19 มิ.ย. เวลา 03:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สรุปเบื้องหลัง การเติบโตของอินเดีย ทำไมถึงมาแรง แซงทุกประเทศ

รู้หรือไม่ ในปี 2566 ที่ผ่านมา อินเดีย สามารถเติบโตได้ถึง 7.7% ซึ่งไม่ใช่แค่เกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
แต่ยังชนะประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ ทั้งหมดอีกด้วย
อะไรอยู่เบื้องหลัง การเติบโตของอินเดีย ?
อะไรที่ทำให้ถนนทุกสาย กำลังมุ่งหน้าสู่อินเดีย
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถ้าให้สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นกับอินเดียในตอนนี้ ก็ต้องบอกว่ามีหลายเรื่องที่น่าสนใจมาก เริ่มตั้งแต่
1. เติบโตอย่างรวดเร็ว จากการเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของรัฐบาลอินเดีย
โดยเมื่อเปรียบเทียบโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของอินเดีย ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าอินเดีย มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น
- ทางหลวงแผ่นดิน จากความยาวรวม 98,000 กิโลเมตร เพิ่มเป็น 145,000 กิโลเมตร
- สนามบิน จาก 74 แห่ง เพิ่มเป็น 149 แห่ง
- เส้นทางรถไฟฟ้า จาก 22,000 กิโลเมตร เพิ่มเป็น 50,000 กิโลเมตร
และผลลัพธ์สำคัญ ที่ตามมาจากการมีโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาขึ้น ก็คือการลงทุนของภาคเอกชน ที่มากขึ้นตาม
เพราะโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและขนส่งสินค้าให้กับธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งช่วยขยายขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของอินเดีย
การเติบโตของทั้งการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน ก็กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ GDP ของอินเดียในปีที่ผ่านมา โตถึง 7.7%
ซึ่งมากกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ และชนะประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ ทั้งหมด
2
2. การเข้าควบคุมค่าเงินของเงินรูปี ช่วยส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และทำให้อินเดียเข้าใกล้การเป็นโรงงานของโลกมากขึ้น
2
ในช่วงที่ผ่านมา การที่สหรัฐฯ คงดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูง และยังไม่ลดลง ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า และทำให้สกุลเงินของหลายประเทศ ต้องเจอกับการอ่อนค่าลง
1
แต่อินเดียไม่ต้องเผชิญความผันผวนของค่าเงิน เหมือนอีกหลายประเทศ เพราะอินเดียได้เข้าควบคุมค่าเงินของเงินรูปี (INR) ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ให้อยู่ที่ประมาณ 83 รูปีอินเดียต่อดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรักษาเสถียรภาพของสกุลเงิน
ถึงแม้การป้องกันการอ่อนค่าของค่าเงิน จะต้องใช้ทุนสำรอง แต่เรื่องนี้ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับอินเดียในตอนนี้ เนื่องจากอินเดียมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
การควบคุมค่าเงินของอินเดีย ทำให้ในตอนนี้ ค่าเงินรูปีของอินเดีย กำลังเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่มีเสถียรภาพมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
และค่าเงินที่มีเสถียรภาพ ก็กลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผลักดันให้อินเดียเข้าใกล้การเป็นโรงงานของโลกมากขึ้นไปอีก จากที่อินเดียก็มีความได้เปรียบในเรื่องนี้อยู่แล้ว
เพราะหลายบริษัทข้ามชาติ ต่างกำลังใช้กลยุทธ์ China+1 หรือการหาสถานที่อื่นในการใช้เป็นฐานการผลิตแทนที่จีน ที่กำลังมีปัญหากับสหรัฐฯ-ยุโรป และถูกกีดกันทางการค้าอย่างหนัก
ซึ่งอินเดียก็กลายเป็นประเทศทางเลือกใหม่ที่น่าดึงดูดอย่างมาก เพราะทั้งมีตลาดผู้ซื้อภายในประเทศขนาดใหญ่ มีแรงงานจำนวนมาก และค่าแรงก็ยังคงต่ำอยู่
เมื่อประกอบกับค่าเงินที่มีเสถียรภาพด้วยแล้ว จึงทำให้อินเดียยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก
3. ไม่ต้องเจอปัญหาพลังงานราคาแพง เพราะได้น้ำมันราคาถูกจากรัสเซีย
หนึ่งในปัญหาที่ไทยและหลายประเทศที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมัน ต้องเจอมาตลอด ก็คือปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่ในบางครั้งก็พุ่งสูงจนทำให้ต้องขาดดุลการค้า
1
แถมทำให้ต้นทุนการผลิตของหลายบริษัทเพิ่มขึ้น และทำให้เราต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น
แต่อินเดียกลับไม่ต้องเจอกับปัญหานี้ เพราะอินเดียได้หันไปนำเข้าน้ำมันราคาถูกจากรัสเซียแทน หรืออาจเรียกว่า ได้น้ำมันราคาถูกจากรัสเซียมาช่วยชีวิตไว้ก็ได้
เพราะหลังจากที่รัสเซียถูกมาตรการลงโทษจากชาติตะวันตก จากการที่ไปบุกรุกยูเครน รัสเซียก็ไม่สามารถขายน้ำมันให้กับยุโรปได้อีกต่อไป ซึ่งก็คิดเป็นจำนวนถึงครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของรัสเซีย
ดังนั้น รัสเซียจึงจำเป็นต้องลดราคาและหาตลาดส่งออกใหม่ให้กับน้ำมัน ที่เป็นสินค้าส่งออกและแหล่งรายได้ที่สำคัญของตนเอง
และอินเดียก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ตัดสินใจนำเข้าน้ำมันราคาถูกจากรัสเซีย แม้จะเป็นการสวนกระแสมาตรการคว่ำบาตร
และการได้น้ำมันราคาถูกมานี้ นอกจากจะช่วย​​เพิ่มเสถียรภาพด้านราคาน้ำมันในประเทศให้กับอินเดีย ยังส่งผลบวกต่อการส่งออกของอินเดียอีกด้วย เช่น การส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน
4. คนรายได้เพิ่มขึ้น ต้องการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะของหรู หรือฟุ่มเฟือย
ตอนนี้คนอินเดียกำลังมีรายได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยรายได้ต่อหัว นับตั้งแต่ปี 2557 ถึง 2565 เพิ่มขึ้นถึง 140%
โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของผู้ที่มีรายได้ปานกลาง
1
ซึ่งผลที่ตามมาของรายได้ที่มากขึ้น ก็คือความต้องการสินค้าและบริการนอกเหนือจากปัจจัย 4 ที่มากขึ้น
สัดส่วนการใช้จ่ายในสินค้าดั้งเดิมอย่าง อาหาร เครื่องดื่ม และเสื้อผ้า ของคนอินเดีย กำลังลดลงเรื่อย ๆ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในสินค้านอกเหนือจากปัจจัย 4 อย่าง การท่องเที่ยวและความบันเทิง
แนวโน้มนี้ก็ถูกคาดว่าจะขยายต่อไปเรื่อย ๆ และจะทำให้อินเดีย มีตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ภายในปี 2570
1
และภายในปี 2573 ครัวเรือนเกือบ 1 ใน 2 ของอินเดีย ก็จะกลายเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงหรือปานกลางระดับบน
5. ขาดดุลลดลง เพราะเก็บภาษีได้มากขึ้น
การขาดดุลการคลังของรัฐบาลอินเดีย ลดลงจาก 6.4% ของ GDP ในปี 2565 เป็น 5.8% ในปี 2566
โดยเป็นผลจากการที่รัฐบาลสามารถเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เพิ่มขึ้นถึง 23% ซึ่งก็มาจากทั้งรายได้ของประชาชนที่มากขึ้น การพยายามขยายฐานภาษี ตลอดจนการพัฒนาระบบการชำระเงินให้เป็นดิจิทัล
และเมื่อรัฐบาลมีรายได้มากขึ้น ก็จะทำให้มีเงินไปใช้ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และผลที่ตามมาก็จะเหมือนกับที่กล่าวไปในข้อที่ 1 นั่นก็คือ เกิดการลงทุนของเอกชนที่มากขึ้นตามมา
ถ้าสังเกตก็จะเห็นได้ว่า อินเดียตอนนี้ เหมือนกำลังอยู่ใน Virtuous Circle หรือวงจรความดี
เพราะการลงทุนของภาครัฐ ตลอดจนแนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน กำลังทำให้เกิดการลงทุนของเอกชนตามมา และทำให้เกิดการจ้างงาน ประชาชนมีรายได้ ทำให้รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้น และมีเงินมาลงทุนพัฒนาประเทศมากขึ้น ตามลำดับ
เมื่อนำมาประกอบกับการที่อินเดีย เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และอายุเฉลี่ยยังน้อย
รวมถึงการที่อินเดียเป็นประเทศใหญ่ ทำให้มีอำนาจต่อรองกับหลายประเทศ แม้แต่กับสหรัฐฯ หรือจีน ทำให้อินเดีย กลายเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์อย่างมาก จากสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจโลกในครั้งนี้
ทั้งหมดที่กล่าวมา จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมในวันนี้ ถนนทุกสาย จึงกำลังมุ่งหน้าสู่อินเดีย..
โฆษณา