4 ก.ค. เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

📊 ใครได้ ใครเสีย หลัง ไบเดน-ทรัมป์ rematch 🗳️

การเลือกตั้งในเม็กซิโก อินเดีย และยุโรปได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายในตลาดหุ้นโลกในปีนี้ ขณะที่ในสหรัฐอเมริกา นักลงทุนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนที่อาจมาพร้อมกับการหาเสียงของประธานาธิบดีและการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน
แต่ในขณะที่นักลงทุนมักจะมีแนวโน้มที่จะเกลียดความไม่แน่นอน และความผันผวนอาจเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน แต่จากประวัติศาสตร์แล้ว สถิติชี้ให้เห็นว่าต่อให้การแข่งขันจะดุเดือดและสูสีแค่ไหน แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นผลเสียต่อตลาดหุ้นเสมอไปค่ะ
📈 ข้อมูลในปีที่มีการเลือกตั้ง
โดยทั่วไปแล้วปีการเลือกตั้งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเกือบทุกปีที่มีการเลือกตั้งนับตั้งแต่ปี 1960 ค่ะ โดยมีข้อยกเว้นอยู่แค่ 2 ครั้งคือ ปี 2000 ซึ่งเป็นปีที่เกิด Dotcom Bubble และปี 2008 ที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินหรือ Global Financial Crisis
นอกจากนี้ตัวเลขยังดูดีขึ้นไปอีกสำหรับปีการเลือกตั้ง 3 ครั้งล่าสุด คือ ปี 2012, 2016 และ 2020 ซึ่งดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10%
หากมองให้แคบลง และดูเฉพาะช่วง 7 เดือนสุดท้ายของปีเลือกตั้ง เราก็จะเห็นภาพที่คล้ายกันค่ะ โดยตั้งแต่ปี 1950 ดัชนี S&P500 มีการปรับตัวขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวถึง 16 ครั้งจากทั้งหมด 18 ครั้ง โดยปีที่ตลาดปรับตัวลงคือ ปี 2000 ที่ผลการเลือกตั้งล่าช้าไป 36 วัน ส่วนอีกปีคือ ปี 2008 ค่ะ
🗳️ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนยังมีมากเกินไปอยู่ค่ะ
ผู้เชี่ยวชาญเริ่มเตือนแล้วว่า การเลือกตั้งครั้งนี้อาจยังเร็วเกินไปที่บอกว่าใครจะเป็นผู้ชนะจนกว่าจะถึงนาทีสุดท้าย และมีโอกาสที่การผลการเลือกตั้งอาจจะยังมีความไม่ชัดเจนไปอีกหลายวันหลังการเลือกตั้ง ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสน้อยมากๆก็ตาม
นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่อาจมีการโต้แย้งผลการเลือกตั้งหรือผลสูสีมาก เช่นเดียวกับการหันมาลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์มากขึ้น ซึ่งการนับคะแนนจะกินเวลานานกว่าการลงคะแนนเสียงแบบปกติค่ะ (เคยเกิดขึ้นแล้วในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ที่ลงเองด้วยการก่อจราจลที่ทำเนียบขาว)
อีกตัวอย่างนึงคือ ระหว่างการต่อสู้เพื่อนับคะแนนใหม่ในฟลอริดาในปี 2000 ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงมากกว่า 4% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีร่วงลง 0.52% และราคาทองคำพุ่งขึ้นเนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย
ดังนั้นความเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งอาจจบลงด้วยข้อพิพาทที่ยืดเยื้อ หรือแย่กว่านั้นคือเกิดความรุนแรงทางการเมือง ก็เป็นอีกสิ่งนึงที่นักลงทุนต้องกังวลด้วยเช่นกันค่ะ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง ตลาดจะเผชิญกับความผันผวนแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลการเลือกตั้งยังมีความไม่แน่นอนว่าใครจะเป็นผู้ชนะค่ะ
⚠️ ประเด็นที่นักลงทุนต้องจับตามอง
ภาษี การค้า และผู้อพยพ เป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนจะจับตาดูอย่างใกล้ชิด
ทรัมป์สัญญาว่าจะลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 20% จากอัตราปัจจุบันที่ 21% นอกจากนี้เขายังให้คำมั่นว่าจะจัดทำกฎหมายภาษีปี 2017 ของพรรครีพับลิกันให้เป็นอย่างถาวร และเรียกร้องให้มีการต่ออายุส่วนสำคัญของร่างพระราชบัญญัตินี้ ในขณะเดียวกัน รายงานต่างๆ ระบุว่าพรรคเดโมแครตกำลังทำงานตามแผนที่จะเพิ่มการเก็บภาษีกับบริษัทและคนรวยอีกเช่นกัน
การค้าและภาษีเป็นหัวข้อที่อยู่ในข่าวมานานแล้ว ทรัมป์ได้มีพูดคุยเกี่ยวกับการเก็บอัตราภาษีศุลกากร 10% ทั้งกระดาน และจะเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นสำหรับสินค้าที่ผลิตในจีน ขณะที่ไบเดนได้มีเปิดเผยการขึ้นภาษีอย่างกว้างขวางสำหรับการนำเข้าสินค้าจากจีนหลายประเภท รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่ แผงโซล่าร์ แร่ธาตุที่สำคัญ เหล็ก อลูมิเนียม และ EV
ในส่วนของการเข้าเมือง ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะเนรเทศผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารหลักฐานเท่านั้น ขณะเดียวกัน ไบเดนได้ปิดชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกสำหรับคำขอลี้ภัยบางส่วน จนกว่าระดับการข้ามพรมแดนที่นั่นจะลดลงอย่างมาก โดยทางด้าน เจ.พี. มอร์แกนกล่าวว่าความพยายามในการจำกัดการเข้าเมืองอาจเป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้ หากทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานอย่างมีนัยสำคัญ
🎯 หุ้นกลุ่มไหนได้/เสีย หากไบเดนชนะการเลือกตั้ง
จุดยืนเชิงบวกของไบเดนในเรื่องพลังงานสะอาดหมายความว่า หากเขาชนะการเลือกตั้งอีกครั้งจะเป็นข่าวดีสำหรับทั้งกลุ่มค่ะ ซี่งจะรวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เช่นเดียวกับผู้ให้บริการเครือข่ายการชาร์จ EV เช่น บริษัท ChargePoint Holdings Inc., Beam Global, Blink Charging Co. ตลอดจนซัพพลายเออร์และผู้ผลิตแบตเตอรี่อีกด้วย
หุ้นพลังงานแสงอาทิตย์คาดว่าจะดีขึ้นเช่นกันค่ะ ซึ่งจะรวมถึง First Solar Inc., Sunrun Inc., Enphase Energy Inc.
ขณะที่โดยทั่วไปหุ้นกัญชาจะทำได้ดีภายใต้พรรคเดโมแครต และชื่อที่น่าจับตามอง ได้แก่ Tilray Brands Inc., Canopy Growth Corp., Curaleaf Holdings Inc. และ AdvisorShares Pure US Cannabis ETF
อย่างไรก็ตามกลุ่มการเงินอาจเผชิญกับความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากฝ่ายบริหารของไบเดนคาดว่าจะเข้มงวดกับกฎระเบียบ โดยจะต้องการให้ธนาคารมีเงินทุนสำรองที่สูงขึ้น เช่น Bank of America Corp., JPMorgan Chase & Co. และ Goldman Sachs Group Inc. และจะเพิ่มแรงกดดันอย่างต่อเนื่องต่อค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตค่ะ
ผู้ผลิตยาอาจเผชิญกับแรงกดดันด้านกฎระเบียบเช่นกัน เนื่องจากพระราชบัญญัติลดเงินเฟ้อของรัฐบาลปัจจุบันได้มีการผลักดันให้ลดราคายาลง
🎯 หุ้นกลุ่มไหนได้/เสีย หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง
บริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากประเทศจีนสูงอาจได้รับผลกระทบหากความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มสูงขึ้นเมื่อทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง โดยชื่อบริษัทดังๆได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia Corp., Broadcom Inc., Qualcomm Inc., กลุ่มบริษัทวัสดุ เช่น Air Products and Chemicals Inc. และ Celanese Corp., กลุ่มรถยนต์ เช่น Tesla Inc. และ BorgWarner Inc., กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น Otis Worldwide Corp.
ขณะที่กลุ่มพลังงานสะอาดและรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับประโยชน์และจะยังคงได้รับการส่งเสริมจากพระราชบัญญัติลดเงินเฟ้อของไบเดน คาดว่าจะเผชิญกับความท้าทายเนื่องจากทรัมป์กล่าวว่าเขาจะยกเลิกนโยบาย EV ของไบเดนโดยสิ้นเชิง ซึ่งหากทรัมป์ยกเลิกการให้เครดิตภาษีแก่ผู้ซื้อ บริษัทที่มีความเสี่ยงจะมีตั้งแต่ Tesla Inc., Rivian Automotive Inc. และ Lucid Group Inc. รวมถึงผู้ผลิตแบตเตอรี่และซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนอีกเช่นกัน
1
บริษัทน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานแบบดั้งเดิมน่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบาย pro-oil ของทรัมป์ หลังจากคำมั่นของเขาที่จะยกเลิกข้อจำกัดในการผลิตน้ำมันในประเทศ ทำให้หุ้นที่น่าจับตามอง ได้แก่ Baker Hughes Co., Exxon Mobil Corp., ConocoPhillips, Occidental Petroleum Corp. และ Williams Cos Inc. Halliburton Co., Devon Energy Corp., Chevron Corp. และอื่นๆอีกมากมาย
นอกจากนี้ คาดว่าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศจะทำผลงานได้ดีขึ้นภายใต้ชัยชนะของทรัมป์ เนื่องจากคาดว่าการใช้จ่ายด้านกลาโหมจะเป็นลำดับความสำคัญที่ชัดเจนสำหรับพรรครีพับลิกัน โดยหุ้นที่น่าจับตามอง ได้แก่ Lockheed Martin Corp., Northrop Grumman Corp. และ RTX Corp.
หุ้น Cryptocurrency คาดว่าจะได้ประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากอดีตประธานาธิบดีได้เน้นย้ำถึง Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆมากขึ้นในการหาเสียงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งรายใหม่ โดยหุ้นที่น่าจับตามอง ได้แก่ Coinbase Global Inc., Marathon Digital Holdings Inc., Riot Platforms Inc., Cleanspark Inc., MicroStrategy Inc. และ Cipher Mining Inc.
Source: Bloomberg
โฆษณา