5 ก.ค. เวลา 13:00 • ไลฟ์สไตล์

3 ความเชื่อ 5 พฤติกรรมที่กักขังการเติบโตของชีวิต

เราต่างใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน มีวิถีชีวิตต่างวัฒนธรรมและสังคม เราจึงต่างมีความคิดที่ถูกหล่อหลอมการรับรู้ให้เป็นความเชื่อและค่านิยมส่วนตัวที่ส่งผลโดยรวมต่อชีวิตต่างกันไป สิ่งแวดล้อมและความเชื่อบางอย่างเป็นการเสริมพลังให้ชีวิตก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่สิ่งแวดล้อมและความเชื่อบางอย่างก็เป็นพิษให้เป็นข้อจำกัดที่กักขังเราจากอิสรภาพในชีวิต
พฤติกรรมและความเชื่อที่กักขังการเติบโตของชีวิตที่เราประสบและสังเกตได้ในชีวิตประจำวันคือ
3 ความเชื่อ
1) ความเชื่อว่า “ฉันไม่ดีพอ”
ความเชื่อนี้มักเกิดจากการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น รู้สึกว่าเราไม่สามารถเอาอะไรไปเทียบคนอื่นได้เลย ความจริงคือ เราต่างมีข้อบกพร่องเพราะความไม่สมบูรณ์แบบในความเป็นมนุษย์ที่เราเป็น เราจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งด้วยที่เป็นจุดอ่อนและจุดแข็ง พรสวรรค์และความสามารถ และที่สำคัญคือค่านิยมที่มากับการเติบโตที่เรามีต่างกันไป
การโอบกอดในความเป็นตัวเรา เป็นกุญแจสำคัญสู่ความมั่นใจที่แท้จริงและความสุข-ความพอใจที่มั่นคง ให้มองถึงคุณสมบัติเชิงบวกและความสำเร็จของเราแทนการจดจ่อมองไปที่สิ่งที่เราขาด ตระหนักรู้เรื่องนี้เป็นประจำเพื่อเสริมสร้างคุณค่าในตัวเองให้มากขึ้น
2) ความเชื่อว่า “ความล้มเหลวคือจุดจบ”
บางคน มองว่าความล้มเหลวเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้าย “มากกว่า” มองว่าเป็นการพ่ายแพ้เพียงแค่ชั่วคราว ความเชื่อที่ว่า ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็หมายความว่าเราล้มเหลว เป็นกับดักความเชื่อที่รั้งไม่ให้เราก้าวไปข้างหน้า คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกยังต้องเผชิญกับความล้มเหลวมากมายกว่าจะได้เดินอยู่บนเส้นทางสู่ความสำเร็จ
กำหนดกรอบความล้มเหลวให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้และใช้เป็นเชื้อเพลิงที่ให้พลังในการเติบโตแทนการตอกย้ำและกล่าวโทษตัวเอง เช่น ถ้าไม่ได้งานที่เราสัมภาษณ์ ให้ไตร่ตรองพิจารณาว่าครั้งต่อไปเราสามารถปรับปรุงอะไรได้บ้าง และผลักตัวเองให้เดินต่อไปข้างหน้าอยู่เสมอๆ
3) ความเชื่อแห่ง “ความไม่มี”
เป็นเรื่องง่ายที่จะจมอยู่กับการนึกถึงทุกสิ่งที่เราขาด วาดฝันถึงสิ่งที่เราไม่มี ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ ประสบการณ์ต่างๆ และความสัมพันธ์ในชีวิต กรอบความคิดเรื่อง “ความไม่มี” ในความขาด(แคลน)นี้ จะก่อให้เกิดความรู้สึกไม่เพียงพอและความทุกข์เท่านั้น
เราฝึกแสดงความขอบคุณต่อสิ่งดีๆ ที่มีอยู่แล้วในชีวิตแทน อาจเขียนบันทึกแสดงความขอบคุณสามสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีในแต่ละวัน นิสัยแบบง่ายๆ นี้ จะช่วยเบี่ยงความสนใจจากความไม่มีและหันเหความคิดของเราไปที่ความ(มั่ง)มี ในความสมบูรณ์ที่เรามีแทน และช่วยให้เรามีความคิดเชิงบวกมากขึ้น
เตือนตัวเองเสมอว่า มีคนที่ด้อยกว่าเราในเรื่องบางเรื่องมีน้อยกว่าเราในบางอย่าง และอยากได้ในบางสิ่งที่เราเด่นและอยากได้บางอย่างที่เรามี*อยู่เสมอ
5 พฤติกรรม
1) การแนบคุณค่าในตัวเองไว้กับการยอมรับจากภายนอก
การที่เราอยากได้รับการยอมรับจากคนอื่นหรือสังคมเป็นเรื่องปกติที่ธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ว่าจะผ่านทางโซเชียลมีเดีย ตำแหน่งทางหน้าที่การงาน หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ส่วนตัว การเคารพตัวเองที่แท้จริงนั้นเริ่มต้นจากภายใน - ด้วยตัวเราเอง ถ้าเราไม่เคารพและรักตัวเอง ก็อย่าคาดหวังให้ใครอื่นเคารพและยอมรับเรา
ให้เวลาตัวเองและฝึกใช้ชีวิตให้สอดคล้องตามค่านิยมที่ตัวมี – สิ่งที่ตัวชอบ สิ่งที่ตัวรัก และให้รางวัลกับตัวเอง ฉลองความก้าวหน้าของเราเองแทนที่จะแสวงหาการยอมรับจากภายนอก หรือตั้งเป็นเป้าหมายภายนอกที่ต้องผูกการยอมรับจากสังคมหรือเชื่อมโยงกับความคิดเห็นของคนอื่น เพราะการเห็นคุณค่าในตัวเองโดยอาศัยปัจจัยภายนอกเป็นเรื่องของความรู้สึกไม่มั่นคงที่เป็นเพียงแค่สูตรสำเร็จของ “ความผิดหวังและความทุกข์” ที่เราจะได้รับเท่านั้น
2) ล้อมรอบตัวไปด้วยคนคิดลบและคนมีกรอบความคิดแบบปิด
คนที่เราใช้เวลาด้วยมากที่สุดจะส่งผลต่อความคิด ความเชื่อและสภาวะทางจิตใจอารมณ์ของเราอย่างมาก ถ้าเรารายล้อมตัวเองไปด้วยคนคิดลบ คนนิสัยไม่ดีและมีกรอบความคิดแบบปิด การที่เราจะเป็นคนที่มีทัศนคติเชิงบวกก็อาจเป็นเรื่องยาก
สำรวจความสัมพันธ์ในชีวิตรอบๆ ตัวและพิจารณาตีตัวออกห่างจากคนที่บั่นทอนพลังงานชีวิตดีๆอยู่ตลอดเวลา และใช้เวลากับคนที่เป็นแรงดลใจและให้กำลังใจเราที่มีค่านิยมเหมือนเรา มีเป้าหมายที่สอดคล้องกับเรา เพื่อช่วยดึงสิ่งที่ดีในตัวและความสามารถที่เรามีออกมาเพื่อช่วยส่งเสริมสนับสนุนการเติบโตของเรา
3) ละเลยการดูแลตัวเอง
หลายๆ คนเชื่อว่าการดูแลตัวเองเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว แต่ความจริง การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตความเป็นอยู่โดยรวมของเราเอง
เมื่อใดก็ตามที่เราละเลยความต้องการที่เป็นขั้นพื้นฐานให้ร่างกายของเรา เช่น กินอาหาร การออกกำลังกาย การนอนหลับอย่างเพียงพอและเหมาะสมกับร่างกายของตัวเอง รวมถึงวิธีการจัดการกับความเครียด ก็จะทำให้สภาพความพร้อมในด้านต่างๆ เป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้นและการแก้ปัญหาก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น
การปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่พูดร้ายหรือด้อยค่าตัวเอง และให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองที่จะให้ประโยชน์ต่อตัวเราและคนรอบข้าง เช่น ถ้าเราเป็นพ่อแม่ การใช้เวลาให้กับตัวเองสามารถช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบันและอดทนกับลูกๆ ได้มากขึ้น เป็นต้น
4) ถือโทษและโกรธแค้น
การยึดติดกับความขุ่นเคืองและความคับข้องใจเป็นเพียงพันธะผูกพันที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต เป็นภาระร้ายๆที่ทำให้รู้สึกท้อแท้ต่อจิตใจ ระลึกเสมอว่า การให้อภัย คือ การปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจาก “ทุกประสบการณ์โหดร้าย”ที่ได้เจอ และการปล่อยวางความขมขื่นจากทุกบุคคลที่ทำให้เราเจ็บปวดจากอดีตจนปัจจุบัน ช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าโดยไม่มีพันธะผูกพันดึงรั้ง ให้ได้เป็นอิสระจากพันธนาการแห่งความโกรธแค้นและขุ่นเคือง
เราอาจเขียนบันทึกหรือเขียนจดหมาย(ที่ไม่ต้องส่ง) ระบายความรู้สึกทั้งหมดออกมาเป็นตัวหนังสือ แล้วค่อยๆปล่อยคนเหล่านั้นออกไป เป็นยารักษาใจได้วิธีหนึ่ง เพื่อให้ตัวเองได้ก้าวข้ามประสบการณ์ลบๆและคนร้ายๆ ต่อการเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีสิ่งใดมาดึงรั้งไว้
5) การรอคอยเวลาที่ "สมบูรณ์แบบ"
บางคนตกหลุมพรางของการ “รอเวลาที่สมบูรณ์แบบ" เชื่อว่าทุกความฝัน ทุกเป้าหมายจำเป็นต้องมีแผนการตามลำดับก่อน 1-2-3 เพื่อที่จะเริ่มต้นได้ จึงรอเวลาที่ใช่ รอเวลาที่สมบูรณ์แบบ นั่นคือหนึ่งในส่วนผสมสำคัญของการผัดวันประกันพรุ่ง
ความจริงคือ ไม่มีเวลาใดที่สมบูรณ์แบบ เพราะทุกช่วงเวลาของชีวิตย่อมมีความท้าทายและอุปสรรคปะปนอยู่เสมอ สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มลงมือทำในส่วนที่เราทำได้เลย แม้จะเป็นเพียงแค่ก้าวเล็กๆ เช่น ถ้าต้องการอ่านหนังสือสักเล่ม ให้เลือกเรื่องที่ “เราสนใจ” ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเพียงแค่เริ่มต้น 10-15 นาทีทุกวัน ทำเล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่นี้ ก็ช่วยผลักดันและสร้างแรงพิสูจน์กับตัวเองได้ว่า เราทำได้ เราก้าวไปข้างหน้าได้
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ต้องเผชิญหน้ายอมรับกับพฤติกรรมเก่าๆ และเอาชนะตัวเองด้วยการปลดความเชื่อเดิม ๆ ที่ไม่เหมาะกับชีวิตออกไป เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเวลาและการตระหนักรู้ในตัวรวมถึงความมุ่งมั่นในการลงมือทำ เพื่อให้แทนที่พฤติกรรมและความเชื่อเหล่านั้นด้วยความเชื่อที่สร้างแรงบันดาลใจให้เราอยากเปลี่ยนแปลงและเป็นแรงดลใจให้เราอยากเติบโต
เราสามารถเลือกสร้างชีวิตตามที่เราต้องการได้ ให้เวลาตัวเองและลงมือทำเป็นประจำสม่ำเสมอ เราจะรู้สึกได้ถึงพลังที่แปลงเป็นความมั่นใจ ที่จะช่วยให้เรามีความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นทางจิตใจมากขึ้นเป็นลำดับ เพื่อได้ปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากกรงความเชื่อที่กักขังชีวิต สุดท้ายก็จะเป็นรางวัลที่คุ้มค่ากับการเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา