ประโยคเต็มๆ ของมันตามภาษาอังกฤษ (ซึ่งเครดิตของวลีนี้ยังไม่มีที่มาชัดเจน บางเว็บไซต์บอกมาจากนักร้อง Willie Nelson บางแหล่งบอกจากนักแสดงตลก Stephen Wright) คือ
“Early bird gets the worm, but the second mouse gets the cheese” หรือแปลเป็นไทยเต็มๆ คือ “นกที่ตื่นเช้าจะได้กินหนอน แต่หนูตัวที่สองจะได้กินชีส”
ช่วงที่ผ่านมาเราเห็น Apple โดนสื่อและนักวิเคราะห์หลายๆ แห่งบอกว่าพวกเขามาช้าเหลือเกินในเรื่องของ AI จนคู่แข่งหลายบริษัทนำหน้ากันไปหมดแล้ว แต่พวกเขายังไม่ขยับตัวสักที
จนกระทั่งงาน WWDC 2024 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมาถึงจะเริ่มเห็นภาพบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นในด้านของ AI
แน่นอนว่าด้วยความเป็น Apple สำหรับพวกเขาแล้ว AI ไม่ใช่แค่ Artificial Intelligence แต่เป็น Apple Intelligence ต่างหาก
Apple ไม่ใช่เจ้าแรกที่เข้าตลาด AI, แต่อาจจะกำลังกลายเป็นหนูตัวที่สองในยุค AI บูมที่กำลังจะเกิดขึ้น
🍎🤖 [ Apple_Intelligence = ‘AI สำหรับคนทั่วไป’ ]
สก็อตต์ แกลโลเวย์ (Scott Galloway) โค้ชและนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับหลายพันล้านบาท ศาสตราจารย์ด้านการตลาดที่มหาวิทยาลัย New York University Stern School of Business เขียนในบล็อกของเขาว่า
สินค้าเหล่านี้เข้ามาทีหลัง แต่กลับสร้างรายได้มหาศาลให้กับ Apple และมีผู้ใช้งานมากมาย จนตอนนี้มีมูลค่าบริษัทกว่า 3.287 ล้านล้านเหรียญ (หรือประมาณ 120 ล้านล้านบาท)
(แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่ Apple ทำแล้วจะสำเร็จเปรี้ยงปร้าง ดูอย่าง Vision Pro ที่ออกมาแล้วยังถือว่าเข้าถึงได้ยากอยู่สำหรับคนทั่วไป อาจจะด้วยราคาหรือการใช้งานที่ยังไม่สะดวกเท่าที่ควรด้วย - แต่จะไม่ลงลึกเดี๋ยวยาว)
🎯[ #โอกาสของ_Apple_Intelligence ]
ข่าวด้านลบต่างๆ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาว่า Apple ช้ามากในตลาด AI ตามหลังคนอื่นๆ อย่าง Alphabet, Microsoft หรือ Amazon ไปแล้ว แต่แกลโลเวย์ ชี้ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจว่า
“แล้ว Apple ‘ตามหลัง’ ในเรื่องอะไรกันแน่จริงๆ แล้ว? The Economist ประมาณการว่า AI จะสร้างรายได้ 20,000 ล้านเหรียญสำหรับ "ผู้นำ" ด้าน AI อย่าง Alphabet, Amazon และ Microsoft ในปี 2024 ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาลถึง 2% ของรายได้รวมของพวกเขา ในขณะที่ Apple ทำรายได้ใกล้เคียง 20,000 ล้านเหรียญจาก AirPods เพียงอย่างเดียว ลองคิดดู - กระแสความตื่นเต้นทั้งหมดนั้นและมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น เทียบเท่ากับ GDP ของเยอรมนี แต่อุตสาหกรรม AI (จนถึงตอนนี้) มีขนาดเท่ากับ Airpods เท่านั้นเอง”
สิ่งที่แกลโลเวย์พยายามจะสื่อก็คือว่า ตลาดมันยังเล็กอยู่ Apple ยินดีปล่อยให้คนอื่นๆ ทำและทดลองไปก่อน ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาแข่งในเกมนี้ด้วย
ตอนที่ Apple เปิดตัว Siri ในปี 2011 ในฐานะผู้ช่วยเสมือน (Virtual Assistant) ทุกคนตื่นเต้นกับมันมาก แต่ในโลกของการใช้งานจริง Siri กลายเป็นเทคโนโลยีที่ถูกลืมและไม่ค่อยมีใครใช้สักเท่าไหร่ จะเรียกว่าล้มเหลวก็อาจจะแรงไปสักหน่อย คงต้องบอกว่าไม่ได้ประสบความสำเร็จมากเท่าที่ตั้งใจไว้ละกัน (ซึ่งมักจะถูกล้ออยู่เสมอด้วยนะ)
แต่ด้วย Apple Intelligence Siri จะฉลาดขึ้นใกล้เคียงกับฐานะการเป็นผู้ช่วยเสมือนซะที
เริ่มจากการเปิดให้ใช้งาน Siri ผ่านการพิมพ์ข้อความ แก้ไขคำสั่งได้ทันที และออกแบบหน้าตาใหม่ให้กลมกลืนไปกับระบบ
แต่ที่น่าสนใจกว่า คือ Siri จะสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการใช้งานอุปกรณ์แอปเปิลได้นับพันๆ อย่าง แม้ผู้ใช้จะไม่รู้จักชื่อฟีเจอร์ที่แน่ชัดก็ตาม และยังสามารถทำงานข้ามแอปได้อย่างต่อเนื่อง เช่น ส่งบทความจาก Apple News ไปยังกลุ่มแชตใน Messages ในคำสั่งเดียว
นอกจากนี้ นักพัฒนาอิสระก็จะเข้าถึงความสามารถบางอย่างของ Siri ได้ด้วย ทำให้ Siri ทำงานร่วมกับแอปภายนอกได้อย่างราบรื่นขึ้น
สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่าง คือ Siri จะสามารถทำความเข้าใจ "บริบทส่วนบุคคล" (Personal Context) ของผู้ใช้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลและกิจกรรมต่างๆ ภายในเครื่อง เช่น เมื่อผู้ใช้ถามว่า "โชว์สิ่งที่ฉันส่งให้ xxx เมื่อสัปดาห์ที่แล้วหน่อย" Siri จะค้นหาให้จากทุกที่ในเครื่อง แล้วแสดงผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องที่สุดมาให้ดู
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “Contextual AI” หรือ AIตามบริบทส่วนบุคคลที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์ แทนที่จะเป็นเพียงผู้ช่วยอัจฉริยะทั่วไปที่มีความรู้กว้างๆ แต่ Apple Intelligence จะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น อีเมล ข้อความ ปฏิทิน ประวัติการท่องเว็บ และอื่นๆ ภายในระบบนิเวศของ Apple ซึ่งจะช่วยให้มันเข้าใจบริบทและให้บริการที่เฉพาะเจาะจงกับแต่ละบุคคลได้ดียิ่งขึ้น
ในอนาคต Apple Intelligence จะขยายไปเชื่อมต่อกับแอปและบริการภายนอกด้วย เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์มากขึ้น เช่น การช่วยจองนัดหมายกายภาพบำบัด ตามอาการปวดไหล่ที่ผู้ใช้เคยค้นหา เป็นต้น
ด้วยความที่ iPhone เป็นอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ติดตัวและใช้งานมากที่สุดในแต่ละวัน ทั้งตอนตื่นนอนและก่อนเข้านอน การที่ Apple Intelligence สามารถเข้าถึงและเรียนรู้จากพฤติกรรมการใช้งานได้อย่างละเอียด จึงเป็นความได้เปรียบที่สำคัญของ Apple ในการสร้างความผูกพันกับผู้ใช้
นอกจากการออกแบบและเทคโนโลยีที่เหนือกว่าแล้ว ปัจจัยด้านข้อมูลและความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ใช้จะยิ่งทำให้ Apple Intelligence โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด AI อย่างมีนัยสำคัญ
1
โมเดลหลักของ Apple Intelligence จะทำงานแบบ "ออนดีไวซ์" คือประมวลผลบนอุปกรณ์ของผู้ใช้เอง เพื่อความเป็นส่วนตัวและความเร็ว ส่วนโมเดลเสริมที่ต้องใช้พลังคลาวด์ก็จะส่งข้อมูลขึ้นไปอย่างจำกัดและเข้ารหัสแบบปลอดภัย ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะแชร์ข้อมูลอะไรกับคลาวด์บ้าง เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล
ความเป็นส่วนตัวยังคงเป็นค่านิยมหลักสำหรับ Apple ซึ่งต่างจากแพลตฟอร์ม AI อื่นๆ เพราะต้องการให้ผู้ใช้เชื่อมั่นว่าข้อมูลของพวกเขาจะถูกเก็บเป็นความลับ ในขณะที่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเทคโนโลยี AI
แต่การที่ Apple จัดให้ Apple Intelligence ใช้งานได้เฉพาะกับ iPhone รุ่น 15 Pro ขึ้นไป (ซึ่งมาพร้อมชิป A17 Pro) แม้ว่าปีนี้ฮาร์ดแวร์จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากปีที่แล้ว แต่ซอฟต์แวร์ที่มี AI เข้ามาเสริมอาจจะเป็นเหตุผลที่น่าสนใจในการอัปเกรดเครื่องสำหรับหลายต่อหลายคน
รอบนี้เราต้องมาดูกันครับว่าการเป็นหนูตัวที่สองของ Apple จะสามารถคว้าชีสมากินได้ไหม
Apple Intelligence อาจจะไม่ได้รู้ทุกเรื่องในจักรวาลเหมือนอย่าง Artificial Intelligence ทั่วไป ไม่ใช่ปัญญาประดิษฐ์สำหรับคนที่ชื่อชอบเทคโนโลยีหรือผู้เชี่ยวชาญ แต่มันจะรู้จักคุณดีมากพอในระดับที่กลายเป็นผู้ช่วยในชีวิตประจำวันที่คุณขาดไม่ได้
เหมือนอย่างที่ Apple ทำให้ Macintosh กลายเป็น ‘คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลสำหรับคนทั่วไป’
ตอนนี้พวกเขาก็พยายามทำให้ AI : Apple Intelligence ให้กลายเป็น ‘AI สำหรับคนทั่วไป’ จริงๆ
🎯 สรุป 5 ประเด็นสำคัญ:
✅ 1. Apple อาจเป็น "หนูตัวที่สอง" ในยุค AI บูม แม้เข้าตลาดช้ากว่าคู่แข่งแต่มีโอกาสทำตลาดได้ดีกว่าผู้นำด้วยประสบการณ์ในอดีตที่ประสบความสำเร็จในผลิตภัณฑ์หลายอย่างแม้ไม่ใช่ผู้บุกเบิก
✅ 2. Apple Intelligence คือ AI สำหรับคนทั่วไป เน้นความง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้ สามารถเข้าใจบริบทส่วนบุคคลได้ลึกซึ้งและให้บริการที่เฉพาะเจาะจงแต่ละคน ต่างจาก AI ทั่วไปที่เหมาะกับผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีมากกว่า
✅ 3. Apple มีฐานผู้ใช้เกือบ 1,500 ล้านคนทั่วโลก เป็นค่าผ่านทางสู่ลูกค้าที่มีมูลค่ามหาศาล ทำให้บริษัท AI ต่างๆ ต้องการเข้ามาร่วมมือให้บริการบน iPhone เพื่อเข้าถึงผู้ใช้กลุ่มนี้
✅ 4. Apple Intelligence ที่รองรับเฉพาะ iPhone รุ่นใหม่อาจกระตุ้นให้ผู้ใช้อัพเกรดเครื่อง เพราะ AI เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ แม้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์มากนักจากรุ่นก่อน
✅ 5. ด้วยระบบนิเวศและฮาร์ดแวร์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ Apple นำ AI มาใช้งานจริงได้ง่ายกว่า Android ซึ่งมีความหลากหลายของอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ จึงอาจเป็นความได้เปรียบสำคัญในการแข่งขันด้าน AI