Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เมืองไทยไดอารี่ by Supawan
•
ติดตาม
21 มิ.ย. 2024 เวลา 00:13 • ศิลปะ & ออกแบบ
Mosiaco - Italian Code of a timeless art : พื้นที่ดารแสดง 03 - Ravenna
ราเวนนา (Ravenna), ประเทศอิตาลี .. เป็นเมืองที่รุ่งเรืองในอดีต : ภาพงานศิลปะโมเสกที่ส่องประกาย ณ สุสานของ Galla Placidia, มหาวิหาร Saint Vitale และมหาวิหาร Saint Apollinaris ใน Classe
.. ส่องประกายให้เห็นความรุ่งเรืองทางศิลปะของ Ravenna ในอดีต
เป็นข้อพิสูจน์ถึงศิลปะ Paleo Christian และ Byzantine .. ประวัติศาสตร์ถูกบอกเล่าผ่านสีสันอันสดใสผ่าน Tesserae ที่นี่แสงที่เปลี่ยนไปและพื้นผิวสีทองเปล่งประกายในมิติที่แตกต่างจากโลกอื่น
.. ภาพโมเสกของจัสติเนียนและธีโอโดราแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองและศาสนาที่เข้มแข็ง
ศิลปะโมเสกกลายเป็นวิธีสำคัญในการถ่ายทอดเนื้อหาของคริสเตียน โดยก้าวข้ามแนวคิดเรื่องความงามไปสู่มิติทางจิตวิญญาณล้วนๆ
รายละเอียดของลวดลายดวงดาวที่ประดับเพดานโค้ง สุสาน Galla Placidial, เมืองราเวนนา
ในปีคริสต์ศักราช 402 เมืองราเวนนา (Ravenna)เป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงของจักรพรรดิฮอนอริอุส (Honorius)
.. ปี 493 เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรออสโตรกอธิค (Ostrogothic) ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเทออเดรีคุส (Theodericus)
.. และในปี 553 ในยุคไบเซนไทน์ (Byzantine) ราเวนนาเป็นหัวเมืองที่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออกจะส่งข้าหลวงมาปกครองแว่นแคว้นในคาบสมุทรอิตาลี
ความรุ่งเรืองในอดีตของเมืองราเวนนา ยังมีปรากฎให้เห็นผ่านความยิ่งใหญ่ตระการตาของมหาวิหาร
.. และผ่านผลงานโมเสกที่แสนงดงามเป็นอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นขุมสมบัติแห่งสุนทรียะที่เชิญชวนให้มาค้นหากัน
สุสาน กัลลา ปลาซิเดีย (Galla Placidia) สร้างขึ้นหลังปีคริสต์ศักราช 426 สันนิษฐานว่าสร้างตามพระดำริของพระนาง กัลลา ปลาชิเดีย พระธิดาของจักรพรรดิเทออดอซีอุส (Theodosius) และเป็นพระชนิษฐาของจักรพรรดิฮอนอริอุส (Honorius)
ในขณะที่ส่งสายตามองดูความเคลื่อนไหวของภาพ .. ดูเหมือนว่า เราโอบล้อมไปด้วยเมฆหมอกของอนุภาคที่ดารดาษ
ที่ที่เราปฏิเสธการมีอยู่ของพื้นที่ นำเราไปสู่ที่อีกแห่ง ที่ที่ไม่มีอยู่จริงในโลก เป็นโลกแห่งจินตนาการ เป็นสรวงสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์
.. และนี่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของสีสันที่สรรค์สร้างดาราพร่างพราวเหนือท้องฟ้าในคืนเดือนมืด สีฟ้าคราม
หวนให้คิด ถึงชีวิตยามเดินทางจากโลกนี้ไปพร้อมกับสรวงสวรรค์ที่เปิดรับผู้ชอบธรรม
ซ่อใบอะแคนทัส (Acanthus) ที่ขดเป็นวง ช่อไม้ดอกไม้ผล และลวดลายตกแต่ง ต่างนำมาใช้เพื่อล้อมกรอบภาพบุคคลสำคัญ
.. และนี่คือภาพตอนศรีชุมพาบาล หรือคนเลี้ยงแกะ ที่ซุ้มโค้งเหนือประตูทางเข้าสุสาน
ตรงกลางภาพคือพระคริสต์ (ในวัยเริ่มรุ่น) .. ไร้ซึ่งหนวดเครา ประทับนั่งบนโขดหิน ห้อมล้อมด้วยฝูงแกะ 6 ตัว ทรงใช้พระกรซ้ายค้ำพระวรกายด้วยไม้กางเขนไว้ ส่วนพระกรขวาทรงลูบไส้เจ้าแกะตัวหนึ่งที่ยื่นหน้าเข้ามา
เราอาจสังเกตเห็นการถ่ายทอดภาพที่มีความเหมือนจริงบางอย่าง ซึ่งเป็นมรดกที่ตกทอดมาจากศิลปะคลาสสิก
หนึ่งศตวรรษต่อมา ในสมัยจักรพรรดิจุสตินิอานุส(Justinianus) มีการก่อสร้างมหาวิหารนักบุญ วิตาเล (Vitale) ขึ้น
ซึ่งใช้เวลาอย่างยาวนานร่วมสองทศวรรษ ผลงานโมเสกของที่นี่เป็นตัวอย่างสำคัญของการทำภาพเหมือน แห่งยุคจุสตินิอานุส
จะว่าไป งานโมเสกก็มีวิถีทางที่สอดคล้องกับแนวคิดทางศาสนาในเรื่องของ "ความงาม" ..
ความงามใช่เพียงสวยกายที่ภายนอกเท่านั้น หากเกิดจากการมองข้ามมวลสารนั้น ให้เห็นจิตข้างใน เป็นความงามจากใจ เป็นแสงใสอันบริสุทธิ์
พื้นหลังสีทองอันสุกสว่างในชิ้นงานโมเสกผืนใหญ่นี้ช่วยทำให้ภาพบุคคลทั้งหลายที่ปรากฎอยู่ สูญซึ่งเนื้อตัวร่างกาย พรากผู้คนเหล่านั้นออกจากสถานที่ที่จะเข้าไปด้วย
.. นี่คือภาพผู้ติดตามที่ร่วมในขบวนเสด็จพระราชดำเนิน จะมีก็แต่เพียงจักรพรรดิจุสตินิอานุส (Justinianus) และจักรพรรดินีเทออดอรา(Theodora) เท่านั้น ที่มีตัวตน .. ที่เหลือนอกนั้นมีหน้าตาที่เหมือนกันหมด
ขบวนเสด็จพระราชดำเนินของพระจักรพรรดิและจักรพรรดินี พร้อมผู้ติดตาม เพื่อแสดงความเคารพต่อพระคริสต์ .. จัดเรียงอย่างสมมาตร ที่ทั้งสองข้างของมุขหลัง
ที่ตรงกลางของหลังคาโดมมุขหลังปรากฏภาพพระคริสต์เมื่อยังทรงพระเยาว์ปราศจากซึ่งหนวดเครา ทรงประทับบนลูกโลกแห่งสรวงสวรรค์ ขนาบข้างด้วยเทวดา
ด้านขวา พระคริสต์ทรงรับหุ่นจำลองของมหาวิหารแห่งนี้จากมุขนายกเอ็กเกลซิอุส (Ecclesius) แห่งราเวนนา ขณะที่พระกรขวาทรงยื่นมงกุฎแห่งความทุกข์ทรมานให้กับนักบุญวิตาเล (Vitale)
เมืองราเวนนายังเป็นที่ตั้งของมหาวิหารอันโอ่อ่าอีกหลัง ซึ่งมีพิธีเสกขึ้นในปีคริสต์ศักราช 549 โดยอัครมุขนายกมะซิมิอะนุส (Maximianus) นั่นคือมหาวิหารนักบุญ อาโปลลีนาเร (Apollinare) แห่งเมืองกลัสเซ (Classe)
.. แม้จะผ่านกาลเวลาหลายศตวรรษ ที่อาจทำให้ทรุดโทรม แต่มหาวิหารแห่งนี้ก็ยังคงไว้ซึ่งโครงสร้างดั้งเดิมที่งดงาม
โมเสกประดับเพดานโดมของมุขหลัง และเหนือซุ้มโค้ง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่แสดงความรุ่มรวยในการใช้สี และความซับซ้อนในการจัดองค์ประกอบ
รวมถึงความงุดงามของภาพที่กลางเพดานโดมของมุขหลัง อันเป็นจุดหมายตาของสาธุชนทั้งหลาย
.. เป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่ดารดาษไปด้วยดวงดารานับ 99 ดวง และมีไม้กางเขนประดับด้วยอัญมณี ที่จุดตัดตรงกลาง มีรูปโล่ห์เป็นพระพักตร์ของพระเยซู
เหนือขึ้นไป ตรงกลางของภาพ มีรูปมือขวา โผล่ยื่นลงมา เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงพระเป็นเจ้า
ที่สองข้างของแผ่นวงกลม .. เป็นภาพครึ่งตัวของโมเสส (Moses) และเอสียาห์ (Eljah) โผล่ขึ้นมาทางด้านหน้าท้องฟ้าซึ่งมีกลุ่มเมฆหลากสี เพื่อเป็นประจักษ์พยานในฉาก พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ บนเขาตาบอร์ (Tabor)
สิ่งที่ร่วมเป็นประจักษ์พยานในฉากดังกล่าวก็คือ เจ้าแกะ 3 ตัว ซึ่งก็คือสาวกเปโตร (Pietro), จาโคโม(Giacomo), และโจวาน (Giovanni) ..
มีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ตรงพื้นที่ด้านล่าง แซมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ดอกไม้สีสด และก้อนหิน นักบุญอาโปลลีนาเร ยืนเด่นอยู่ กางแขนออกในท่าสวดภาวนา
หากลองกวาดตาสำรวจลวดลายการตกแต่งในส่วนอื่นๆ ของมหาวิหาร คุณจะเห็นได้ว่า ภาพทิวทัศน์ ภาพคน หรือว่าภาพสัตว์
ภาพเหล่านี้ วาดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ อันเกิดจากชิ้นโมเสกเล็กๆ ที่ใช้ประกอบขึ้นเป็นภาพนั่นเอง
บันทึก
2
1
4
2
1
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย