เที่ยวญี่ปุ่น 2024 : ไปอีกแล้วหรอญี่ปุ่นเนี่ย? / EP.2 Hill-La-Rious

คำพูดของเจ้าหนุ่มเบล น้องที่เคยร่วมงานด้วยกัน พูดมาตอนเขาไปญี่ปุ่น(ไปก่อนหน้าที่เราไปครั้งที่แล้วไม่กี่วัน) มันดังขึ้นมาในหัวทุกครั้ง และก็คิดตรงกันตลอดเวลา ว่า
"ญี่ปุ่นแสงโกงมากเลยพี่! ถ่ายอะไรก็สวยไปหมด"
ซึ่งมันจริง
รูปปกนี่ก็ถ่ายตอนตื่นแบบไม่ได้อะไรเลยครับ แต่ก็ได้กลับมาเห็นแล้วก็รู้สึกได้ว่าแสงมันโกงอยู่ดี
ตื่นเช้ามาด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม จัดแจงเก็บของเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยแล้ว เราก็เช็คเอาท์และมุ่งหน้าไปสถานีนากาโนะกันเลยครับ
เป้าหมายวันนี้ก็คือ "ฮาคุบะ" ที่เราเองก็เพิ่งเคยได้ยิน เพราะไม่เคยหาข้อมูลอะไรมาก่อนเหมือนเดิม....
ครั้งนี้เรายังคงเดินทางด้วยรถบัสเช่นเดิมครับ อันเนื่องจากรถไฟไม่สะดวกสักเท่าไหร่
ดูความเนิบช้า คนไม่พลุกพล่านนี่สิ!
ยามเช้าของเมืองนากาโนะนี่เป็นสิ่งที่ดีงามสุดๆ ครับ เพราะเมืองนี้ไม่มีความรีบร้อนให้เห็นสักเท่าไหร่ และก็ยังสงบดีด้วยครับ
...หรือชั้นตื่นเช้าไปนะ?
ไปสถานีนากาโนะ กดรับตั๋ว(ที่จองไว้ล่วงหน้า) ที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสาร แล้วก็ไปรอรถที่ป้าย
ง่ายๆ แบบอีซี่มากๆ แบบเรียบง่าย เป็นอะไรที่เราไม่ค่อยเจอน่ะครับ เลยพูดถึงบ่อยหน่อยนะ แหะๆ
ย้ำอีกครั้ง! ว่าแสงโกงชิบหายครับ
นั่งรอที่ป้ายรถ มองฝั่งตรงข้ามเป็นแบบนี้แหละ
ส่วนข้างหลังนี่เป็นที่จอดจักรยานครับ ถ่ายดีๆ ไม่ได้ เพราะคนเยอะมาก!! ที่นี่ใช้จักรยานกันจริงจังจนที่จอดแน่นขนาดนี้แหละครับ
รอรถสักพัก รถก็มาจอดครับ
ลืมถ่ายตอนรถมาจอดครับ เลยมีแต่ตอนขึ้นมาแล้ว / นั่งหน้าสุดเลยจ้า แคบหน่อยแต่ได้เห็นด้านหน้าชัดๆ แจ่มๆ / ชอบรถเมล์ขึ้นทางด่วนที่นี่จัง
จากสายตาคร่าวๆ เอง รถที่ไปฮาคุบะนี่คนน้อยกว่าไปคามิโคะจิอยู่นิดๆ นะครับ อาจจะเพราะเช้าไปด้วยนั่นแหละมั้ง แต่ก็สบายเรานะ เพราะเลือกที่นั่งได้ง่ายดี อิอิ
ระหว่างทางไปก็ได้เห็นภาพหลายๆ อย่างที่เพิ่งจะมาเอะใจว่า "อ้าว นี่ก็บ้านนอกนี่หว่า" /หมายถึงต่างจังหวัด
แล้วก็เพิ่งมาคิดออกอีกว่า ไอ้ที่หลายๆ คน หลายๆ เพจ บอกว่าเที่ยวใกล้โตเกียว บางทีก็ไม่ได้ใกล้เท่าไหร่มั้งนะ เพราะมันเป็นอีกที่ที่ไม่มีตึกสูงหรือรถติดเลย
ระหว่างทาง...
ตอนที่วิ่งผ่านตัวเมืองก่อนจะถึงสถานี ดูเป็นเมืองที่เกือบจะร้างแล้วเหมือนกันนะครับ เหมือนกับพอมีที่หมายที่ไปกันที่ไม่ใช่ตรงจุดนี้ ก็ไม่มีใครได้สนใจตัวเมืองเลยน่ะ นี่รถจอดติดไฟแดง เห็นร้านค้าเหลืออยู่ร้านเดียวเท่าที่เห็นมานะ
มาถึงสถานีรถไฟ แต่ยังอยู่บนรถนะครับ นั่งไปต่อ / ถ่ายไปเรื่อยๆ ครับ
นั่งรถไปเรื่อยๆ จนถึงที่หมายครับ
Hakuba Iwatake Mountain Resort
ยังคงเป็นคนที่ชื่นชอบสไตล์ฟอนท์ของคนที่นี่อยู่ดีครับ
....มาเที่ยวภูเขาหิมะในหน้าร้อน แดดมันก็จะจ้าาาาาาซะเหลือเกินนะครับ
จุดที่มาถึงนี้ เป็นสถานีกระเช้าที่นั่งขึ้นต่อไปบนเขาอีกที
และด้วยชะตาชีวิตที่มีเรื่องบันเทิงเข้ามาทุกครั้ง ครั้งนี้ก็ได้พบกับคณะทัวร์ที่ลงรถไปก่อนหน้า และต่อคิวกันแบบยาวววววววววเฟื้อยเลยครับ
....
เราก็โอเค ถ่ายวีดีโอกันไว้ก่อนก็ได้ รอให้คณะทัวร์ไปกันก่อน
ป้ายกิจกรรม / ป้ายเตือน
แล้วก็ได้ขึ้นกระเช้ากันซะทีครับ
ออกเดินทางด้ายยยยยยยยย!!
แปลกใจนิดๆ ที่พี่ Jeep ลงทุนซื้อโฆษณาในกระเช้า / ทุกรุ่นดูเท่ไปหมดเลยครับ
ใกล้จะถึงแล้ววววววววววววววววววววววว
/ก่อนจะไปต่อ เล่าให้ฟังยังงี้ครับ
ที่เพิ่งไปเวียดนามมาก่อนหน้า นั่นก็นั่งกระเช้า แถมเยอะด้วย
ไปญี่ปุ่นรอบแรกก็นั่งกระเช้าขึ้นอีก
มานี่ก็ต้องนั่งกระเช้าอีกแล้วเรอะ!
จะต้องเจออีกกี่ทริปกันนะ.....
..คือเหวอทุกครั้งที่ต้องขึ้นกระเช้าครับ
ขึ้นมาถึงปลายยอดเขาแล้ว ไม่อยากโม้แบบโอ้อวดเลยครับว่า
"สวยมากเล้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย"
ของจริงกับในรูปต่างกับลิบลับครับ / และแค่ตรงนี้ก็ถ่ายรูปมาร่วมร้อยรูป / ที่มาช้าเพราะมัวแต่เลือกรูปนี่แหละครับ ฮ่าๆๆ
อยากตะโกนว่า "เหินฟ้า" แต่ไม่เอาดีกว่าครับ เขิน แหะๆ
ไม่เคยคิดเลยครับว่าเนินเขาที่ขึ้นมาบนสุดนี้จะเป็นภาพที่ตราตรึงใจได้ขนาดนี้
แล้วเราก็ได้ใช้เวลาในการถ่ายภาพมุมนี้กันอยู่นานแสนนานเลยครับ
....เพราะมันหลุดโฟกัสครับ w(0.0)w
หลังจากเอาชนะเลนส์กล้องได้ซะที(โว้ย) เราก็ไปยังจุดไฮไลท์จุดแรกครับ
Yoo-Hoo Swing ครับ
แปลกใจตัวเองที่ยังชอบอ่านไอ้คำว่า YooHoo เป็น "ย้าฮู้" ทุกทีเลย
เพิ่งมาค้นพบครับว่าเราไม่มีรูปตอนถ่ายใกล้ๆ เลย มีแต่ไกลๆ แบบนี้
เป็นจุดที่ดึงดูดสายตาคนได้เป็นอย่างดีเลยครับ เพราะภาพข้างหน้านั้นคือวิวเทือกเขา Japan Alps เลยครับ
เดี๋ยวนะ....
.....ห้ะ เนี่ยหรอ Japan Alps???
(เห็นมั้ยครับว่าไอ้คนเขียนนี่มันไม่รู้จริงๆ ครับ....จนกระทั่งมาเห็นป้ายนั่นแหละนะ)
จุดชิงช้าจุดนี้ก็กินเวลาเราไปพอสมควรครับ เพราะคนเยอะมาก ต่อคิวกันยาวๆ แต่การจัดการดีมากครับ
เซฟตี้แน่น ที่ฝากของแบบเข้าใจง่าย และก็บริการถ่ายวีดีโอให้ด้วย แต่วีดีโอนี่ได้แค่กล้อง(มือถือ)เดียวเท่านั้นนะ เพราะเขามีหลายขา และต่อคิวกันเยอะครับ
หัวหน้าทัวร์ยิ้มขนาดนี้เลยนะ เพราะใกล้ถึงคิวแล้ว อิอิ
และเมื่อถึงคิวของเรา เราก็ได้บันทึกความทรงจำเป็นวีดีโอไปแล้วเรียบร้อยครับ // ใช่ครับ เพราะฝากของไว้ และถ่ายรูปด้วยตัวเองไม่ได้แล้วครับ แหะๆ
ภาพนี้แหละครับ / ขโมยมาจากเพจ Pursuer MA ครับ
สิ่งที่ชื่นชอบของการนั่งชิงช้าที่สุดยอดอันนี้ คือเขาใช้เพลงเพลงหนึ่งเป็นที่จับเวลาครับ
เพลงน่ารักมากครับ ชอบมาก เลยใช้สิริช่วยค้นให้ครับ ซึ่งเจอด้วยนะครับ แต่ตอนนั้นกดเปิดไม่ได้.... ไม่รู้ทำไม จนถึงตอนนี้ ชื่อมันก็หายไปแหล่ว...
ไว้ผมเจอแล้วจะมาแปะให้แบบอัพเดตนะครับ
เพิ่งมาค้นพบมุมมหาชนหลังจากที่เล่นเสร็จแล้วนั่นแหละครับ คนล้นหลามกันเลย
จากนั้นก็ไปต่อกันที่จุดต่อไปครับ ไม่ไกลกันเลย
ร้านกาแฟวิวภูเขา Japan Alps ที่ชื่อว่า The City Bakery ครับ
แต่ยอมเรื่องนึงครับ ว่าไม่ได้สั่งกาแฟครับ เพราะก่อนขึ้นมาก็เพิ่งซัดโฮกไป...และเห็นจากที่คนนั่งกันอยู่ข้างในร้านแล้ว ผมยอมที่จะไปเอารูปเร็วๆ ดีกว่า......
เลยไม่รู้รสชาติกาแฟครับ
แต่ถ้าได้ลองเจอวิวสวยๆ แบบนี้ กาแฟสูตรไหนๆ ก็อร่อยแน่นอนครับ
เหนือความคาดหมายครับ สวยวัวตายควายล้มมาก
วิวถ่ายรูปที่ร้านนี้ถือว่าถึงใจสุดแล้วครับ เพราะมีทางเดินที่ยื่นออกไป และมีแท่นตั้งมือถือ(และสปอตวางขาตั้งกล้อง)ในมุมที่สวยที่สุดให้ด้วยครับ
เลยไม่ค่อยแปลกใจว่าทำไมหลายๆ คนถึงถ่ายรูปกันได้เยอะแยะและอยู่กันนาน
อันนี้แอบถ่ายในมุมที่สูงกว่าหน่อยนึงครับ สวยงงามและมุมดีจริงๆ
และก็ได้ดื่มด่ำบรรยากาศแบบผู้เสพกาแฟและชมวิวอันสุดยอดนี้ด้วย
...หมดเพียงเท่านี้ครับ ที่ยอดด้านบน
จากนั้นเราก็เดินกลับมาแวะร้าน Alpen เล็กน้อย และก็นั่งกระเช้า(อีกละ)ลงไปที่อีกจุดไฮไลท์ครับ
เข้าไปข้างใน ถึงรู้ว่านี่เป็นร้านอาหารมากกว่าร้านขายของครับ
ภายในเล็กๆ น้อยๆ ครับ
ลงไปข้างล่างกันดีกว่าครับ
มีร้านชาที่เพิ่งเปิดใหม่ได้สักพัก และก็มีสิ่งที่เรียกว่า Giant Swing ด้วยแหละครับ
ทำไงได้ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลยครับ เลยต้องไปเซฟรูปมาจากวีดีโอแทนครับ
ลืมบอกไปเรื่องหนึ่งครับ
ณ สถานที่แห่งนี้ มีจุดที่ทางสถานที่ได้สร้างพื้นและวางอุปกรณ์แคมป์แทบทุกจุดเลยนะครับ
เก้าอี้, โต๊ะ และมีโต๊ะปิงปอง(?) ด้วยครับ
เราอาจจะได้เห็นแบรนด์เนมที่คุ้นตาอย่าง Snow Peak, Coleman, Chums อะไรพวกนี้เยอะกันหน่อยนะครับ
น่าอิจฉาดีนะครับ บ้านเขามีเครื่องแคมป์แบบนี้ให้ได้ใช้กันทุกคนครับ แล้วก็มีคนใช้กันเยอะจริงๆ นะครับ / บ้านเรานี่ถ้าตั้งไว้น่าจะหาย
แต่ที่จะบอกคือ Alpen ที่เป็นผู้จำหน่ายนี่ใจถึงดีเลยนะครับ เอาวางไว้ให้ได้ใช้กันเยอะมาก พร้อมสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักหรือใช้ถ่ายบรรยากาศกันทั่วถึงเลยครับ
กลับมาที่ร้านชาของเราอีกที
เราไม่ได้สั่งชากันครับ เราส่ง Softcream รสชามากินกันแทนครับ
ซึ่ง ณ วันที่ไปนี่ เป็นช่วงเข้าสู่ฤดูร้อนนะครับ
อากาศเย็นขนาดไหนก็ตาม ซอฟต์ครีมเราก็ละลายเร็วอยู่ดี
นี่ครับ ของดี
บรรยากาศร้านทั้งด้านนอกและด้านหลังครับ ด้านในคนเยอะเลยไม่ได้ถ่ายครับ
วีดีโอนี้ถ่ายก่อนกินซอฟต์ครีมนะครับ เพราะยังลังเลว่าจะเอาไงดีว้า...
ช่วงที่กำลังโซ้ยซอฟต์ครีมกันนั้น ก็ได้พักขา ชาร์จแบตไปด้วย
และก็เป็นช่วงที่มีคนได้ขึ้นไปเล่นเจ้า Giant Swing ให้ดูอยู่ด้วยพอดีเลยครับ เลยไปยืนชมกัน
และนั่นก็ทำให้หัวหน้าทัวร์นั้นตัดสินใจได้ รวบรวมความกล้า เผชิญหน้า Giant Swing กันจนได้ครับ
และก็ได้กลายเป็นบันทึกความทรงจำที่สุดยอดอีกหนึ่งจุดเรียบร้อย
คาดว่าตอนที่ขึ้นไป แล้วถูกดึงถอยหลังนี่ น่าจะหวาดเสียวกันทุกคนนะครับ เพราะไม่รู้ว่าจะโดนปล่อยตอนไหน
แต่ถ้าใจพร้อมซะอย่าง ก็จะได้ภาพสุดแสนอลังการแบบนี้ไว้ครอบครองครับ / กล้องถ่ายได้แค่นี้แหละ แหะๆ / และก็แคปรูปมาจากวีดีโอทั้งนั้นเลยครับเนี่ย
(ที่จุดนี้ก็ใช้เพลงเดียวกับข้างบนเลยครับ น่าจะซื้อลิขสิทธิ์ไว้แหงๆ เลย ฮ่าๆๆ)
หลังจากหนำใจ สะใจ ฟิน และก็ถ่ายงานด้วยแล้วเรียบร้อย ก็ได้เวลาที่ต้องลงแล้วครับ เพราะเกรงว่าจะไม่ทันรถ Shuttle bus "ฟรี" น่ะครับ แหะๆ
กลับมาซ้ำจุดเดิม เพราะแสงเปลี่ยนครับ แต่เลนส์ยังคงไม่โฟกัสไม่เคยเปลี่ยน...
แล้วก็นั่งรถมาที่สถานีรถไฟ Hakuba เลยครับ
เมื่อมาถึง ก็เป็นช่วงเวลาที่ตัวเองผ่อนคลายกันมากเลยครับ มันเลยหิวขึ้นมาทันที แหะๆ
แต่อาจจะเพราะด้วยบรรยากาศที่มันดูเหงาๆ ร้านอาหารเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เลยครับ
แต่ก็มีร้านที่เตะตาเรา เราเลยเลือกที่จะเข้าร้านนี้กันครับ
Fujiya
อย่าคิดว่าลงรูปผิดนะครับ เพราะนี่แหละร้านอาหารที่ว่า / นี่ถ่ายตอนขึ้นไปบนเขา แต่ขากลับมาไม่ได้ถ่ายรูปไว้ครับ มัวแต่ถ่ายวีดีโอ แล้วก็ขึ้นไปเลยน่ะ
จะว่าเป็นร้านที่เตะตาก็ไม่ถูกต้อง เพราะมองไปรอบๆ แล้ว ร้านอาหารที่มีมันเหลือเปิดอยู่ไม่เท่าไหร่เองครับ แต่ร้านนี้ใกล้ที่เราลงรถสุดอะ เลยเลือกร้านนี้
หลังจากนั่งดูเมนูและสั่งเรียบร้อย ก็เลยเพิ่งเห็นจากหน้าเมนูว่าร้านนี้เปิดมาจะร้อยปีแล้ว!(เปิดทำการปี 1932)
เลยเดาเอาเลยครับว่าร้านนี้ต้องมีของแน่นอน
สั่งเซตนี้ครับ น่ากินมะ และก็รสชาติโคตรดีงามครับ / ไหนๆ ก็ไหนๆ ถามเพื่อนๆ หน่อยสิครับว่ามะนาวฝานแว่นแบบนี้ คุณบีบใส่อาหารกันไหมครับ?
หลังจากอิ่มแล้วเรียบร้อย มีพลังกันแล้ว ก็เปิดแมพ เดินไปยังสถานที่อีกที่ที่ปักหมุดไว้กันครับ
Oide Park ครับ
ซึ่งระหว่างทางที่เราได้เดินไปยังสวนนี้ เราก็ได้เห็นบ้านคน บรรยากาศ และความสงบที่แตกต่างกับจากที่เจอในเมือง(โตเกียว)เลยนะครับ
เรามันชาวแวะครับ / แวะถ่ายรูปที่ข้างทางบ่อยๆ หลายๆ ที่ จนรู้สึกได้ว่าอย่าผ่านเลยไปเฉยๆ กันนะครับ บางจุดสวยแบบแอบๆ เยอะเลย แต่หน้าคนเขียนมันจะมุ่ยไปหน่อยเพราะเหนื่อยครับ...
ซึ่งบางครั้งบางครา การมาเจอความสงบเงียบที่มากเกินไป ก็ทำให้เราหวั่นๆ เหมือนกันนะว่าเมืองนี้จะมีชีวิตชีวากว่านี้ไหมนะเมื่อมาช่วงอื่นๆ
....เพราะบางทีมันควรจะเป็นการที่มีคนมาเที่ยวในตัวเมืองแบบนี้เยอะๆ และมันต้องครึกครื้นกว่านี้สิ
....แต่ก็ได้แค่คิดสงสัยเท่านั้นแหละครับ
ระหว่างทางไป Oide Park ครับ เงียบสงบดีจริง
แวะถ่ายรูปข้างทางกันหน่อยครับ
เดินมาจนถึงสวน Oide Park ซะทีครับ ซึ่งไม่คิดเลยว่าสวนนี้ก็จะเงียบและสงบ แต่เป็นสงบมากพอที่นะมีคนถือเก้าอี้แคมป์มานั่งอ่านหนังสือ และฟังเสียงน้ำไหลแบบ "ชิลล์" มากจนอิจฉาเลยครับ
เนี่ย ไม่ได้โม้นะ เก้าอี้แคมป์+หนังสือ จริงๆ / จากวีดีโอครับ
กล้องมือถือเราได้แค่นี้เองครับ แง
และก็ได้เดินทางมายังจุดไฮไลท์ของที่สวนนี้เฉยเลยครับ
แบบโล่งๆ ครับ สวยสุดยอด อากาศก็ดีจนไม่อยากกลับเลยครับ
....ใช่ครับ จุดนี้สุดยอดจริงๆ ครับ
ใครที่จะมาเที่ยวที่เมืองนี้ และเลือกที่จะมาเยี่ยมชมสวนแห่งนี้ก็ห้ามพลาดนะครับ
เราเจอป้ายประชาสัมพันธ์ ตอนฤดูซากุระในภาพเขานั้นมันชวนหลงไหลมากๆ ครับ
ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เลยเอาจากวีดีโอมาแทนนะครับ
กล้อง IPhone Pro Max สักรุ่นครับ เหมาะกับการถ่ายอะไรแบบนี้จริงๆ นั่นแหละ
รูปดีๆ มีน้อยครับ ต้องมีแต่แบบนี้น่ะแหละนะ
ขอรูปคู่หน่อยนะครับ อิอิ
ใช้เวลากันเพลินไปหน่อย ดูนาฬิกาอีกทีก็ใกล้จะถึงเวลาที่รถไฟจะมาแล้วครับ เราเลยรีบออกจากสวนนี้กันอย่างเสียดายที่ต้องจากภาพความสวยงามนี้
ขาเดินกลับสถานี เจอคนล่องเรือแบบนี้พอดีครับ เลยโบกมือทักทายเขาเฉยเลย แล้วเขาก็โบกมือกลับมาให้ด้วยนะ / ดีใจและรู้สึกน่ารักดีครับ แถมข้างหลังนั่นก็สวยติดตาจริงๆ ครับ
ถึงสถานีรถไฟ กดซื้อตั๋วรถไฟ และก็เดินไปที่ชานชาลาในเวลาอันรวดเร็วและรวดเดียว ไม่นานรถไฟก็มาครับ
และเราก็ต้องจากเมืองนี้แล้ว ไปยังเมืองต่อไปของทริปนี้ครับ
มัทสึโมโตะ(Matsumoto)
ครับ
ถึงสถานีปลายทาง ออกจากสถานีมา สิ่งแรกที่ทำเลยคือ มองหาร้าน Matsumoto Kiyoshi ครับ
...ทำไปทำไมไม่รู้นะ แต่เพราะตอนอยู่ไทย ยังไงๆ มันก็ติดปากไปแล้วครับ แล้วไม่รู้ว่าจะต้องมาหาที่นี่ทำไมฟะ
ถึงแล้วจริงๆ นะครับ แต่ไม่ได้ถ่ายเมืองเลย ถ่ายป้ายแทน
เจอร้านนี้ที่หน้าสถานีครับ ชื่อเท่มากๆ เลยถ่ายเก็บไว้ / จริงๆ ก็ตั้งเป้าไว้นะว่าถ้าหาของกินอื่นๆ ไม่ได้ จะมาร้านนี้
หัวหน้าทัวร์ได้จองโรงแรมที่เมืองนี้ไว้แบบใกล้สถานีรถไฟมากเลยครับ รู้สึกได้ว่าโชคดีชิบเป๋งที่ได้ที่นี่
Toyoko Inn Matsumoto Station Higashikuchi(แฮ่กๆ ชื่อจะยาวไปไหนกัน)
ตอนถึงที่พักตอนเย็น ไม่ได้ถ่ายครับ รีบเข้าห้องก่อน เพราะร่างกายจะสลายแย้วววว
เข้าที่พัก รีบกอดกระเป๋าก่อนเลยครับ คิดถึง!(โอเวอร์แอคติ้งแหละ)
เช็คอินเรียบร้อย เข้าห้องพักเรียบร้อย ต้องนอนเอาแรงชั่วคราวก่อนเลยครับ ขาที่ใช้มาทั้งวันมันร้องครับ....
...ร้องดังกร้อบแกร้บเลยอะ
หลังจากพักแล้ว เราก็เดินออกมาหาอาหารมื้อเย็นกินกันแบบความหวังสูงสุดว่าเราจะเจอของที่ยอดเยี่ยม เพื่อปิดวันอย่างสวยๆ กันครับ
แล้วหลังจากที่เดินหาร้านกันพักใหญ่ สุดท้ายก็เจอร้านที่ต้องการแล้วครับ
Matsuya นี่เอง เงง เงง เงง.......
นี่แหละครับ มื้อเย็นของข้าพเจ้า / ร้านแ*กด่วนแบบนี้นี่แหละ ขวัญใจเรา แหะๆ
.....ทำไมมันมาจบที่ร้านนี้ล่ะว้อยยยยย
แล้วไหนล่ะ ไอ้ร้าน No Ramen No Life ล่ะไอ้หนู!!!
แต่เอาจริงๆ คือ ร้านอื่นๆ คนเยอะเลยครับ เราเลยมาพึ่งพาอาหาร(?)ที่ร้านนี้แทน เอาสะดวกเข้าว่าแทนน่ะครับ แหะๆ
และจากนั้นก็เข้าคอนบินิไปเรื่อยๆ แล้วค่อยกลับเข้าที่พักครับ
เหมือนเป็นการใช้แบตมนุษย์ที่ตกค้างอยู่ให้หมดก้อนจริงๆ ครับ จะได้หลับสบายๆ แหะๆ
ชาร์จแบตทุกอย่างให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ก่อนนะครับ
หลังจากลืมลงไปหลายอันเพราะไม่ค่อยเจอกระจกนูนแบบนี้ วันนี้มีครับ เลยต้องเอามาลงเซ่! อิอิ
พื้นที่โฆษณา
ผมและหัวหน้าทัวร์(แฟน)ได้สร้างช่อง YouTube สำหรับแบ่งปันวีดีโอบันทึกการเดินทาง, รีวิวโรงแรม และท่องเที่ยว
รวมถึงได้มีเพจ Facebook สำหรับพูดคุยหรือสอบถามข้อมูลไว้กันด้วย ครับ
ฝากติดตามและพูดคุยกันได้ตามช่องทางเหล่านี้ได้เลยครับ
Facebook :
Youtube :
และขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันครับ
โฆษณา