-การที่เธอขายความดิบแบบนี้ เธออยากจะท้าทาย standard ในอุตสาหกรรมวงการเพลง ตามประโยคที่เธอโพสต์ลง X ที่ผมแปลความให้ในข้างต้น ซึ่งก็ make sense โดยศิลปินหญิงที่จำเป็นต้องขายความเซ็กซี่เพื่อดึงดูดให้คนมาสนใจฟัง ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เธอมองว่าเป็นการดูถูกความสามารถศิลปินหญิงโดยอ้อม เธอเลยท้าทายด้วยการปะหน้าความตรงไปตรงมาดิบๆโต้งๆเสียเลย และชัดเจนว่าเธอต้องการจะ fuck the norm ไม่ต้องแคร์ภาพลักษณ์อีกต่อไป แค่สีเขียวปรี๊ดก็ชัดเจนในความรู้สึกมากพอแล้ว
-อย่างไรก็ดี BRAT ไม่ใช่อัลบั้มที่ซักเอาแต่เต้นๆดิ้นๆ กระดกช็อตเหล้าเพียงมิติเดียว แต่ยังแอบซ่อนมุมส่วนตัวเยอะกว่าที่คิด ซึ่งนั่นทำให้อัลบั้ม BRAT นั้นมีความเป็นมนุษย์ประหนึ่งนังตัวดีคนนึงที่ชอบปาร์ตี้เพียงเพราะอยากไปปลดปล่อยก็เท่านั้น มันเลยเป็นอัลบั้มที่เกลี่ยความสนุกและเรื่องส่วนตัวในแบบที่พบกันครึ่งทาง
-สองเพลงแรกคือเปิดโหมดแดนซ์ให้คุ้นเคยกับตัวตนสาวปาร์ตี้ เริ่มจาก 360 เป็น self-love anthem ประหนึ่งส่องกระจกเช็คเสื้อผ้าหน้าผมเสริมความมั่นใจแบบสับๆ ก่อนที่จะไปปาร์ตี้ดุๆด้วย Club Classic ที่สะเทือนฟลอร์ด้วยลูกเล่นบีทสุดกระเพื่อมสุดล้ำ นี่ถือเป็นการสร้าง dance anthem ที่เพิ่มเติมด้วยการหอบแฟนและมิตรสหายมาอยู่ในเนื้อเพลงด้วย อาทิเช่น A. G. Cook, George Daniel , SOPHIE ศิลปินสาว transgender ผู้ล่วงลับคนสำคัญที่สุดในชีวิตเธอ ซึ่งชาร์ลีก็มีเรื่องขยายความเกี่ยวกับพวกเขาเหล่านี้ในเพลงต่อๆไป
-พอมาถึง Sympathy is a knife เธอก็เริ่มเผยความ insecurities ที่อัดอั้นมานานเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจที่คนในสาธารณะพยายามมอบให้เธอ โดยเฉพาะความ popular ที่มีไม่มากเท่าคนอื่นที่ใครๆก็ต่างเสียดายที่เธอไปได้ไม่ไกลเท่าที่ควรจะเป็น แต่นั่นก็ทำให้เธออึดอัดและพารานอยด์ไปกับการแยกแยะไม่ออกว่า อะไรคือความจริงใจ? อะไรคือมีดแทงข้างหลังกันแน่?
ตั้งแต่ผมเห็นประกาศ tracklist ตื่นเต้นตั้งแต่ชื่อเพลง พอเพลงออกมาก็ไม่ผิดหวังในความเฉียบคม ท่วงทำนองก็สุด doom ดั่งลมปะทะหน้า ซึ่งเพลงนี้ก็มีคนตีความโดยนัยที่ว่า เธอแอบนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับ Taylor Swift จนสะกิดความรู้สึก insecure โดยไม่รู้ตัว
Don't wanna see her backstage at my boyfriend's show
Fingers crossed behind my back
I hope they break up quick
Sympathy is a knife - Charli xcx
-สิ่งที่ทำให้การตีความนี้มีมูล ไล่ตั้งแต่การที่ชาร์ลีอยู่ดีๆก็พิมพ์สเตตัสลง X ด้วยชื่อเพลงนี้ในวันเดียวกับอัลบั้ม TTPD ของเทย์เลอร์ถูกปล่อยออกมา รวมไปถึงช่วงที่สาวเทย์เลอร์กำลังคบอยู่กับ Matty Healy ในช่วงต้นปี 2023 และได้ไปเป็นแขกรับเชิญในคอนเสิร์ตของ The 1975 ด้วย ซึ่งชาร์ลีที่เป็นแฟนกับ George Daniel ก็ต้องเจอกับเทย์เลอร์หลังเวทีอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่ได้เห็นรูปคู่ชาร์ลีกับเทย์เลอร์ในโซเชียลมีเดีย ทั้งคู่ลงรูปเซลฟี่กับแม่ Matty ในแบบตัวใครตัวมันแทน
-ทั้งนี้ไอ้ความ insecure กับการที่รัศมีความดังของเธอไม่เฉิดฉายเท่าป็อปสตาร์คนอื่นๆที่เริ่มต้นมาพร้อมกัน นั่นก็ทำให้ Sympathy is a knife แอบโยงกับเพลงต่อไปอย่าง I might say something stupid ที่มาด้วยโทนสุดเหงาอ้างว้าง แปรเปลี่ยนจากตัวมัมกลับกลายเป็นหมาหงอยที่รู้สึกว่า “ที่นี่ไม่ใช่ที่ของกู” ซึ่งนั่นไม่ได้มีแค่เธอไปปาร์ตี้ผิดที่ แต่เป็นการที่เธอยังไม่ได้รับการมองเห็นมากพอในวงการเพลง มาแบบสั้นๆประหนึ่งความคิดชั่ววูบที่แล่นเข้ามา
-นอกจากจะระบาย personal issue ที่คับข้องใจมานานหลายปีแล้ว เธอก็ไม่ลืมที่จะรำลึกถึง SOPHIE ศิลปินสาว transgender ผู้ล่วงลับที่เสียชีวิตกะทันหันด้วยอุบัติเหตุตกจากตึกสูงในปี 2021 ซึ่งเธอก็มอบบทเพลงสุดซาบซึ้ง So I ที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ รู้สึกเสียดายที่เธอพลาดที่จะรับสายโทรศัพท์ก่อนที่จะเกิดเหตุไม่คาดคิด ไม่ค่อยได้เจอตัวต่อตัวเพราะติดช่วงโควิดพอดี และการสอดแทรกคำปลอบใจดั่งเพลงสร้างชื่ออย่าง It’s Okay To Cry ซึ่งเธอก็แซมเปิ้ลเพลงนี้เข้าเป็นส่วนนึงในบทเพลงรำลึกนี้ด้วย
-ตัดสลับไปที่พาร์ทแห่งความสนุกกันบ้าง Everything is romantic โหมดเพลงยำหลายความรู้สึก เปิดด้วย chamber pop แล้วสวิตช์ด้วย grime ปิดท้ายด้วย bubblegum pop ที่มีการ repeat ประโยค Fall in love again and again รัวๆและ speedy เอาให้ตกหลุมแล้วตกหลุมอีก นี่คือเพลงที่จงใจเปิดโหมดฟรีสไตล์แห่งการรวมคนหลากหลายทางเพศก็เป็นได้ Mean girls เห็นชื่อตั้งแต่ดาวอังคารก็รู้เลยว่าต้องแสบแน่นอน แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆกับการเกิดมาเป็น bad girl anthem สาดความปรี๊ดท่อนฮุกยันไปถึง outro ห้าวหาญอย่างไม่เกรงใจใคร
-Apple ถือเป็นเพลงที่ได้อิทธิพลจาก Caroline Polachek มาเต็มๆ โดยเฉพาะท่วงท่าของเพลงที่ดูโฉบเฉี่ยวราวกับเดิน cat walk ซึ่งฟังดูคูลเสมอมา ทั้งนี้การเล่นคำพ้องเสียงระหว่าง Apple และ Airport จึงเป็นอุปมาอุปไมยที่ชาญฉลาดมากๆ เพราะสำนวน Apple don’t fall far from the tree แปลว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ส่วน Airport ก็คือสนามบินที่พาท่องโลกนั่นแหละ นี่จึงเป็นเพลงที่กล่าวถึงการปลดพันธนาการจากการผูกติดกับต้นตระกูล สู่การเป็นตัวของตัวเองที่ไปได้ไกลกว่าเดิม
-ในพาร์ทคนคลั่งรักที่พักใจกับ George Daniel ที่นอกจากจะเป็นตัวละครประปรายในเพลงที่ได้กล่าวไปแล้ว เพลงบอกรักแฟนคนปัจจุบันในรอบนี้ก็ไม่ได้สวีทแบบจีบแฟนรัวๆเสียทีเดียว เธอยังแชร์มุมมองชีวิตคู่ที่ลึกซึ้งขึ้นชนิดที่ไม่อีโรติคปน รวมไปถึงการครุ่นคิดเรื่องสร้างครอบครัวเลยก็มี
-Talk Talk เป็นเพลงที่ดูออดอ้อนก็จริง แต่เป็นการโหยหาเวลาที่ขาดหายไปจากการที่ต่างคนต่างทัวร์ ต่อให้ร่วมงานประกาศรางวัลเดียวกัน เธอก็ถูกจับนั่งแยกกับจอร์จ ได้แต่ text หากันซึ่งนั่นทำให้เธออึดอัดเสียยิ่งกว่าอะไร ท่อน Outro โคตรน่ารัก ก็คนมันรัก พูดภาษาอะไรก็เข้าหูหมด
ภาพที่ชาวเน็ตแซวพร้อมแคปชั่น I think about it all the time
-แทร็ครองสุดท้ายอย่าง I think about it all the time ก็เริ่มแตะแพลนการสร้างครอบครัวในอนาคต จากการที่เธอเห็นเพื่อนสาวนักแต่งเพลง Noonie Bao ได้เป็นแม่คน นั่นก็ทำให้ชาร์ลีครุ่นคิดไปว่า ถ้าฉันได้เป็นแม่คนจริงๆ ชีวิตการเป็นสาวรักสนุกเป็นอันต้องเปลี่ยนไปเป็นแน่นแท้ โดยเฉพาะความเป็นศิลปินของเธอที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่ต้องสละเวลาเพื่อลูกตัวน้อย และก็คิดต่อไปว่า การเป็นแม่คนมันคือหมุดหมายสูงสุดของชีวิตแล้วจริงหรือ? ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกถึงความเป็นเด็กอยู่
-how i’m feeling now ถือเป็นข้อยกเว้นในการ challenge ตัวเองภายใต้ข้อจำกัดในการรังสรรค์เพลงที่บ้านภายใต้ไอเดียแห่งการกักตัว ซึ่งนั่นถือเป็นการวัดความเก่งไปในตัวด้วย ส่วน Crash ก็ลดทอนความสุดโต่งด้วยการทำเพลงสไตล์ pop commercial เป็นการส่งท้ายค่ายเก่า ซึ่งผมก็ดันติดใจไปกับรสจัดที่เธอเคยนำเสนอมาแล้ว รู้สึกกึ่งชอบกึ่งเฉยๆ
-พอได้ฟัง BRAT จบจนสุดทางแล้ว สิ่งที่ผมเรียนรู้ได้อย่างนึงคือ จงอย่าคาดหวังความล้ำ ความแปลกใหม่จากชาร์ลีอีกเลย แต่ตราบใดที่เธอรู้ใจตัวเองมากที่สุด การตกผลึกจะมาเอง BRAT ก็มอบการตกผลึกผลงานชิ้นเอกสำหรับตัวเธอแล้วจริงๆ
Top Tracks : 360, Club Classic, Sympathy is a knife, I might say something stupid, Talk Talk, Von dutch, Rewind, So I, The Girl, so confusing version with Lorde, Apple, B2b, Mean girls, I think about it all the time, 365, Spring breakers