19 มิ.ย. เวลา 06:56 • ปรัชญา
เรื่องที่ทำไปแล้ว นำกายมาปฏิบัติธรรม แล้วไม่มีความรู้สึกเสียดาย
เมื่อก่อนนี้ การทีได้แบ่งเวลา ไปฝึกหัด ก็มีคนบอกว่า ไปแล้วไม่เห็นได้อะไร น่าเบื่อหน่าย น่าเสียดายเวลา เราเราก็ยังไปเป็นเวลาหลายปี
เมื่อได้รับเรื่องราวต่างที่ท่านแนะนำ ให้ไปพิจารณา แล้วบ่มนิสัยเรื่องราวต่างๆให้มาเป็นธรรม โลกนี้มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรที่ตะต้องยึดไปถือ ทรัพย์สินเงินทอง มันมาก็ต้องจากไป แม้แต่อยู่ที่ไปกินอาหาร เคยอยู่กับร่างกายของเรามั้ย ..ก็ไม่ได้อยู่ มันก็จากเราไป ก็เหลือ แต่สิ่งที่จะนำเอามาเป็นกรรม หรือ มาเป็นบุญบารมี ก็อยู่ที่เรื่องของเรา
พระท่านบอกว่า ขอให้สิ่งเหล่านี้ ลงสู่ดวงจิตได้พิจารณา ธรรมโลกุตระ จริงแล้วไม่ใช่ตัวนึกคิด ธรรมโลกุตระ คือ จิต นิ่ง เมื่อนิ่งแล้วจิตที่ แก้ไข จึงนำสิ่งนั้น มาพิจารณา เรืยกว่า ธรรมโลกุตระ ถ้าจิตยังไม่นิ่ง มีแต่ความรู้ รู้แล้วปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่ถึงคำว่า ธรรมโลกุตระ
ธรรมโลกุตระ เหมือนกับองค์พระสิทธัตถะ ที่เราเรียนรู้กันมาว่าท่านนั่งนิ่ง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นภาพเป็นสี นี่แหละ มาพิจารณาเรื่องโลภโกรธหลง ความโกรธอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้น อยฟู่ในสีและเป็นจุดๆ นั้น นั่นแหละ คือ ธรรมโลกุตระ ผู้ที่กล่าวกันมากมายก่ายกองเพียงแต่ อุปโลกน์เป็นคิดว่า สิ่งนั้นเป็นไอ้นี่ สิ่งนี้เป็นไอ้นั้น ได้แล้วก็ไปทำกันเหมือนเดิม แต่ก็ทำมันน้อยลง ..ก็ทำมันมากๆน่ะ นั่นก็สิ่งที่ท่านเตือนเรามาให้หมั่นฝึกหัด สะสมไป..ไม่มีความรู้สึกเสียดายอะไรเลย
โฆษณา