20 มิ.ย. เวลา 01:39 • ปรัชญา
โลกนี้ คือ ละคร เพราะเราเกิดมา ต่างคนก็ต่างถือกรรมกันมา เป็นหญิงเป็นชาย มาถูกกักขังอยู่ในกายที่เป็นกรรม กรรมที่สะสะมากับจิต ที่ธาตุทั้งสี่สะสมมา มีบัญชีกรรมของตัวเอง มีรูปร่างหน้าตานิสัย อะไรต่างๆไม่เหมือนกัน มีความชอบไม่ชอบ อารมณ์นึกคิด แตกต่างกัน ที่แสดงออกมา
เหมือนมีผู้ที่คอยบอกคอยกำกับอยู่ตลอดเวลา ว่าตอนทำนั่นทำนี่นึกคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผู้ที่กำกับโลกละคร ก็คือ อารมณ์กรรม ที่ไหลออกมาในการที่เป็นกายกรรม ให้จิตนั่นทุกข์ร้อนวุ่นวาย ในอารมณ์ต่างๆที่เกิดในกายกรรม หนีไปไหนไม่ได้เลย ต้องทุกข์อยู่ในกายกายกรรมที่อารมณ์นั่นปรุงแต่ง กายเจ็บป่วย แข็งแรงหรือไม่แข็ง เจ็บปวดเจ็บป่วย มีความวิตกกังวล วิปริตในอารมณ์ ก็ต้องรับสภาพ อาศัยอยู่ในกายกรรม แสดงบทบาทไปตามที่อารมณ์ดรรมเค้าสั่งให้ทำ ไปทั้งชีวิตที่อาศัยอยู่ในกายกรรม
คราวนี้ หากเรารู้จัก กายนี้เป็นกายกรรม เราก็มาทำกายนี้ให้เป็นกายบุญ ทำเพื่อให้ร่างกายนี้ มีแข็งแรงขึ้น มีสติขึ้นมา ที่สลัดละอารมณ์ต่างๆออกไป ที่เป็นอุปสรรคเกิดขึ้น เนื่องจากกายที่เป็นกรรม พอเราได้ ให้กายกรรม เป็นกายบุญได้ เราก็จะค่อยหลุดพ้นเรื่องราวต่างๆ ออกไปได้ เรื่องที่ประสบความทุกข์ยากลำบาก ก็จะค่อยดีขึ้นๆ จิตก็มีความสุขอาศัยอยู่ในกายบุญ
บุคคลที่เป็นตัวอย่าง ที่หลุดจาก โลกนี้คือละคร ไปได้ โลกนี้ไม่มีอะไร..ก็เห็นมีองค์พระสิทธัตถะเป็นแบบอย่าง แล้วท่านก็แนะนำสอนให้สร้างบุญกุศลบารมีขึ้นมา ตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาล สืบเนื่องกันมา ให้จ้ตที่เกิดอาศัยกายที่เป็นกรรม ค่อยสร้างกายที่กายบุญขึ้นมา เพื่อแก้ไขกรรมของจิตที่อาศัยอยู่กายกรรม ค่อยสร้างบุญขึ้น เพื่อเปลี่ยนแปลง กายกรรมให้เป็นกายบุญให้จิตอาศัย จิตออกจากเรือนกาย ก็มีกายบุญให้จิตได้อาศัย คือกายของเทพยดาอินทร์พรหม ที่มีแต่สุข ไม่มีทุกข์เหมือนกายมนุษย์
กายมนุษย์นั่น สามารถนำมาแก้ไข เลือกทางว่า ให้แก่จิต ..จะไปมีกายอะไรต่อไป กายของสัตว์อบาย คือ ตกต่ำลงไป หรือ กายที่สูงขึ้นมา เป็นเทพยดาอินทร์พรหม เรื่องราวพวกนี้ มันมองดูเหมือนว่า เป็นไปไม่ได้ ..เป็นสมมุติอุปโลกน์ .หากมัวสมมติอยู่กับอารมณ์นึกคิด ไม่ลงมือทำไม่ลงมือสร้าง นำกายนี้มาเรียนสิ่งต่างๆในกาย เราจะรู้จักสิ่งที่เป็นจริงในเรืินกายนี้ไปได้อย่างไร ..ในคำว่า กรรม ..คำว่าบุญกุศลบารมี
โฆษณา