19 มิ.ย. 2024 เวลา 12:03 • ศิลปะ & ออกแบบ

Mosiaco - Italian Code of a Timeless Art (พื้นที่จัดแสดง 00-01)

Mosaico .. Italian Code of a Timeless Art เป็นนิทรรศการที่บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางที่มีเอกลักษณ์ “ศิลปะโมเสก” ของอิตาลี ซึ่งถือเป็นงานหัตถศิลป์ชิ้นเอก ที่มีการสืบทอดกันในประเทศอิตาลีมายาวนานมากกว่า 2,000 ปี ครอบคลุมแว่นแคว้นจากเหนือจรดใต้ไปทั่วประเทศอิตาลีกว่า 1,500 กิโลเมตร
.. จาก 8 เมือง คือ โรม ปอมเปอี อาควิเลอา ราเวนนา ปาแลร์โม มอนเรอาเล จัตุรัสอาร์เมรินา และเมืองใต้น้ำบาเอเอ
ซึ่งนิทรรศการ “มองโมเสก” มุ่งหวังจะพาผู้ชมทุกท่านร่วมเดินทางไปกับประสบการณ์สุดพิเศษ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
.. ด้วยเทคนิคการนำเสนอแบบ Multimedia Immersive ที่จะทำให้คุณมหัศจรรย์ใจไปกับความงามของลวดลาย
.. และได้ร่วมเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับรูปทรง ท่วงท่า วัสดุที่ใช้ และประกอบสร้างขึ้นเป็นชิ้นงานโมเสกชิ้นเอกที่เปี่ยมเอกลักษณ์เฉพาะของประเทศอิตาลีที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราว และพร่างพราวด้วยสีสันเจิดจ้า
.. คับคั่งไปด้วยลวดลายดวงดารา ฝูงปลา สัตว์กลายชนิด รวมถึงภาพศึกสงคราม ประกอบเป็นลวดลายโมเสกที่สวยน่าอัศจรรย์
พร้อมถอดรหัสหัตถศิลป์ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับช่างฝีมือชาวโรมันและศิลปินร่วมสมัยได้สร้างสรรค์ผลงานมีค่าอันไร้ซึ่งกาลเวลา
นิทรรศการนี้จะออกทัวร์รอบโลกด้วยเครือข่ายสถานทูต สถานกงสุล และสถาบันวัฒนธรรมอิตาลีทั่วโลก
..ซึ่งประเทศไทย เป็นหนึ่งในหมุดหมายของการจัดแสดง ในพื้นที่ของ Museum Siam
พื้นที่ 00 – บทนำ
โมเสก .. ภาษาศิลปะที่อุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษแต่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมีมานานมากกว่า 2,000 ปี และ นิทรรศการมัลติมีเดีย MOSAICO มุ่งหวังที่จะพาคุณไปสู่การเดินทางที่น่าหลงใหลและเป็นประวัติการณ์
สถานีจัดแสดง 7 แห่ง จะทำหน้าที่เป็นเครื่องจักรแบบเรียลไทม์ ห้องที่ผนังตกแต่งด้วยสิ่งมหัศจรรย์ไม่รู้จบ .. การเดินทางที่ไม่เหมือนใครระหว่างลวดลายปิดทอง สัญลักษณ์ และสัญลักษณ์เปรียบเทียบ เปล่งประกายในโพลีโครมีที่เต็มไปด้วยโลมา ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เขาวงกต และการต่อสู้
การสำรวจเพื่อค้นหาลูกค้า รูปภาพ วัสดุ และท่าทางที่แสดงถึงลักษณะเฉพาะของผลงานศิลปะโมเสกของอิตาลีที่โดดเด่นที่สุด ทั้งคลาสสิกและร่วมสมัย
ผลงานศิลปะทั้งหมดถือเป็นส่วนหนึ่งใน Farnesina Collection ซึ่งรวบรวมผลงานศิลปะ ร่วมสมัยของศิลปินอิตาลีที่สร้างสรรค์ขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 และ 21 และเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานใหญ่ กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือสากลของรัฐบาลอิตาลี
ผลงานเหล่านี้ถือเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการกำหนดนโยบายทางศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศ .. คนไทยจะได้เรียนรู้วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์จากช่วงเวลาแต่ละยุคผ่านนิทรรศการชุดนี้
พื้นที่ 01 – โรม / ปอมเปอี
โรมเป็นตัวเอกแรกของนิทรรศการ: เรื่องราวที่เล่าโดยกระเบื้องโมเสกชิ้นสำคัญของพิพิธภัณฑ์ Capitoline แสดงถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ของเมืองหลวง ที่ค้นพบในระหว่างกระบวนการกลายเป็นเมืองหลวงในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา
Basilica of Saints Cosmas และ Damian และ Basilica of Saint Praxedes เป็นผลงานชิ้นเอก 2 ชิ้นที่ช่วยให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะโมเสกของคริสเตียนตอนต้น .. เรื่องราวและข้อความที่จัดขึ้นบนผนังของพวกเขานั้น อาจสั่นสะเทือนด้วยจิตวิญญาณอันเข้มข้น
ผลงานโมเสกเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงานจากพิพิธภัณฑ์คาปิโตลินี (Capitolini) ที่กรุงโรม พิพิธภัณฑ์ของรัฐที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
.. ชิ้นงานของที่นี่ คือผลงานโมเสกที่มีความประณีตและสวยงามโดดเด่นที่สุดแล้ว ของอาณาจักรโรมัน .. ค้นพบโดยบังเอิญ ปะปนอยู่กับซากหินอ่อน รูปสลัก
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 อันเป็นช่วงของการรวมชาติอิตาลี .. ในช่วงเวลานั้นเองที่กรุงโรม ในฐานะเมืองหลวงของประเทศ ได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
มีโครงการขุดค้นทาโบราณคดีสำคัญๆ เกิดขึ้นหลายแห่ง .. สิ่งหนึ่งที่เรารู้แน่ชัดก็คือ จุดประสงค์ของผลงานโมเสกในสมัยโรมันก็คือใช้เพื่อประดับตกแต่งสถานที่ ซึ่งไม่ใช่สุสาน แต่เป็นที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น วิลล่าหรูของจักรพรรดิฮาดริอานุส (Hadrianus) (หรือ เฮเดรียน) ที่เมืองติโวลี (Tivoli)
ทางเดิน .. ประดับด้วยรูปภาพหรือลวดลายที่ประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างวิจิตร ซึ่งนับได้ว่าเป็นเพชรยอดมงกุฎของผลงานโมเสกสมัยโรมันเลยทีเดียว
เช่น โมเสกชิ้นนี้ เป็นรูปนกพิราบ 4 ตัว เกาะอ่างสำริดเพื่อกินน้ำ มีท่าทางตื่นตระหนกจากเสียงลมพัดตึง
ผลงานชิ้นอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะด้อยค่ากว่า .. อย่างฟื้นโมเสกชิ้นนี้ ที่ปูด้วยกระเบื้องชิ้นเล็กชิ้นน้อยหลากหลายสี เกิดเป็นลวดลายเรขาคณิต
หรือในชิ้นงานอื่นๆ ที่องค์ประกอบภาพมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ก็เพื่อหวังให้ผู้ชมได้เพลินตา เจริญใจ ไปกับการเล่าหลากเรื่องหลายฉาก จากสถานที่ทั้งใกล้และไกล .. ซึ่งต้องยกความดีให้กับช่างเขียนแบบร่างฝีมือเยี่ยมสำหรับลายเส้นต้นแบบเหล่านี้
ขณะนี้ เราอยู่ที่ริมชายฝั่งแม่น้ำไนล์ .. ที่นี่คือ ท่าเรือเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) เมืองท่าสำคัญของอียิปต์ เป็นช่วงเวลาขณะที่เรือสินค้ากำลังออกจากท่า
.. ในภาพ เหมือนเราจะได้ยินเสียงเอะอะของลูกเรือ ในห้วงเวลาโกลาหล
ความสวยของโมเสก .. ถ่ายทอดเรื่องราวที่กามเทพตัวน้อยทั้งสาม กำลังเล่นซนกับเจ้าสิงโตผู้น่าเกรงขาม มี ดิออนิซอส (Dionysos) เทพแห่งไวน์ ยืนอยู่ข้างหลัง
.. ผลงานโมเสกชิ้นนี้ เล่าเรื่องจากตอนหนึ่งของโศกนาฎกรรมชิ้นเอกของ ยูริปีเดส (Euripides)
.. เป็นฉากวีรบุรุษกรีกอย่างออเรสเตส (Orestes) ซึ่งเป็นพระโอรสของกษัตริย์อะกาเมมนอน(Agamemnon) กับพระนางกลีเตมเนสตรา(KLytaimnestra) ขณะพบกับพระชนิษฐาอิพิเจนิยา (Iphigheneia) ที่วิหารแห่งเทพีอาร์เตมีส(Artemis)
**เรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องของภาพนี้ค่อนข้างยาว จึงขอข้ามไปก่อนค่ะ
ผลงานชิ้นสุดท้ายจากพิพิธภัณฑ์คาปิโตสินี(Capitolini) คือ โมเสกรูปนกยูงแสนสวย ซึ่งจะผลัดขนหางทุกปี แต่จะกลับมารำแพนอวดขนใหม่ได้อีกครั้งในทุกฤดูใบไม้ผลิ … แฝงคติเรื่องการฟื้นคืนชีพและความเป็นอมตะ
กรุงโรมเป็นที่ตั้งของมหาวิหารหลายแห่ง ที่ก่อสร้างขึ้นระหว่างช่วงปลายสมัยโบราณ จนถึงยุคกลาง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่สำคัญของผลงานศิลปะโมเสก ด้วยทำด้วยวัสดุมีค่า และมีสีส้นอันพร่างพราววิบวับ
.. งานโมเสกจึงเป็นเครื่องมือของคริสตจักร สำหรับใช้ส่งสาสน์สู่สาธุชน ไม่ว่าจะเพื่อสั่งสอน หรือเพื่อตักเตือน
ในปีคริสต์ศักราช 526 พระสันตะปาปา เฟลิเชที่ 4 (Felice IV) ตั้งพระทัยที่จะสร้างมหาวิหารขึ้นมาใหม่ ตรงสถานที่ที่เป็นที่ตั้งของห้องสมุด ซึ่งสร้างมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 และเป็นที่ตั้งของวัด ในคริสต์ศตวรรษที่ 4
.. มหาวิหารแห่งใหม่นี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของกิจการสังคมสงเคราะห์ สำหรับผู้ขัดสนและผู้แสวงบุญ อย่างรวดเร็ว
.. ผลงานโมเสกของที่นี่ ช่วยทักทาย ปลอบประโลม และยกระดับจิตใจของมวลมนุษย์
ที่นี่คือ มหาวิหารนักบุญคอสมา (Cosma) และนักบุญดามิอาโน (Damiano) ซึ่งเราจะได้ประจักษ์กับผลงานโมเสกชิ้นยอดเยี่ยมที่บริเวณมุขหลัง และถือเป็นหนึ่งในผลงานโมเสกที่เก่าและสำคัญที่สุดที่เหลือรอดให้เราได้ชื่นชมกันในปัจจุบัน
.. เป็นตอนที่เรียกกันว่า "การมาครั้งที่สอง" เมื่อพระคริสต์กลับมาอีกครั้ง เพื่อสถาปนาอาณาจักรแห่งพระเป็นเจ้า โดยมีแม่น้ำจอร์แดนที่เบื้องพระบาทของพระเยซู
ที่ด้านขวาของภาพ .. จะเห็นนักบุญเปโตร (Pietro) ขณะแนะนำนักบุญดามิอาโน (Damiano) ให้กับพระคริสต์ ถัดไปทางขวาคือนักบุญเตโอโดโร(Teodoro)
.. ส่วนด้านซ้ายของภาพ นักบุญเปาโล (Paolo) แนะนำนักบุญคอสมา (Cosma) ให้กับพระคริสต์
ถัดไปทางซ้ายคือสันตะป่าปา เฟลิเซที่ 4 (Felice V) กำลังนำเสนอหุ่นจำลองของมหาวิหารที่ท่านสร้างขึ้นแห่งนี้
แถบด้านล่างเป็นรูปฝูงแกะ ข้างละ 6 ตัว หมายถึงพระคริสต์ และสาวกทั้ง 12
นี่คือพัฒนาการสำคัญอีกขั้นของงานโมเสก … เมื่อรูปแบบที่เสมือนจริง อันเป็นแนวถนัดของรูปแบบศิลปะโรมัน ผสานเข้ากับรูปแบบการทำภาพเหมือนที่ประณีต ตามรูปแบบของศิลปะแบบไบแซนไทน์(Byzantine)
เรามาถึงมหาวิหารนักบุญหญิง ปรัสเซเด (Prassde) ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงโรมเช่นกัน
แม้ตัวโบสถ์จะมีมาแต่โบราณแล้ว แต่ก็มีการสร้างขึ้นใหม่ในปีคริสต์ศักราช 817 สมัยสันตะปาปา ปาสกวาเล (Pasquale) เพื่อเป็นสถานที่สำหรับเก็บอัฐิของของผู้กล้า ที่ยอมสละชีพโดยไม่ละทิ้งซึ่งศรัทธาแห่งพระเจ้า
สาธุชนผู้กล้า 2 คนในนั้น ตามที่ตำนานกล่าวไว้ ก็คือ พี่น้องสองสาว ปรัสเซเด (Prassede) และ ปูเดนซีอานา (Pudenziana)
ผู้ซึ่ง ในคริสต์ศตวรรษที่ 2 สมัยจักรพรรดิ อันโตนินุส ปีอุส (Antoninus Pius) ได้ให้ที่หลบภัยแก่เหล่าคริสตชนที่โดนรังควาญ บ้างก็ให้ที่ฝังอันทรงเกียรติอีกด้วย
เมื่อเข้ามาภายในมหาวิหาร สิ่งที่เป็นจุดหมายตาก็คือผลงานโมเสกบริเวณหลังคาโดมที่มุขหลัง และที่ซุ้มโค้ง เป็นฉากต่างๆ จากวันสิ้นโลกในพระคัมภีร์
แต่ผลงานโมเสกชิ้นเด็ด กลับถูกรักษาไว้ภายในโบสถ์น้อยของนักบุญเซโนเน (Zenone) เป็นชิ้นงานที่กล่าวได้ว่า "ท้าทาย" ขนบการทำรูปเคารพของคริสตจักรเป็นอย่างยิ่ง
ในความมืดสลัวด้านหลังแท่นบูชา ภายในหลืบโค้งในผนัง ผลงานโมเสกสีทองชิ้นหนึ่ง ได้ฉายแสงเรื่องรองขึ้นมา
โมเสกชิ้นนี้เป็นรูปพระนางมารีย์พรหมจารี ขณะอุ้มพระกุมาร ที่ทรงถือม้วนหนังสือจารึกคำว่า "เราคือแสงสว่าง"
.. ขนาบข้างด้วยนักบุญสตรีสองศรีพี่น้อง ปรัสเซเด และ ปูเดนซีอานา .. และที่ว่าท้าทายขนบการทำรูปเคารพนั้น ก็ด้วยเป็นรูปสตรี ที่จะไม่ยอมโดนกดขี่รังควาญอีกต่อไปแล้ว แต่มีตัวตนในฐานะนักบุญ
โมเสกจาก เมืองปอมเปอี
ปอมเปอี เป็นเมืองที่ถูกลาวาจากการระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียสกลบฝัง แต่ก็รักษาสภาพเมืองเอาไว้
โดยมีผลงานกระเบื้องโมเสกที่งดงามภายในคฤหาสน์ของฟอน (House of the Faun) ซึ่งเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองปอมเปอี
.. กระเบื้องโมเสกของ Faun tesserae ประกอบขึ้นจากเศษหินแผ่นเล็กๆ มากกว่าหนึ่งล้านห้าแสนชิ้น
รวมตัวกันเป็นภาพประวัติศาสตร์การประจัญบานที่เมืองซิสซุ (Sissu) .. เป็นฉากที่อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งโรมัน เอาชนะดาริอัสที่ 3 แห่งเปอร์เซียระหว่างยุทธการที่อิสซัส
ผลงานชิ้นนี้ที่ประกอบไปด้วยแสง เงา และลวดลายที่มีความละเอียดเหมือนภาพวาดที่สวยงาม .. เร้าอารมณ์ และสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้ชมเมื่อเฝ้ามองมากมาย ..
.. เราได้เห็น รายละเอียดของสีหน้าท่าทางอันหวาดกลัวของนายทหาร ม้าศึกที่วิ่งเวียนวนฝ่าดงหอกที่พุ่งทะยานสู่ฟ้า ภาพสะท้อนของอาวุธบนพื้น ม้าที่กำลังเคลื่อนตัว และท่าทางที่บ้าคลั่งหรือหวาดกลัวของทหารอย่างชัดเจน
โฆษณา