๆ
แถมในบางกรณี สสารมืดที่มีชีวิตตนใดที่มีกรรมพันผูกสัมพันธ์กับตัวท่าน สสารมืดหรือกายทิพย์(กายละเอียด)ตนนั้นก็อาจใช้พลังอำนาจจิตเร่งพลังงานความร้อนให้เท่า "ควัน" จนสามารถเปล่งสี เปล่งกรอบทรงร่างให้คุณมองเห็นเขาได้ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น เวลาคิดจะทำร้ายอะไรใคร ก็หมั่นเตือนสติตัวเองบ่อยๆ ทุกครั้งครา เพื่อไม่ให้ไปผูกเวรผูกกรรมกับกายทิพย์ที่ดุร้ายเดือดแค้นตนใดเข้าในภายหน้า
มีหลายกรณีที่ดวงวิญญาณของคนที่โดนฆ่าตายมาเข้าฝันหลอกหลอนฆาตกร หรือมาปรากฏตัวให้อาชญากรเห็นจนเป็นบ้าเสียสติไปเลยก็มี แถมบางกรณี ดวงวิญญาณสสารมืดนั้นก็ยังมาเข้าสิงคนเพื่อชี้ตัวฆาตกรให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก ดังคดีดังคดีหนึ่งในอเมริกาที่มีโจรผิวสีฆ่าหมกศพหญิงชาวฟิลิปปินส์เพื่อชิงทรัพย์ แต่ดวงวิญญาณ(โอปปาติกะสัมภเวสี)ของเธอไปเข้าสิงญาติและเพื่อนเพื่อประจานความเลวระยำของฆาตกร จนตำรวจตามสืบแล้วได้รู้ความจริงว่า เรื่องที่วิญญาณพูดนั้นคือความจริง
สสารมืด หรือ กายละเอียด จึงมีจริงแท้แน่นอน ทั้งที่อยู่รอบๆตัวคุณ และอยู่ในตัวคุณ กายละเอียดที่ว่านี้ก็คือวิญญาณของคุณนั่นเอง
แอ๊ดมินวิรุฬหก แห่งเพจเฟ๊ซบุ๊ค ธรรมะแฟนตาซี
โฆษณา