5 ก.ค. เวลา 04:57 • การศึกษา

พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี

.
การตอบโต้บุคคลที่ทำไม่ดีกับเราที่ได้ผลดีที่สุด สำหรับนักปฏิบัติธรรม คือ การตอบโต้ด้วยการไม่ตอบโต้ นั่นเอง
.
การนิ่งเฉยโดยไม่แสดงความรู้สึกอะไรเลย ถือเป็นการต่อสู้กับกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ฝังจมอยู่ในใจเราได้อย่างเหนือชั้นที่สุด หรืออีกนัยหนึ่งจะพูดว่า มันคือบททดสอบการฝึกจิตให้รักษาศีลบริสุทธิ์ได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว
.
ถ้าเราอยากเป็นคนดี เราต้องสามารถเอาชนะกิเลสในใจเราได้ในระดับหนึ่ง คือ อย่างน้อยก็อยู่ในระดับที่จะไม่สามารถทำลายศีลของตัวเองให้ขาดได้เลยไม่ว่ากรณีใด ๆ
.
นั่นหมายถึงว่า จิตเรามีหิริ คือ ความละอายต่อบาป มีโอตตัปปะ คือ ความสะดุ้งกลัวต่อบาป ในระดับที่มากพอที่จะไม่ทำลายศีลของตัวเอง และไม่ยอมให้กิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่อยู่ในใจเรา ใช้กาย วาจา ไปทำร้ายคนอื่นให้เป็นทุกข์ ซึ่งจะมีผลทำให้ใจเราเป็นบาปหนักยิ่งขึ้น
.
การที่จะข่มใจระงับกิเลสให้มันอยู่แต่เพียงภายในใจ ไม่ออกไปเพ่นพ่านเป็นอันธพาลอยู่ภายนอก มันก็ทำได้ยากนักหนา ต้องเป็นผู้ที่เคยผ่านการฝึกฝนอบรมจิตจนมีสติปัญญาแก่กล้า มีพลังศีลที่มั่นคง คือ ใจต้องมีเจตนาแน่วแน่ที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์อย่างจริงใจ จึงจะทำได้
.
หากใครทำได้ จิตจะมีสติกล้า ปัญญาคม และมีความสงบตั้งมั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ แรก ๆ อาจนิ่งเฉยไม่ได้ เพราะสติปัญญายังไม่มากพอ แต่เมื่อฝึกไปบ่อย ๆ ทุกครั้งที่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง พยายามใช้ขันติสยบมันเอาไว้ให้อยู่ในกรอบของศีลให้ได้ก่อน จากนั้นจึงใช้สติปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของมันว่า เป็นเหตุทำร้ายคนอื่น คือเป็นการเอาทุกข์ไปยัดเยียดให้คนอื่น และทำให้ใจเราเป็นทุกข์เศร้าหมองด้วย เป็นการทำให้ใจเราสั่งสมบาปโดยไม่จำเป็นเลย
.
แต่ถ้าจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อรักษาความถูกต้องดีงาม ก็จะไม่ตอบโต้ด้วยความสะใจ แต่จะทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม ในอันที่จะแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี มีจิตเมตตาไม่มุ่งหวังประทุษร้ายใคร อันนี้ก็ยิ่งทำได้ยากหนักเข้าไปอีก สมดังธรรมท่านสอนว่า พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี
.
ส่วนการตอบโต้กันด้วยแรงบันดาลโทสะด่าทอ ทุบตีกัน ทำร้ายกันจนบาดเจ็บล้มตาย นั้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่โลกทำกันจนเชี่ยวชาญชำนาญมากแล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปส่งเสริมมันให้มากขึ้นไปกว่านี้ก็ได้
.
ถ้าต่างตนต่างประทุษร้ายกัน เบียดเบียนกัน โลกนี้จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นผาสุกได้อย่างไร โลกจะเร่าร้อนคุกรุ่นด้วยอำนาจไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ แผดเผาทั้งกลางวันกลางคืน และจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามโลกตามมาในที่สุด
.
ถ้าเรามีใจที่มั่นคงในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เราจะรู้ได้เองว่า ก่อนที่จะทำอะไร จะพูดอะไร มันจะเกิดความคิดขึ้นมาก่อนอยู่ภายในใจ เพียงมันคิดไม่ดี สติมันจับได้ ปัญญาก็พิจารณาเพื่อทำลายไปพร้อมกัน จะทำลายได้ช้าหรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับว่า สติปัญญาจะแก่กล้าเพียงไหน
.
ถ้าสติปัญญามันรวดเร็วทันกัน ความคิดไม่ดีจะไม่มีทางเกิดขึ้นที่ใจได้เลย อย่าว่าแต่จะให้มันออกไปอาละวาดทางกาย ทางวาจา
.
สติปัญญาเมื่อฝึกจนแก่กล้าแล้วจะประสานกันเป็นพลังธรรมอยู่ภายในใจ พอกิเลสแสดงกิริยาออกมาก็ถูกพลังธรรมนี้ทำลายสลายไปทันที สติปัญญาจะค่อย ๆ ละเอียดเข้าไปโดยลำดับ จนผนึกรวมกันเป็นอันเดียวกับจิต อย่างที่เรียกว่า มหาสติมหาปัญญาเต็มภูมิ อันนี้จึงเป็นเจ้าวัฏจักรของจริงของแท้ ถ้าใครสามารถทำลายตัวนี้ได้ สามภพก็เป็นอันจบลงในทันที
.
ดังนั้น ในเบื้องต้น ถ้าใครปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่สามารถยกระดับจิตใจตนเองให้สูงส่งดีงามขึ้นได้บ้างเลย แม้กระทั่งการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ อันเป็นความดีชั้นต้นก็ยังรักษาไม่ได้ ให้รู้ว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ยังไม่ถูกทางอริยมรรค
.
ถ้าจะให้ถูกทางอริยมรรค ก็ต้องทำให้ศีลตั้งมั่นให้ได้ก่อน ด้วยเจตนาอันแน่วแน่ที่จะไม่ล่วงเกินศีล จะไม่ยอมทำให้ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลทะลุ ศีลขาด จากนั้นเวลาเจริญสมาธิ บริกรรมพุทโธ ๆๆ จิตจึงจะค่อยเป็นไป ปัญญาก็จะค่อย ๆ เป็นไปตามกำลังของสมาธิ
.
จนกระทั่งศีล สมาธิ ปัญญาถึงขั้นเต็มภูมิเมื่อไหร่ มรรคทั้ง ๘ จะประชุมรวมกันเป็นหนึ่งที่ สัมมาทิฏฐิ กลายเป็นมหาสติมหาปัญญาเต็มภูมิ สามารถทำลายกิเลสอวิชชาให้ขาดสะบั้นจากใจได้ แล้วนิพพานหนึ่งก็จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นได้เอง พร้อมกับความสิ้นสงสัยในธรรมทั้งปวง
.
#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๗_๐๗
โฆษณา