18 มิ.ย. เวลา 08:03 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
นะงะโนะ

🪨ตามวิถีคิดแบบเซน (Zen philosophy)

เชื่อว่าหลายสิ่งรอบตัวไม่สามารถควบคุมได้ หากเรายึดมั่นถือมั่นในภาพเดิมนั้นใจคงต้องแบกทุกข์อยู่เสมอ ไม่มีวันสงบ เมื่อสิ่งรอบตัวควบคุมไม่ได้ ให้รับรู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงผันแปรไปอย่างไร? ก็จงดำเนินตนเองให้สอดคล้องไปเช่นนั้น มันไม่ใช่อาการท้อถอยถอดใจ แต่คือกระบวนการปรับเปลี่ยนไปตามสายธารแห่งความเปลี่ยนแปลง
📌หากมีความสุข ให้คิดว่าเพียงวันนี้วันเดียวที่เป็นสุข ก็จะไม่รู้สึกเป็นสุข
📌หากเราคิดว่าความทุกข์มีวันนี้เพียงวันเดียว ก็จะไม่รู้สึกทุกข์เช่นกัน
มีความสุขได้ เพียงแต่อย่าคิดว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะดำรงอยู่จนถึงวันพรุ่งนี้ เมื่อมีความทุกข์ ก็ให้คิดว่าทุกข์นั่นแหล่ะ วันพรุ่งนี้คงไม่ทุกข์แล้ว เพราะทุกอย่างรอบตัวอาจเปลี่ยนแปลง ทั้งสถานการณ์เปลี่ยน หรือตัวตนเราเองก็เป็นปัจจัยปรับเปลี่ยนได้ด้วยเช่นกัน
การดำเนินชีวิตไปเช่นนี้จะทำให้ใจเบา รับรู้ตนเองว่าเราทำได้มากน้อยเพียงใดและไม่ยึดติดกับมัน สิ่งเหล่านี้คือการแก้ปัญหาในชีวิตด้วยความอ่อนโยน หากเป็น “เซน” ต้องยืดหยุ่น ตั้งใจ รับรู้ และรู้จักปล่อยในเวลาที่ควรวาง
📖บางส่วนจากหนังสือ “พัฒนาตนเองแบบเซน” : เหลี่ยวหันจวีซือ
🎥สิ่งที่ได้เกริ่นไปข้างต้นทั้งหมดนั้นสอดคล้องอย่างลื่นไหลไปกับบรรยากาศของภาพยนตร์แดนอาทิตย์อุทัยเรื่องหนึ่งชื่อว่า ‘The Zen Diary’ [土を喰らう十二ヵ月] เรื่องราวของชายสูงวัยชาวญี่ปุ่นผู้ดำรงอาชีพนักเขียน และปลีกวิเวกตนเองสู่การใช้ชีวิตอย่างสันโดษในบ้านไม้ชั้นเดียวขนาดย่อม แฝงเร้นตนเองอยู่แนบเคียงแมกไม้ใหญ่ปกคลุมและพืชผักนานาชนิด ณ ชนบทเมืองนากาโนะ (Nagano) ซึ่งมิได้ห่างไกลจากมหานครโตเกียว (Tokyo) อันเบียดเสียดพลุ่กพล่านมากนัก แต่วิถีชีวิตของผู้คนขวักไขว่นั้นช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
🌿ก่อนที่เขาจะเลือกดำเนินชีวิตอย่างสันโดษ “สึโตะมุ (Tsutomu)” ครั้งวัยเยาว์ได้อาศัยบวชเรียนอยู่ใน “วัดเซน” หน้าที่หลักของเณรเซนผู้นี้คือ “การทำอาหาร” หล่อเลี้ยงชีวิตพระเซนทุกรูปภายในวัด ภายหลังอายุ 13 ปี สึโตะมุออกจากวัดมาใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป เรื่องราวหลังจากนั้นค่อนข้างพร่าเลือน การเดินเรื่องไม่ได้เท้าความถึงมากนัก (นี่อาจเป็นวิถีเซนซึ่งเรารับรู้ได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง อยู่กับปัจจุบัน)
🌿ดูเหมือนว่าการดำเนินชีวิตและทักษะที่ติดตัวสึโตะมุมาเมื่อครั้งวัยเยาว์ ยังคงหล่อหลอมและผลักดันให้เขาเป็นเขาตั้งแต่อดีตมาจนถึงทุกวันนี้ ตัวเรื่องมุ่งเน้นฉายภาพการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละฤดูกาล ผ่านตัวละครหลักคือ “สึโตะมุซัง” ผ่านกิจกรรมหลักคือ “การทำอาหารแบบเซน” ที่เขาเคยเรียนรู้มาและผสมกลมกลืนไปกับวิถีชีวิตที่เลือกเดิน การปลูกผัก เข้าป่า หาพืชพรรณเท่าที่มีและสามารถหาได้ในละแวกบ้าน (แน่นอนว่าอาหารที่เขาทำและกินอยู่ทุกวันนั้นไม่มีเนื้อสัตว์)
กาลเวลาผ่านไปอย่างเอื่อยเฉื่อยแต่รวดเร็วสำหรับการขมวดปมความคิดอยู่ในที หลายครั้งเขาดูคล้ายคนเฉยชาและไม่แยแสต่อสิ่งใด แต่เหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวัน ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ทำให้เรารับรู้ได้ว่าสึโตะมุซังพิถีพิถันในทุกอิริยาบถ ละเอียดลออ นอบน้อม ถ่อมตนและใส่ใจ ความโอบอ้อมของเขาหมายรวมถึงคนที่จากไปแล้วตลอดกาล และอาจไม่มีวันได้รับรู้ถึงสิ่งที่เขากระทำ
🧎‍♂️เราจะให้คำนิยามสึโตะมุซังอย่างไรดี? เขาเป็นทั้งคนเฉยชา ไม่แยแส ละทิ้ง ปล่อยวาง ดูเหมือนเขาจะสามารถล้มเลิกความตั้งใจใดๆในชีวิตได้ทุกขณะจิต แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนใส่ใจในรายละเอียด โอบอ้อมอารี พิถีพิถัน เห็นอกเห็นใจ มุ่งมั่นในสิ่งที่ต้องการ พร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถหากใครผู้นั้นร้องขอ
เรื่องราวดำเนินไปอย่างเอื่อยเฉื่อย สงบเงียบ เรียบง่าย ผ่านท่วงท่าของตัวละคร ทั้งฉากต้นและฉากจบของภาพยนตร์เรื่องนี้อาจคล้ายคลึงกัน วิถีชีวิต ความเชื่อ สันโดษ ความสัมพันธ์ สิ่งเหล่านี้คือปรัชญารากฐานที่อาจส่งผลให้ประเทศญี่ปุ่นที่ใครหลายคนหลงใหลนั้นเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ สุดท้ายคนที่ไม่ได้ชอบหรือไม่ได้มีความสนใจอย่างเฉพาะเจาะจง ดูแล้วอาจเบื่อหน่าย ง่วงหงาวหาวนอน ไร้ซึ่งแก่นสารใดๆ ก็ไม่ต้องฝืนทน (นี่ก็คงจะเป็นเซน)
🕑บางคนกล่าวไว้นานมากแล้วว่า “เซน” บอกเล่าไม่ได้ (คล้ายเต๋า) เมื่อเราพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะอธิบาย สิ่งนั้นก็อาจไม่ใช่เซนแล้ว บางสิ่งมันได้ก้าวล่วงออกนอกกรอบของตรรกะเหตุผล ยิ่งพยายามศึกษาเพื่อให้เข้าใจ อาจยิ่งไม่มีวันเข้าถึง หากแต่บางครั้ง วันหนึ่งเพียงแค่เราเดินสะดุดก้อนหินหกล้มชั่วพริบตาเดียว เราก็อาจเข้าถึงเซนได้อย่างง่ายดาย เซนช่างยียวน กวนประสาท เขย่าทึ้ง และฉุดกระชากให้เราออกจากความเชื่อหรือแนวคิดเดิมๆ “เซนและหนังเรื่องนี้คงจะพยายามทำเช่นนั้นอยู่อย่างลื่นไหลและแนบเนียน”
ขอให้มีความสุขกับปัจจุบันนะครับ 😊
โฆษณา