19 มิ.ย. เวลา 09:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สรุป SESSION “Thai Top Theme เจาะหุ้นไทย กลุ่มไหนไปต่อ” งาน SET in the City 2024

ตลาดหุ้นไทย กำลังอยู่ในจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี แต่ก็ยังมีบางคนที่เชื่อว่า เรายังหาโอกาสในสถานการณ์นี้ได้อยู่ ซึ่งในงาน
SET in The City 2024 ที่ผ่านมา ก็มีการ Pitching หุ้นไทย 3 ธีม ที่น่าจับตามอง ได้แก่
- ธีม Dividend (ปันผล)
- ธีม Undervalue (ต่ำกว่ามูลค่า)
- ธีม New Economy (เศรษฐกิจยุคใหม่)
แล้วแต่ละธีม มีหุ้นอะไรน่าสนใจบ้าง ?
มาเริ่มกันเลย ที่ธีมหุ้น Dividend
มี Pitcher เป็นคุณธนวัฒน์ รื่นบันเทิง หัวหน้านักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ผู้ลงทุนสถาบัน บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด
คุณธนวัฒน์ กล่าวว่าหุ้น Dividend ที่น่าสนใจ ควรมีคุณสมบัติดังนี้
- บริษัททำกำไรได้จริง ๆ
- งบดุลมีความแข็งแกร่ง
- แนวโน้มในอนาคตมีความยั่งยืน
ซึ่งหุ้นที่เข้าข่ายและคุณธนวัฒน์เลือกมา Pitching ในครั้งนี้ คือ TTB หรือ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) และ SIRI หรือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
1. TTB
- มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่เป็นผลจากดีลควบรวม ระหว่างธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาต
- TTB มีงบดุลที่แข็งแกร่ง จากการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ
- คุณธนวัฒน์คาดว่า TTB จะสามารถจ่ายปันผลได้ ราว 7-8% เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบัน ใน 2-3 ปีข้างหน้า
2. SIRI
- เศรษฐกิจที่ซบเซา และการปฏิเสธสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ กระทบต่อคนชนชั้นกลางลงไป ทำให้ SIRI ซึ่งโฟกัสระดับบน ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
- SIRI ปรับตัวได้ดีกับปัญหาต่าง ๆ และเน้นทำโครงการที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ทำให้ไม่ต้องกังวลการทำ EIA
- คุณธนวัฒน์คาดว่า SIRI จะสามารถจ่ายปันผลได้ ราว 10% เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบัน
ทาง Commentator ได้มีการตั้งคำถามต่อหุ้นทั้ง 2 ตัว ที่น่าสนใจคือ
- TTB จะมี Downside อะไรจากปัญหาเศรษฐกิจซบเซาไหม ?
- หนี้จากการออกหุ้นกู้ของ SIRI น่ากังวลหรือไม่ ?
- คุณธนวัฒน์ตอบว่า ที่ผ่านมา TTB ปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง และผู้บริหารมีความ Conservative ทำให้ความกังวลเรื่องหนี้เสียมีไม่มาก
- สำหรับ SIRI ที่ผ่านมา มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดี ทำให้เชื่อว่าสามารถ Rollover ได้ และธนาคารพร้อมปล่อยสินเชื่อให้
มาถึงธีมถัดไป คือ ธีม Undervalue
กับ Pitcher คุณวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)
คุณวทัญกล่าวว่า Tourism คือเมกะเทรนด์ของประเทศไทย ซึ่งไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก และได้รับอานิสงส์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย
โดยหุ้นที่คุณวทัญเลือกมา Pitching คือ CPN หรือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
โดยมีข้อสรุปสั้น ๆ ได้แก่
- P/BV กำลังอยู่ในช่วงที่ถูกมาก
- ไม่ได้รับผลกระทบจากการ Disruption มากอย่างที่หลายคนกังวล เพราะคนไทยยังคงชอบเดินห้างอยู่
- CPN ครองส่วนแบ่งของพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ มากที่สุดในประเทศไทย
- CPN คุมค่าใช้จ่ายได้ดี ทำให้กำไรมีแนวโน้มมากขึ้น
ทาง Commentator ได้มีการตั้งคำถามต่อหุ้น CPN ที่น่าสนใจคือ
- ค่าเช่าที่ค้างคงที่ ไม่ขึ้นมานานแล้ว
- พื้นที่เช่าออฟฟิศ อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดโครงการ One Bangkok
คุณวทัญตอบว่า ในช่วงที่ผ่านมา CPN มีการลดราคาค่าเช่าที่ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการล็อกดาวน์
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ส่วนลดดังกล่าว ได้ทยอยหมดอายุลง และทำให้บริษัทสามารถขึ้นค่าเช่าได้หลังจากนี้ รวมถึงมีการปรับโมเดลการเก็บค่าเช่า เป็นการเก็บส่วนแบ่งยอดขายแทน สำหรับร้านค้าที่มียอดขายดี
สำหรับออฟฟิศ คุณวทัญมองว่าไม่น่ากังวลมากนัก เพราะไม่ใช่ส่วนรายได้หลัก (รายได้หลักมาจากศูนย์การค้า)
มาถึงธีมสุดท้าย..
New Economy กับ Pitcher คุณศุภชัย วัฒนวิเทศกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด
คุณศุภชัยบอกว่า หุ้นที่เป็น New Economy มักมี Character ดังนี้
- New Technology
- New Business Model
- New Opportunity
- Low Market Share
โดยคุณศุภชัย ได้พูดถึง 2 ธีมใหญ่ของหุ้นไทย ที่ได้ประโยชน์จาก New Economy ได้แก่
- Megatrend ที่บริษัทไทย มีโอกาสได้ประโยชน์
- Business Model โดดเด่น
โดยหุ้นที่คุณศุภชัยเลือกมา คือ ADVICE หรือ บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) และ MEB หรือ บริษัท เมพ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
แล้ว ADVICE มีความน่าสนใจอย่างไร ?
- สินค้าของ ADVICE เป็นคอมพิวเตอร์ถึง 80% ครอบคลุมเกือบครบทุกแบรนด์ยอดนิยม
ในขณะที่มี Smartphone ราว 5% ซึ่งคุณศุภชัย มองว่าการมาของ AI จะทำให้คอมพิวเตอร์เป็นที่ต้องการของลูกค้ามากกว่า Smartphone ในขณะที่บริษัทก็มี Upside การเติบโตของ Smartphone อีกด้วย
- ADVICE เพิ่งจะเข้าตลาด ทำให้มีเงินทุนไปลงทุนซื้อสินค้าลอตใหญ่ ทำให้เกิด Economies of Scale
- ราคายังถูก เพราะอุตสาหกรรมสินค้า IT อยู่ในช่วง Down Cycle ทำให้ P/E ต่ำกว่าช่วงปกติ ซึ่งการมาของ AI อาจทำให้หุ้นกลุ่มนี้ ถูกเทรดที่ P/E สูงขึ้น
ทีนี้ มาถึง MEB กันบ้าง
- แก้ปัญหาเรื่องต้นทุน ที่เคยเกิดกับโรงพิมพ์หรือร้านหนังสือยุคเดิมได้ทั้งหมด
- เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้นักเขียน ได้แสดงฝีมือแบบไม่ต้องลงทุนมาก เช่น ทดลองเขียนนิยายก่อน 1 ตอน แล้วดู Feedback จากผู้อ่าน
ทาง Commentator ได้มีการตั้งคำถามต่อหุ้นทั้ง 2 ตัว ที่น่าสนใจคือ
- อุตสาหกรรม IT มีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก อาจทำให้สินค้าตกยุค
- ADVICE ไม่มีสินค้าของตัวเองเลย ทำให้ต้องพึ่งพาผู้ผลิตอย่าง Apple และ Samsung สูง และอาจได้รับผลกระทบหากผู้ผลิตเปลี่ยนนโยบาย
- MEB แม้จะเติบโตดี แต่ถึงจุดหนึ่ง ก็น่าจะอิ่มตัวแล้ว
คุณศุภชัยเห็นด้วยกับมุมมองหุ้น ADVICE ของ Commentator และมองว่า ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจแบบนี้แข่งขันได้คือผู้บริหาร ที่ต้องมีการตามให้ทันโลกอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่ประเด็นถัดมา คุณศุภชัยมองว่า บริษัทมีการ Diversify ที่ค่อนข้างดี ทั้งในแง่สาขาหรือสินค้า
สำหรับ MEB คุณศุภชัยมองว่า ทางผู้บริหารตระหนักเรื่องนี้ดี และเริ่มมีการบุกตลาดต่างประเทศ โดยเอานิยายที่ขายดีไปแปลขาย ซึ่งนิยายที่มีผลตอบรับดีช่วงที่ผ่านมา ก็ได้แก่ นิยายวายนั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มคอนเทนต์ ที่ไม่ใช่นิยายให้มากขึ้น
ปิดท้ายด้วยความคิดเห็นของพี่มี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ ที่มีต่อตลาดหุ้นไทย..
พี่มี่บอกว่า แม้ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทย จะตกลงอย่างหนัก แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่กำลังมีปัญหา เช่น อิสราเอล ที่ตลาดหุ้นไม่ได้ตกหนักเหมือนไทย
ทำให้พี่มี่มองว่า ตลาดหุ้นไทย ตกลงมามากเกินไป และแนะนำให้นักลงทุนมองหาโอกาสจากวิกฤติ ไม่ใช่เสียกำลังใจในวิกฤติ
ทั้งหมดนี้คือบทสรุปของกิจกรรม Pitching หุ้นไทยใน 3 ธีม ซึ่งทำให้นักลงทุนได้มองหุ้น ผ่านมุมมองผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนักลงทุนต้นแบบ นักกลยุทธ์และนักวิเคราะห์ และอาจหาโอกาสที่ซ่อนอยู่ในวิกฤตินี้ได้..
โฆษณา