21 มิ.ย. 2024 เวลา 04:02 • ศิลปะ & ออกแบบ

Mosiaco .. Italian Code of a timeless art .. พื้นที่การแสดง 04 ปาแลร์โม และ มอนเรอาเรย์

Mosiaco .. Italian Code of a timeless art : พื้นที่ 04 – ปาแลร์โม / มอนเรอาเล
โบสถ์น้อย กัปเปลลา ป่าลาตินา (CappellaPalatina), เมืองปาแลร์โม (Palermo), ประเทศอิตาลี .. ผลงานโมเสกแสดงเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าสร้างโลกและมวลมนุษย์ สู่การเสด็จมาของพระคริสต์ เพื่อช่วยไถ่บาปไปจนถึงวันสิ้นโลก
มรดกกระเบื้องโมเสคของซิซิลี ที่น่าทึ่งสำหรับความสง่างามและความกลมกลืน ความซับซ้อนและงานฝีมือ จิตวิญญาณและความมุ่งมั่นเป็นรากฐานสำคัญของโบสถ์ Palatine, อาสนวิหารมอนเรอาเล และโบสถ์ Martorana
รายละเอียดของภาพวัฏจักรการสร้างโลก
ขณะนี้ เราอยู่ที่เกาะซิซิลี (Sicily) ย้อนไปในรัชสมัยของพระเจ้ารุจเจโรที่ 2 (Ruggero II) แห่งราชวงศ์อัลตาวิลลา (Altavilla) กษัตริย์องค์แรกที่มีเชื้อสายนอร์มัน (Norman) จากยุโรปเหนือ
ในคริสต์ศักราช 1132 พระเจ้ารุจเจโรทรงสร้างโบสถ์น้อยขึ้นภายในพระราชวังหลวง เหนือที่ตั้งของโบสถ์ในปัจจุบัน เรียกกันโดยทั่วไปว่า กัปเปลลา ปาลาตินา (Cappella Palatina)
ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าโรเจอร์ที่ 2 ชาวคริสเตียน ชาวยิว และชาวมุสลิมอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ต่างพูดกันด้วยภาษาละติน อาหรับ กรีก และฮีบรู ซึ่งเป็นชัยชนะของความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งสามารถพบได้ในสถาปัตยกรรมและศิลปะของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย
โบสถ์อื่นๆ มักวาดภาพเฟรสโก (Fresco) หรือจิตรกรรมปูนเปียกบนผนัง แต่ที่โบสถ์น้อยแห่งนี้ฟื้นผิวแทบทุกส่วนกลับเรืองรองไปด้วยลวดลายโมเสกบนพื้นทอง นอกจากจะสร้างสุนทรียะทางสายตาแล้ว ยังใช้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อีกด้วย
การประดับประดาที่สุดแสนจะตื่นตาตื่นใจ ภายในโบสถ์น้อยพาลาทีน (Palatine) ที่ซึ่งพื้นผิวทุกอณู จากพื้น จรดเพดานโดม ล้วนเคลือบไปด้วยสีทองทั้งสิ้น ให้ความรู้สึกราวกับว่านั่งอยู่ในรวงผึ้งขนาดยักษ์ แหงนมองขึ้นไปยังเหล่านางฟ้าที่กำลังร้องประสานเสียง .. จะว่าไป การเฝ้าดูนางฟ้าเหล่านั้นร้องเพลง ก็เป็นเรื่องที่น่าเจริญใจกว่าการได้ยินเสียงร้องเหล่านั้นเสียอีก"
ออสการ์ ไวล์ด (Oscar Wilde) นักเขียนบทละครชื่อดัง ได้บันทึกไว้เพียงไม่กี่เดือนก่อนที่เขาจะจากไป .. เรื่องราวที่วาด คัดมาจากหนังสือปฐมกาล ในพระคัมภีร์ไบเปิ้ล เป็นเรื่องราวชีวิตของพระเยซู นักบุญเปโตร (Pietro) และนักบุญเปาโล (Paolo) นอกจากนี้ยังมีรูปของนักบุญท่านอื่นๆ และรูปคนแบบเต็มตัวก็มี
ภาพพระเยซูซึ่งมีแสงเรื่อเรือง ปรากฏอยู่ด้วยกันสามที่ “.. เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด จะมีแต่ความสว่างแห่งชีวิต จงมาเป็นพระบุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้า..”
อาสนวิหารแห่งมอนเรอาเล (Monreale) สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ากุลเยลโมที่ 2 (Guglielmo 1) ระหว่างคริสต์ศักราช 1170 จนกระทั่งสวรรคตในปี 1189 .. เป็นยุคที่พวกนอร์มันจากทางเหนือ เข้ามาครองซิซิลี
การประดับตกแต่งโมเสกที่นี่ ครอบคลุมเนื้อที่มากกว่า 6,400 ตารางเมตร ชิ้นส่วนโมเสกล้วนทำจากเนื้อแก้วสีทอง และสีต่างๆ
.. และเฉกเช่นหนังสือที่เราค่อยๆ คลี่อ่าน เรื่องราวปฐมบทได้เล่าไว้ที่ทางเดินตรงกลาง .. เรื่องพระวรสาร วาดอยู่ที่มุขปีก .. เรื่องพระวิวรณ์ ที่กล่าวถึงวันสิ้นโลก อยู่ที่มุขหลัง .. ที่ซึ่งด้านข้างเป็นเรื่องของสาวกเปโตร และเปาโล
การดำเนินเรื่องจะค่อยๆ เล่าไปตามลำดับของเหตุการณ์ เริ่มจากตอนพระเจ้าสร้างโลก และมวลมนุษย์เหล่าคนบาป สู่การเสด็จมาของพระคริสต์เพื่อช่วยไถ่บาปเหล่านั้น
ความงุดงามตระการตาภายในมหาวิหาร ถูกเสริมด้วยเทคนิคการประดับโมเสก ที่จะตัดชิ้นโมเสกเป็นลวดลายเรขาคณิต แล้วนำแต่ละชิ้นมาประกอบร่างเป็นลายบนพื้นและผนัง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะอิสลามได้อย่างชัดเจน
โบสถ์มาร์โตรานา(Martorana) แห่งนี้ สร้างขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในสมัยพระเจ้ารุจเจโรที่ 2 แห่งซิซิลี โดยผู้บัญชาการกองเรือรบเชื้อสายกรีก เพื่อให้เป็นคริสตจักรของสาธุชนที่นับถือคาทอลิก สาขาออร์โธด็อกซ์ (Orthodox)
ปัจจุบันพิธีกรรมตามแนวทางของไบแซนไทน์ (Byzantine) ก็ยังคงยึดถือปฏิบัติกันที่โบสถ์แห่งนี้อยู่ ที่นี่ยังเป็นที่รู้จักในนาม โบสถ์นักบุญหญิงมารีอา (Maria) ของท่านนายพลเรือ
ภายในโบสถ์มีงานโมเสกในยุค ไบแซนไทน์ ที่สวยงามที่สุด ที่ยังคงเหลือปรากฎให้เห็น มีผนังโมเสก 2 ภาพ ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง ซึ่งติดตั้งอยู่ภายในโถงกลาง
รูปหนึ่งเป็นพระบรสาทิสลักษณ์พระเจ้ารุจเจโรที่ 2 แต่งกายอย่างจักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์ ได้รับการปราบดาภิเษกโดยพระเยซูซึ่งปรากฏพระวรกายอยู่ด้านขวา
ส่วนอีกรูปแสดงภาพท่านผู้บัญชาการกองเรือหมอบลงกับพื้น ต่อหน้าพระนางมารีย์พรหมจารี ซึ่งช่วยวิงวอนพระเยซูให้ช่วยคุ้มครองท่านนายพล
เราจะเห็นพระคริสต์ปรากฏพระวรกายอยู่ที่มุมขวาด้านบนของภาพ
.. เมื่อพิจารณาภาพโมเสกทั้งสองชิ้นคู่กันแล้ว เราจะเห็นถึงการไหลวนของอำนาจที่เป็นลำดับชั้นอย่างเคร่งครัด
.. กล่าวคือ อำนาจส่งตรงจากพระเยซูผ่านมายังผู้มีอำนาจสูงสุดของรัฐ จากกษัตริย์ส่งต่อสู่ท่านรัฐมนตรี แล้วกลับคืนสู่พระคริสต์ผ่านการร้องขอจากพระแม่มารีย์
โฆษณา