10 ส.ค. เวลา 00:00 • หนังสือ

บทความ Blockdit ตอน ไม่อยากมีลูก

หลายปีมานี้ คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยแสดงความเห็นว่าพ่อแม่ต้องรับผิดชอบที่ทำให้ลูกเกิดมา และตั้งคำถามว่าทำไมฉันต้องเกิดมาด้วย ฉันไม่อยากเกิดในโลกนี้ ไม่อยากเกิดเป็นคน บ้างโทษว่าเป็นความผิดของพ่อแม่ทำให้ตนเกิดมา เพราะไม่ขออนุญาตก่อน หรือไม่ถามก่อนว่าอยากเกิดไหม
3
นี่ไม่ใช่คำถามใหม่หรือประเด็นใหม่ แนวคิดไม่อยากเกิดนี้เรียกว่า Antinatalism ถกกันมาตั้งแต่สมัยโบราณมานานหลายพันปีแล้ว หลักฐานกรีกโบราณก็บันทึกเรื่องนี้
8
ทุกยุคสมัยมีนักคิดและปราชญ์จำนวนหนึ่งเห็นว่าการเกิดมาในโลกเป็นความเลวร้ายอย่างหนึ่ง
แนวคิดนี้มีมุมมองว่า ทุกชีวิตไม่ควรเกิดมา บางคนเห็นว่าชีวิตเต็มไปด้วยความเหนื่อยยากลำบาก ความวุ่นวาย การมีลูกเลยเหมือนสร้างชีวิตใหม่ให้เผชิญความเหนื่อยยากลำบาก ความวุ่นวายนั้น ทั้งที่เรารู้มาก่อน และมัน “ไม่ยุติธรรม” กับชีวิตใหม่
1
ชาว Antinatalist เห็นว่าการสร้างชีวิตใหม่ว่า “ไร้ศีลธรรม” เพราะนำชีวิตมาสู่โลกให้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ดังนั้นทางดีที่สุดคืออย่ามีลูก
2
บางครั้ง Antinatalism ก็รวมสิ่งมีชีวิตอื่นด้วย พวกเขาเห็นว่าสัตว์เกิดมาเจอแต่เรื่องเลวร้าย เกิดมาก็อยู่ในกรง เป็นอาหารมนุษย์
ถ้าเราไปเยือนฟาร์มเลี้ยงไก่สักแห่ง เห็นไก่ใช้ชีวิตในกรงตั้งแต่เกิดจนวันที่กลายเป็นอาหารมนุษย์ นอกจากนี้ก็มีสัตว์อีกหลายชนิดถูกมนุษย์เลี้ยงเป็นเครื่องเล่น วัวชน ไก่ชน ปลากัด ฯลฯ
5
ล้วนเป็นชีวิตที่ไม่น่าเกิด
1
นี่เป็นเหตุผลที่ชาว Antinatalist ตอนหมูหรือไก่ เพราะเห็นว่าถ้ามันมีลูก ลูกก็จะถูกฆ่าเป็นอาหารหรือได้รับความทรมาน
2
แนวคิดนี้วางบนฐานความคิดว่าชีวิตคือความทุกข์ โลกคือนรก
2
คนจำนวนมากในโลกไม่อยากมีลูกเพราะไม่อยากให้เด็กเกิดมาในโลกที่ดูเหมือนมีแต่ ความเลวร้าย ลำบาก การสร้างเด็กมาเผชิญ ‘กรรม’ เป็น ‘บาป’ อย่างหนึ่ง ดังนั้นอาจดีกว่าที่ไม่มีลูก
3
ชาว Antinatalistในบางอารยธรรมเห็นว่าการเกิดเป็น คนเป็นกรรมเก่า
1
บทกวี Morphine (1856) ของ Heinrich Heine เขียนว่า
4
“Sleep is good: and Death is better, yet
5
Surely never to have been born is best.”
10
บทกวีนี้เห็นว่า ความตายเป็นหนทางหนีความทุกข์ ดังนั้นถ้าไม่ได้เกิดมาจะดีที่สุด และเป็นความเมตตาที่เราสามารถมอบให้ชีวิตที่ยังไม่ได้เกิดมา
เป็นความจริงว่าเราทุกคนเกิดมาโดยไม่มีใครขออนุญาตเราหรือถามเราก่อนว่า อยากเกิดหรือไม่ เพราะมันทำไม่ได้ เรายังไม่มีเทคโนโลยีสร้างยานเวลาไปในอนาคต ถามลูกว่าอยากเกิดไหม ก่อนที่เราจะสร้างเขาหรือเธอขึ้นมา
5
ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในโลกสามารถขออนุญาตที่จะไม่เกิด ชีวิตเกิดตามทางของมันอย่างนั้น
1
ทุกชีวิตในโลกเกิดมาตามวิถีธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง ธรรมชาติไม่มีมารยาท ขนบธรรมเนียมค่านิยม
8
ธรรมชาตของชีวิตคือสานต่อสายธารชีวิตและสายพันธุ์ของมัน
3
มันเป็นเช่นนั้นเอง
ถ้าจะโทษพ่อแม่ที่ทำให้ตนเกิดมาก็ต้องโทษคนที่ทำให้พ่อแม่เกิดมาด้วยมันเป็นลูกโซ่
1
และหากโทษย้อนหลังไปเรื่อยๆ เราก็ต้องโทษสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่เกิดขึ้นในวันแรกๆ ของโลกราว 3.8 พันล้านปีก่อน และอาจต้องโทษผู้สร้างจักรวาลด้วย (ถ้ามีจริง)
5
อาจมีแต่มนุษย์ที่ตั้งประเด็น ‘ไม่ขออนุญาต’
1
เพราะมองโลกตามหลักการ (ที่มนุษย์นั่นแหละสร้างขึ้นมาเอง) ว่า เรามีสิทธิเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ รวมทั้งการเลือกที่จะไม่ต้องเกิด หรือคนที่ทำให้เราเกิดต้องรับผิดชอบทุกอย่าง
3
ย่อมมิใช่เรื่องผิดที่เราจะบ่นว่าชีวิตเลวร้าย
แต่ในเมื่อเราที่เกิดมาแล้วก็ต้องอยู่กับความจริงว่าเราเกิดมาแล้ว มันมีสองเลือกคือ มีชีวิตอยู่หรือจบชีวิตเอง
5
บางทีประเด็นไม่อยากเกิด/ไม่อยากให้เกิดก็คือเรื่องของทัศนคติและมุมมองล้วนๆ
บางทีหากวันหนึ่งเรามีเทคโนโลยีสามารถถามเด็กที่กำลังจะเกิดได้ว่าอยากเกิดมาในโลกนี้ไหม เราอาจแปลกใจถ้าเราได้รับคำตอบทั้งอยากและไม่อยาก
1
แต่เนื่องจากเราไม่รู้ดังนั้นการใช้ตัวเราเองเป็นมาตรฐานหรือตัวตัดสินว่าเด็กควรเกิดหรือไม่ อาจเป็นการมองโลกแบบมีแค่ข้อสอบปรนัย มีสองคำตอบ ข้อ 1 หรือข้อ 2
1
แต่ชีวิตไม่มีสองคำตอบ ชีวิตไม่มีคำตอบชีวิตมันเลื่อนไหลไปตามธรรมชาติของชีวิตอย่างนั้นเอง เราเกิดมาในรูปชีวิต (lifeform) แบบนี้ และการสืบเผ่าพันธุ์เป็นส่วนหนึ่งของ lifeform นี้
2
เช่นเดียวกับการกินข้าว การหายใจ การเดิน การยิ้ม การหัวเราะ การร้องไห้
1
การสืบพันธุ์เป็นข้อแม้หนึ่งของชีวิต สลักในยีนของสิ่งมีชีวิต มนุษย์อาจสามารถพัฒนาไปถึงขั้นที่สามารถหยุดการเกิดใหม่โดยผ่านใช้วิธีคุมกำเนิด
การตัดสินใจไม่มีลูกเพราะไม่อยากสร้างทุกข์ให้ลูก อาจเป็นการตัดสินที่ถูก หรืออาจจะผิดก็ได้ เราไม่มีทางรู้ มันไม่ชัดเจนเหมือนเราถามตัวเองในช่วงสงคราม ไม่มีอาหาร เสี่ยงต่อการถูกฆ่า ก็ตัดสินง่ายหน่อยว่า ไม่ควรมีลูก
1
ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเราจะมีชีวิตที่ดีชีวิตที่มีความสุข
เราอยู่ในโลกที่มนุษย์แต่ละคนเลือกทางเดินของเขาได้ในระดับหนึ่งเราสามารถกำหนดได้ว่าเราจะมีลูกหรือไม่ ขณะที่สิ่งมีชีวิตอื่นยังทำไม่ได้ ดังนั้นมันก็ขึ้นกับปัจเจกแต่ละคนว่าอยากมีลูกหรือ
3
ไม่อยากมี ถ้าไม่อยากมีลูก ก็ไม่ต้องมี ถ้าอยากมีก็มี แต่ระวังอย่าโยงสองเรื่องเข้าด้วยกัน นั่นคือการเกิดกับความทุกข์
2
การเกิดคือการเกิดเป็นชีวิตความทุกข์คือความทุกข์
สองอย่างนี้เป็นคนละเรื่องกันเช่นเดียวกับที่ศาสนากับศีลธรรม ก็เป็นคนละเรื่องกันโรงเรียนกับการศึกษาก็เป็นคนละเรื่องกัน แต่มันง่ายมากที่จะโยงกัน และเมื่อโยงกันแบบนี้ เราก็จะมองโลกแบบปรนัย มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว
เราไม่สามารถมองโลกขาวกับดำ สรรพชีวิตเป็นอย่างนี้ สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก เป็นห่วงโซ่ของกลไกธรรมชาติ ชีวิตในโลกนี้คือการเลื่อนไหลของมันมา 3.8 พันล้านปี ธรรมชาติไม่ได้มีดีหรือไม่ดีมันเป็นเช่นนั้นเอง
3
ใบไม้ไม่ถามกิ่งไม้ว่าทำไมให้มันเกิด กิ่งไม้ไม่อาจถามลำต้นว่าทำไมให้มันเกิด ลำต้นไม่อาจถามเมล็ดว่าทำไมให้มันเกิด มันเป็นการเดินไปของชีวิตอย่างนั้นเอง
1
โลกมีเหตุและปัจจัยมากมายที่ส่งผลเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อทุกชีวิตย่อมมีคนที่มีโอกาสมีความสุขมากกว่า และคนที่มีโอกาสมีความทุกข์มากกว่า บวกกับปัจจัยและข้อแม้ต่างๆ มากมาย สงครามแผ่นดินไหว ทรราช เศรษฐกิจล่ม เป็นสิ่งเกินคาดไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
3
เราไม่มีทางรู้ว่า เด็กที่เกิดมาจะมีความสุขหรือไม่มี
4
ในทางพุทธ ความทุกข์ของมนุษย์ไม่ได้เกิดจากมีลูกหรือไม่มีลูก แต่เกิดจากการปรุงแต่ง
9
มีลูกแล้วปรุงแต่งว่าเป็นทุกข์ก็ได้ไม่ปรุงแต่งว่าเป็นทุกข์ก็ได้
2
บางทีเหตุผลที่ดีที่สุดที่รองรับ Antinatalism คือหลักฐาน ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เช่นความจริงที่มนุษย์ทำลายธรรมชาติมโหฬาร สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เพราะมนุษย์เป็นหลัก ถ้าโลกไม่มีมนุษย์ น่าจะสมบูรณ์กว่านี้ ภาวะโลกร้อนก็หายไป
1
บางคนเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะมีชีวิตโดยไม่ทำร้ายโลกหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือคนอื่นๆ เพราะมนุษย์มีชีวิตโดยไม่แยแสความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตอื่น เราทำร้ายคนอื่นได้เพื่อที่เราจะอยู่รอด
3
เรากินสัตว์อื่นเป็นอาหาร เราเลี้ยงสัตว์มาเป็นอาหาร เรามีความสามารถที่จะระเบิดโลกทั้งใบทิ้ง
3
ว่าก็ว่าเถอะ มนุษย์เป็นอันตรายต่อโลกเราทำลายโลกมากกว่าทุกสายพันธุ์รวมกัน
1
หากมนุษย์หายไปจากโลก โลกทั้งมวลยังอยู่
2
หากรักโลก จึงไม่ควรสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมาในโลกนี้
3
นอกจากนี้หลายลัทธิและศาสนาห้ามทำแท้งเพราะ “เป็นบาป” แต่เมื่อสร้างเด็กโดยไม่พร้อม ก็กลายเป็นปัญหาสังคม และเป็นบาปต่อเด็กจริงๆ มองในภาพรวม ทุกอย่างแย่ลง นี่ก็คือหลักฐานเช่นกัน
10
ตรรกะนี้ทำให้มีน้ำหนักรองรับความคิดมากขึ้นว่าทำไมไม่ควรมีมนุษย์บนโลก!
1
คนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิด Antinatalism บอกว่าชีวิตมีเรื่องสวยงาม มนุษย์สามารถสร้างคุณค่าที่ดีเช่นกันมนุษย์สร้างระบบศีลธรรม ความงาม ศิลปะ ศาสนา ฯลฯ
2
สิ่งดีๆ เหล่านี้มนุษย์สร้างขึ้นมาไม่ได้มากับการเกิด
2
เราอาจไม่ใช่สายพันธุ์ที่เลวร้ายเกินเยียวยา!
1
คนจำนวนมากจะไม่บ่นเมื่อมีความสุขแต่เมื่อประสบทุกข์ก็จะบ่นว่า ไม่รู้เกิดมาทำไม
4
สมมุติถ้าเกิดมาแล้วชีวิตดีล่ะ จะไม่เกิดหรือ? แน่ละ ในโลกที่มีประชากรหลายพันล้านคน บางคนอาจมีความสุข แต่ไม่ทุกคน
4
แล้วจะทำอย่างไร?
สำหรับคนที่เกิดมาแล้ว ในเมื่อเราเลือกไม่ได้และในเมื่อเราเกิดมาแล้ว ป่วยการโทษคนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ หาทางอยู่กับมันดีกว่า
3
คนที่เชื่อแนวคิด Antinatalism นี้ จำนวนมากเลือกเป็นชาวมังสวิรัติ เพราะไม่ต้องการฆ่าสัตว์ หรือทำร้ายโลกน้อยที่สุด
3
บางทีเราอาจมีทางสายกลางสำหรับคนที่เกิดมาแล้ว ทำโลกให้ดีขึ้น ทำร้ายโลกน้อยลง รักษาสิ่งแวดล้อม
2
บางทีเราดูแลโลกให้ดีที่สุด ลดขยะ ลดมลพิษ ลดคาร์บอน
“ฉันพยายามแล้วนะที่จะทำร้ายโลกน้อยที่สุด”
1
และบางทีหน้าที่พ่อแม่คือเตรียมลูกให้พร้อมรับทุก สถานการณ์มากที่สุด
3
โฆษณา