7 ก.ค. เวลา 04:04 • นิยาย เรื่องสั้น

Ep. 29 คนที่ฆ่าฉัน > Part สีส้ม

<จิตวิทยาสี ถูกนักการตลาดใช้จิตวิทยาสีสร้างกลยุทธ์ เพื่อโน้มน้าวพฤติกรรมของผู้บริโภค[1]
<Webfx นำเสนอว่ากว่า 84.7% ของผู้บริโภค ระบุว่า “สี” เป็นสาเหตุหลักของการตัดสินใจซื้อสินค้า 93% เลือกซื้อสินค้าจากสิ่งที่ตาเห็น 6% เลือกซื้อสินค้าจากผิวสัมผัส และ 1% เลือกซื้อสินค้าจากเสียงหรือกลิ่น[2]
<โฆษณาที่ใช้ “สีจะมีความดึงดูด” กว่าภาพโฆษณาขวาดำ 42% และ “สี” ช่วยให้เกิดความเข้าใจ 73% ความเรียนรู้ 55-68% กระตุ้นให้เกิดการอ่านถึง 40% และ “นิยมใช้สีส้มในวงการอาหาร” เพราะมันกระตุ้นความอยากอาหาร
<สีส้ม เป็นสีโทนอุ่น สื่อถึงความสนุกสนาน ทัศนคติเชิงบวก อิสรภาพ มิตรภาพ ความเชื่อ ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่นใจจากภายใน อบอุ่นและเป็นมิตร ความรู้สึกอยากแบ่งปัน โดยทั่วไปจะทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม สำหรับธุรกิจที่มุ่งหวังที่จะกระตุ้น และยกระดับผู้ชม[3]
<สีส้มเข้ม หมายถึง การหลอกลวง สีส้มแดง หมายถึง ความแข็งกร้าว การครอบครอง
<ตามความเชื่อของฮวงจุ้ย สีส้ม หมายถึงหยาง ดิน เข้มแข็ง ตามความเชื่อของชนชาติอเมริกัน สีส้ม สื่อถึงเทศกาลฮัลโลวีน และของราคาถูก[4]
ปี 2547
ความสนุกสนาน:
“มึงไอ้ดีมันชอบมึง สนใจป่ะ” แนนชงเพื่อนชายของแฟนตัวเองให้ฉัน แบบออกหน้าออกตา
“เหรอ” ฉันตอบ พรางยกแก้วเหล้าชนกับเพื่อนที่นั่งดื่มข้าง ๆ
“ดีมันรวยนะเว้ย มันเป็นลูกชายคนโตหัวแก้วหัวแหวน โตบนกองเงินกองทอง ครอบครัวดี ค่อนข้างมีฐานะ ขับรถฯ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 สีแดงด้วยนะมึง” แนนพูดพร้อมตักกับแกล้มเข้าปาก เคี้ยว และพูดตลอดเวลาไม่หยุดเกลี้ยกล่อมฉัน
“เออ” ฉันตอบ พรางจุดบุหรี่สูบ
“มึงไม่สนใจหรอว่ะ เป็นกูโปรไฟล์แบบนี้กูเอาแล้วนะ” แนนบอกฉันพรางหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
“เออ ไมมึงก็ไม่เอาเองล่ะ” ฉันย้อนถามแนน
“ก็มันไม่เอากู” แนนตอบฉับพลัน แล้วทั้งฉันและแนนก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันไป
ปี 2548
ทัศนคติเชิงบวก:
“พวกมึงเรียนจบอะไรกันว่ะ” ฉันถามแนน
“มันเรียนจบมหาวิทยาลัยเดียวกับกู มหาวิทยาลัยxx มหาวิทยาลัยเอกชน คณะนิเทศศาสตร์ ประชาสัมพันธ์” แนนตอบฉันแบบเป็นธรรมชาติ ไม่ตะกุกตะกัก ไม่ตายไมค์ ไม่มีพิรุธแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องชงหรอกมึง ถ้ามันใช่ มันคงใช่เอง ดูไปเรื่อย ๆ มึงชงมาก ชงถี่แบบนี้ทำกูอึดอัด” ฉันบอกแนนคาดหวังให้เข้าใจ
มิตรภาพ:
กันยายน 2552 ฉันคลอดลูกชายที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง วันที่ฉันคลอดดีเมาค้าง จึงไหว้วานแนนให้เป็นผู้ดูแลฉัน แนนนอนเฝ้าฉันที่โรงพยาบาล คอยช่วยเหลือฉันทุกอย่าง ตลอดจนช่วยเลี้ยงเคน แนนได้ค่าจ้างรายวันสองทางจากจี พี่สาวฉัน และดี สามีฉัน ดีจะมาเยี่ยมฉันบางครั้งบางคราว 1-2 ครั้งต่อวันเท่านั้น ไม่ได้นอนค้างคืน เพราะดีตั้งใจจะดื่มเหล้าหนักกับเพื่อนทุกวัน [☆]
กระตุ้นให้เกิดความรู้สึก:
[☆] ท่ามกลางความท้าทายใหม่ ๆ ในการเลี้ยงลูก สามีภรรยาบางคู่อาจเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจกันมากขึ้น เมื่อได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์การดูแลลูกร่วมกัน แต่บางคู่อาจกลับยิ่งห่างเหิน เมื่อไม่สามารถหาจุดสมดุลระหว่างการดูแลลูก และชีวิตคู่ได้ ภาพ “ครอบครัวสุขสันต์ พ่อ-แม่-ลูก” อย่างที่จินตนาการไว้จึงไม่เคยเกิดขึ้นจริง
[☆] การมีลูกทำให้คู่แต่งงานหลายคู่ ได้ค้นพบว่า การเลี้ยงลูก เป็นหน้าที่อันเหน็ดเหนื่อยไม่มีวันสิ้นสุด ยิ่งช่วงขวบปีแรก พ่อ แม่แทบไม่ได้นอนหลับเป็นเวลา
[☆] สำหรับฝ่ายหญิงก็อาจเผชิญกับอาการซึมเศร้าหลังคลอด ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หากคู่ชีวิตไม่เข้าใจ ก็อาจกลายเป็นความบาดหมาง ห่างเหิน และนำไปสู่จุดแตกหักได้ [3]
ปี 2553
ความเชื่อ:
ปลายเดือน พฤศจิกายน 2553
[☆] ความไว้ใจ เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เพื่อนฝูง ตลอดจนเพื่อนร่วมงาน ความน่าเชื่อถือ และความไว้ใจ ไม่สามารถสร้างได้ชั่วข้ามคืน แต่สามารถพังทลายได้เพียงชั่วพริบตา[6]
“แนน มึงเคยบอกกูใช่ไหม ว่าพวกมึงจบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเอกชน” ฉันถามแนน
“อืม ใช่ กูเคยบอก” แนนตอบฉันชัดเจน หลบเลี่ยงสายตาไปมา
“โกหกกูทำไมว่ะ” ฉันถาม
“เพื่อนกูชอบมึง กูก็ต้องพูดเรื่องดี ๆ ป่ะว่ะ” แนนตอบฉันแบบคนที่คิดว่าการโกหกเป็นเรื่องปกติ [☆]
“ใช่ เรื่องดี ๆ แต่ไม่ใช่เรื่องโกหก”
ฉันตอบ
“อย่าบอกกูนะว่า ที่มึงรับรักมัน เพราะแค่มันเรียนจบมหาวิทยาลัยเอกชน”
แนนย้อนถามฉัน
“เปล่าอ่ะ กูกับดีมันเกิดจากความเหงา แต่ที่ถามมึงกูแค่อยากรู้ว่ามึงหวังดีกับกูมากน้อยแค่ไหน? กูแค่อยากรู้ใจเพื่อนอย่างมึง ที่ปากมึงพร่ำบอกกูซ้ำ ๆ ว่ากูเป็นเพื่อนรัก มึงรักกูจริงหรอว่ะ?
คำว่า “เพื่อนของมึง” มันเป็นยังไง?”
ฉันตอบแนนด้วยเสียง และใบหน้าที่ราบเรียบ ปราศจากอารมณ์โกรธ ฉันเพียงแค่อยากรู้แค่นั้นจริง ๆ
“มึงคิดได้หรือยัง มึงรู้หรือยังว่ากูหวังดีกับมึงแค่ไหน?” แนนถามฉัน สายตาจ้องหน้าฉัน
“อืม กูรู้แล้ว คิดได้นานแล้วล่ะ ยิ่งมึงตอบแบบนี้กูยิ่งมั่นใจว่า คำว่าเพื่อนของกู กับคำว่าเพื่อนของมึงมันแตกต่างกันมากจริง ๆ และมึงไม่เคยแม้แต่จะคิดหวังดีกับกูเลยสักครั้งเดียว แต่ก็ขอบคุณนะมึง ที่ตอบกูตรง ๆ” ฉันตอบแนนแบบชัดถ้อยชัดคำ
“คำพูดมึงนี่เชือดเฉือนใจดีเนอะ” แนนพูดแบบกึ่งถามกึ่งตอบ สีหน้าไม่ค่อยดี มุมปากแสยะยิ้ม
[☆] การโกหก หมายถึง ผู้พูดจงใจบอกข้อมูลเท็จ โดยที่ผู้พูดรู้แก่ใจว่าไม่ใช่ความจริง
[☆] วัตถุประสงค์ของการโกหกคือ การโน้มน้าวใจบางสิ่ง ต้องการให้ตนเองดูดี หรือปกป้องผลประโยชน์บางอย่าง
เรียกกันว่า Enhancing appearance and protect gain
[☆] แรงจูงใจในการโกหก เช่น รักษาหน้าตา สร้างความประทับใจ รวมถึงตั้งใจทำร้ายผู้อื่น
[☆] การโกหกอย่างต่อเนื่อง เป็นสัญญาณที่ชัดเจนมากว่า มีบางสิ่งผิดปกติในการสร้างความสัมพันธ์รูปแบบเพื่อน
[☆] การพูดโกหก โดยมีเจตนาให้ผู้ฟังเชื่อในสิ่งที่ตนพูด แล้วผู้ที่เชื่อ เสียประโยชน์จากการเชื่อนั้น และผู้พูดเป็นผู้ได้ประโยชน์ นับว่าเป็นการทำผิดศีล 5 ข้อที่ 4 ซึ่งเรียกว่า “มุสาวาท” [6]
อิสรภาพ:
ฉันเก็บคำถามนี้ไว้ในใจฉันมาโดยตลอด ตั้งแต่วันที่ฉันรู้ตัวว่าตัวเองท้อง เพราะช่วงเวลาที่อยู่กับดี ๆ จะชวนฉันไปบ้านพี่ปอสามีของแนนบ่อยครั้ง และจะทิ้งฉันไว้ที่นั่น ดีคิดเองเออเองว่าฉันสนิทสนมกับแนน
ใช่ ก็จริงที่ฉันสนิทสนมกับแนน แต่ฉันไม่เคยสนิทใจ แต่อย่างไรก็ตามบ้านพี่ปอที่มีแนนอยู่ด้วย เป็นออกซิเจน เป็นอากาศหายใจ และเป็นที่พักพิงที่ดีของฉันในเวลานั้น
ฉันเลือกถามแนน หลังจากวันที่ดีพรากเคนไปจากฉัน ๆ รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า คนที่ปากพร่ำบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของฉัน โกหกฉันมาตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกัน ฉันรู้อยู่แก่ใจดี แต่ฉันแก้ไขอะไรไม่ได้เสียแล้ว ฉันไม่ได้ถือโทษผู้ใด
 
อย่างไรเสีย ฉันก็เป็นผู้เลือกด้วยตัวฉันเอง ไม่เคยมีใครมาบังคับให้ฉันทำเสียหน่อย ที่ผ่านมาดีก็ทำตัวดีกับฉันมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน จนถึงวันที่ลูกคลอดวันแรก ดี และครอบครัวดีถึงจะเผยธาตุแท้ออกมาฉันรู้
ปี 2550-2551
อบอุ่นและเป็นมิตร:
<พระสมุทรสุดลึกล้น คณนา
สายดิ่งทิ้งทอดมา หยั่งได้
เขาสูงอาจวัดวา กำหนด
จิตมนุษย์นี้ไซร์ ยากแท้หยั่งถึง>[8]
“เธอเรียกพี่ดีว่าอะไรหรอ?” อีม น้องสาวของดีเปิดบทสนทนากับฉัน ระหว่างนั่งคุยกันช่วงเวลาประมาณ 23.00 น. ของคืนหนึ่งที่ดีของเงินแม่เพื่อออกจากบ้านไปดื่มกับกลุ่มเพื่อน
“ตกลงกันว่าให้เรียก พี่ดี” ฉันตอบเสียงเรียบเช่นปกติ
“ทำไมอะ” อีมพยายามตั้งคำถามเพื่อชวนฉันคุย เพราะอีมน่าจะคาดเดาได้ว่าฉันเป็นคนพูดน้อย
“เผื่อเวลาทะเลาะกันจะได้เบาลงหน่อย” ฉันตอบอีม สายตากวาดจับจ้องไปที่รูปภาพรับปริญญาที่แขวนไว้บนผนังด้านหนึ่งของบ้าน
“อีมเรารุ่นเดียวกันนี่ ใช่ไหม? แล้วทำไมถึงรับปริญญาหลังฉันหนึ่งปี? ทำไมรับช้าล่ะ?” ฉันถามอีมขณะมองที่รูปรับปริญญาที่แขวนบนผนังด้านหนึ่งของบ้าน ฉันเพิ่งเห็นกรอบรูปนี้เป็นครั้งแรก หรือเพิ่งมองมันเป็นครั้งแรกกันนะ
“อืม สอบตกต้องซ่อมน่ะ ค่าหน่วยกิจสอบซ่อมอีมต้องทำงานหาเงินเองนะ แม่บอก” อีมตอบฉัน พรางหัวเราะ ฉันไม่รู้ว่าเสียงหัวเราะของอีมมันสื่อถึงอะไร แต่ไม่ใช่อาการขำขันเป็นแน่ เพราะไม่ใช่เรื่องที่น่าขันสักนิด
“ออ แล้วไหนของดีล่ะ ไม่มีของดีหรอ?” ฉันถามอีม ขณะที่หันไปมามองมองผนังของบ้านดีทุกด้าน ฉันเอ่ยถามอีมแต่ลึก ๆ ในใจ ฉันรู้คำตอบนั้นเป็นอย่างดี
“พี่ดีเรียนไม่จบมัธยมต้นเลย” อีมตอบฉัน
“หรอ ไม่จบ ป.ตรี แล้ววุฒิคืออะไรอะ?” ฉันถามอีม
“วุฒิก็ประถมศึกษาไง” อีมตอบฉัน
“หืม? คือ ป. 6 หรอ?” ฉันถามอีม
“ใช่ พี่ดีบอกเธอว่าไงอ่ะ?” อีมถามฉัน
“บอกจบมหาวิทยาลัย” ฉันตอบอีม แล้วทำไมฉันไม่รู้สึกตกใจเลยล่ะ?
“โดนหลอกแล้วล่ะ อีมจะทำให้เธอทะเลาะกับพี่ดีไหมอ่ะ?” อีมบอกฉัน พรางหัวเราะเหมือนรู้สึกว่ามันคือเรื่องปกติ [☆]
“ไม่หรอก รู้อยู่แล้ว” ฉันตอบ พรางคิดว่าทำไมคนบ้านนี้ถึงคิดว่าเรื่องโกหกเป็นเรื่องปกติกันนะคะ
[☆] สาเหตุของการโกหก เด็กบางคนอาจจะโกหกเพียง เพราะอยากรู้ว่าพูดไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น? บ้างก็อยากได้รับความสนใจจากผู้อื่น!! จึงใช้การพูดเกินจริง เติมแต่งสิ่งที่พูดให้ดูน่าสนใจหรือน่าตื่นเต้นมากขึ้น [9]
หลังฉันท้องได้ประมาณ 4 เดือนแล้วแต่งงานกับดี ฉันได้ย้ายเข้าบ้านดีอย่างเป็นทางการ ทุกครั้งที่ดีไปกินเหล้าหรือออกไปสังสรรค์กับเพื่อน อีมน้องสาวของดีจะเป็นผู้มาอยู่เป็นเพื่อนฉัน ชวนฉันคุยเสมอ ฉันค่อนข้างไม่มีมนุษยสัมพันธ์
ตอนเป็นแฟนกันฉันไม่เคยเข้าบ้านดี ฉันไม่เคยถามรายละเอียด หรือเรื่องครอบครัว เรื่องส่วนตัวของดีเลย เพราะฉันเองก็ไม่อยากบอกข้อมูลส่วนตัวของฉันเช่นกัน
ดีชวนฉันไปไหว้พ่อกับแม่ของดีบ่อยครั้ง แต่ฉันไม่อยากไป ไม่อยากรู้จัก ฉันเจอพ่อแม่ของดี น้องสาวของดี วันที่ฉันรู้ตัวแล้วว่าฉันท้องเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ใส่ใจอะไรมากเกินไปหรือเปล่านะ ?
[☆] นักจิตวิทยาชาวต่างประเทศกลุ่มหนึ่ง ให้ผู้เข้าร่วมการวิจัย จดบันทึกประจำวันอย่างละเอียด แล้วนำมาวิเคราะห์ ผลการวิเคราะห์ปรากฏว่าคนทั่วไปมักพูดโกหก เฉลี่ยวันละ 1-2 ครั้ง นั่นแปลว่าในแต่ละวันมีโอกาสไม่น้อยที่จะต้องเจอกับคำโกหก
[☆] เรื่องที่คนเราพูดโกหกบ่อยที่สุด คือ เรื่องความรู้สึก ความชอบ เจตคติ ความคิดเห็น รองลงมา คือ เรื่องการกระทำที่ได้ทำไปแล้ว หรือแผนการว่าจะทำอะไร รวมไปถึงความสำเร็จ และล้มเหลวของตนเอง
[☆] เหตุผลของการโกหก มีตั้งแต่เพื่อผลประโยชน์ เพื่อความสะดวกสบายของตัวเอง หรือปกปิดการกระทำที่ผิดศีลธรรม จริยธรรม หลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ
[☆] โกหกมีเป้าหมาย เพื่อปกป้องจิตใจตนเอง และผู้อื่นจากความขัดแย้ง จะทำให้รู้สึกดีกับตัวเองได้ชั่วคราว หรือบางครั้งก็ต้องพูดโกหกเพื่อรักษาหน้า รักษาความรู้สึกของคู่สนทนา
[☆] White Lies หรือ “การโกหกเพื่อความสบายใจ” (เช่น โกหกเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดี) แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยที่ผู้พูดไม่รู้ตัว พฤติกรรมนี้อาจนำไปสู่การโกหกในเรื่องที่ใหญ่ขึ้น และมีผลกระทบมากขึ้น[10]
ปี 2560:
ความรู้สึกอยากแบ่งปัน
< “ความแค้น” เป็นอารมณ์ธรรมชาติของมนุษย์ ที่เมื่อถูกกระทำ ก็อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น คือการกระทำที่ตามมาจากความแค้น [11]
“มึงว่างคุยป่ะ” แนนส่งข้อความมาหาฉัน
“ว่าง” ฉันส่งข้อความกลับ
 
“กูโทรฯ คุยได้ป่ะยาว มันยาวว่ะ” แนนส่งข้อความถามความยินยอมการพูดคุยผ่านโทรศัพท์จากฉัน
“เออ” ฉันตอบกลับ ไม่เกิน 5 นาที เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้น
“เออ” ฉันกล่าวทักทายแนนคำแรกหลังจากไม่คุยกันมาหลายปี
“กูมีเรื่องอยากขอโทษมึงว่ะ” แนนพูดเสียงอ่อย ๆ ตั้งแต่ฉันออกจากบ้านของดี ช่วงแรกฉันยังติดต่อกับแนน และกลุ่มเพื่อนผู้หญิงของดีอยู่ แต่ 1-3 เดือนแรก มักมีเรื่องราวของดีและเคนมาถึงหูฉัน บ้างเป็นคำพูดที่ดีและครอบครัวของดี
“เออ” ฉันตอบแบบปัด ๆ
“ตอนดีมันพรากลูกมึงมา กูคุยกับดี กูคิดในใจว่าทำไมมึงใจดำจังว่ะ กล้าตัดลูก มึงตัดผัวกูพอเข้าใจได้นะ แต่ลูกอ่ะ มึงไม่คิดถึงเลยหรอว่ะ ตอนนี้กูเข้าใจมึงแล้ว กูเจอกับตัวแล้ว กูขอโทษนะมึง” แนนบอกฉันเสียงอ่อย
“เออ กูรู้แล้ว” ฉันตอบ พร้อมหัวเราะ
“มึงรู้อะไรว่ะ” แนนถาม
“กูรู้ตั้งนานแล้วล่ะ ว่ามึงไม่เคยเข้าใจกู ไม่เคยเชื่อกู ไม่เคยหวังดีกับกู ไม่เคยศรัทธากู ๆ รู้นานแล้วว่า ใจมึงไม่เคยเข้าข้างกูเลยสักครั้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาใจของมึงอยู่ข้างดีมาตลอด มีแต่ปากมึงเท่านั้นแหละที่อยู่ข้างกู” ฉันตอบคำถามแนน
“ใช่ กูแสดงออกชัดเจนเลยหรอว่ะ” แนนถามฉันเสียงอ่อย
“ไม่หรอก มึงแสดงดีแล้ว” ฉันตอบแนน
“แล้วมึงอยากฟังเรื่องของกูไหมว่ะ” แนนถามฉัน
“ไม่ว่ะ เกือบสิบปีที่แล้ว กูทุกข์ กูก็ผ่านมาด้วยตัวเอง กูก็จัดการตัวเอง กูทุกข์ของกูคนเดียว กูไม่โทรฯ ไม่ระบายทุกข์กับมึงนี่นา แล้วทำไมวันนี้มึงทุกข์ กูต้องฟังมึงด้วยว่ะ มึงเห็นแก่ตัวไปปะว่ะ” ฉันตอบแนน
“ไมมึงพูดแบบนี้ว่ะ” แนนถามฉันเสียงเริ่มมีอารมณ์โมโห
“มึงให้ความเป็นเพื่อนกูเมื่อไรว่ะ ? การหวังดีกับเพื่อนทำง่ายจะตาย มึงยังไม่เคยให้กูเลย ทำไมกูต้องเป็นเพื่อนที่ดีให้มึง ๆ เอาแต่ได้นะเนีย” ฉันตอบแนนด้วยเสียงราบเรียบ
“มึงพูดแรงไปป่ะ” แนนถามฉัน
“ไม่นะ กูว่าเหมาะสมกับมึงแล้ว ที่ตลอดมากูพูดดีกับมึงเพราะกูเห็นมึงคือ เพื่อน แต่กูเห็นทุกอย่างที่มึงทำกับกู คิดกับกู ตอนนี้กูเห็นมึงเป็นคนอื่น กับคนอื่นกูต้องมานั่งฟังมึงระบายความทุกข์หรอว่ะ ?
อีกอย่างมึงชอบคนตรงไปตรงมานี่ ใช่ป่ะ? ถ้ามึงรับคำพูดกูไม่ได้ไม่ต้องโทรฯ มา มึงจะได้รู้ความแตกต่างไง?ว่าที่ผ่านมากูพูดดีกับมึง เพราะกูเห็นมึงเป็นเพื่อนจริง ๆ! ”
ฉันพูดน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย เพิ่มเติมคือตั้งใจตอบยั่วโมโหแนน พร้อมตัดสายทันทีที่ฉันพูดจบ
<การให้อภัย เป็นการตัดสินใจที่จะละทิ้งความรู้สึกนั้นไว้ตรงนั้น (แต่จงจำไว้ว่า ความรู้สึกเกิดขึ้นที่ตัวเอง และตัวเองมีอำนาจในการจัดการมัน) แต่ไม่ได้หมายความว่า “จะต้องลืม สิ่งต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้น”[12]
ปี 2549-2552
การหลอกลวง:
“แนน” เป็นภรรยาของพี่ปอ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับดีตั้งแต่สมัยเรียนประถมศึกษา แนนจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มีอาชีพ พนักงานชั่วคราวของโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งแม่บ้าน
“ดี” มีการศึกษาระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 6 ทำงานรับจ้างทั่วไปตามแม่สั่ง เช่น ให้ไปช่วยขับรถบรรทุกขนฟางกับน้ารินเพื่อนบ้านรุ่นน้องคนสนิทของพ่อของดี
“หนู ๆ พี่ดีมีเรื่องตลกเล่าให้ฟัง”
ดีเล่าให้ฉันฟังเมื่อกลับถึงบ้านด้วยใบหน้าที่สนุกสนาน หัวเราะคิกคัก ดวงตาใสแจ๋วด้วยอยากรู้อยากเห็น
ดีออกจากบ้านตั้งแต่ตีสาม เพื่อไปทำงานตามที่แม่ของดีหามาให้ ดีติดสูบบุหรี่ ช่วงทำงานต้องสูบบุหรี่ระหว่างขับเสมอ
โดยดีจะยื่นมือที่สูบบุหรี่ออกนอกห้องโดยสารของรถฯ เมื่อสูบบุหรี่หมด ดีจะใช้นิ้วมือดีดก้นบุหรี่ลงบนถนนระหว่างทาง ก้นบุหรี่ปลิวตามลมไปด้านหลังกะบะรถบรรทุก ตกลงฟางแห้งก่อเกิดเปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็วไหม้ฟางที่บรรทุกมาทั้งคันรถ และรถบรรทุกมีรอยไหม้ตรงกะบะท้ายรถเล็กน้อย
“อุย ลูกค้าล่ะทำไงอ่ะ? แล้วน้ารินไม่โกรธเหรอ?” ฉันถามดี เพราะดีทำงาสของน้ารินพังพินาศไปหมด ด้วยความสะเพร่า
“ฮ่าาาาาาา ๆๆ ไม่รู้สิ” ดีตอบฉันหัวเราะชอบใจ
“ทำไมขำล่ะ? ไม่กลัวเขาโกรธหรอ?” ฉันถามดี
“ฮ่าาาาๆๆ หนูไม่ขำหรอ? น้ารินก็รู้นี่ว่าพี่ดีสูบบุหรี่ ก็รู้ทั้งรู้ไม่ใช่หรอ” ดีตอบฉันพรางหัวเราะเสียงดังจนตัวโยนโยกเยก
“อืม ไม่ขำ นี่มันงานนะ ทำเขาเสียงาน เสียงหาย ขำไม่ได้ ไม่ถูกนะ” ฉันบอกดี
ฉันรู้ชะตากรรมของฉันและดีราง ๆ แล้วว่าอนาคตของเราสองคน จะไปในทิศทางด้านไหน และค่อนข้างงงพอสมควรที่ดีมีความคิด ตรรกะต่อการงาน ความรับผิดชอบแบบนี้
แม่ของดีให้ความหวังแก่ดีและฉัน เรื่องธุรกิจรถฯ ห้องเย็น [☆] ตั้งแต่ฉันเป็นแฟนกับดี ตลอดจนวันที่ฉันหมดรักดี อาจด้วยต้นทุนการทำรถห้องเย็นมีราคาสูง แม่ของดีจึงผัดวันประกันพรุ่งเรื่อยมา
ดีเริ่มเบื่อความหวังที่แม่หยิบยื่นให้ คำหวานที่แม่ของดีพูดกับดีแต่ละครั้งดีเอือม จนดีอยากพาครอบครัวเราออกไปอยู่กันสามคน ดีบอกฉันแบบนั้น
“หนูไปอยู่ข้างนอกกันไหม?”
ดีถามฉันตอนใกล้เข้านอน ฉันดีใจมากจริง ๆ ที่ได้ยินคำนี้ ฉันมีความหวังว่าวุฒิภาวะความเป็นพ่อของดีจะโผล่มาสักวัน
“ไป ที่ไหน? ยังไง?”
ฉันถามดีด้วยความกระตือรือร้น และแอบคาดหวังเล็ก ๆ ว่า วุฒิภาวะของดีมาแล้วใช่ไหม?
“สายไหม เพื่อนพี่ดีกำลังจะเปิดร้านอาหาร เราไปเปิดร้านเหล้าปั่นในร้านเพื่อนพี่ดีกันไหม? เหล้าปั่นทำไมน่ายากหนูหาดูสูตรในเนตหน่อยสิ”
ดีขอความร่วมมือจากฉัน
“อืม” ฉันตอบดี
รุ่งขึ้นฉันใช้เวลาค้นหาสูตรตามความต้องการของดี ทำรูปเล่มด้วย เผื่อทางร้านอาหารเพื่อนของดีอยากได้เมนู ช่วยเชียร์เสนอลูกค้า หรือนำรายการเครื่องดื่มที่ฉันทำไว้ลงในเมนูของทางร้าน ฉันคิดทุกอย่างแทนเสร็จสรรพ
ดีจึงขอเงินทำทุนจากแม่เป็นเงินประมาณสองหมื่น แบ่งออกเป็นค่าลงทุนซื้ออุปกรณ์ทำร้านเหล้าปั่น และค่าเช่าห้องเล็ก ๆ ดีให้เหตุผลแก่แม่ว่า ฉันทนการที่ต้องขอเงินแม่ของดีไม่ไหวแล้ว ซึ่งจริงเพียงครึ่งเดียว
ซุ้มเหล้าปั่นเล็ก ๆ ในร้านอาหารภรรยาของเพื่อนสนิท ย่านสายไหม ต้นทุนธุรกิจไม่เกินหนึ่งสองพันหมื่นบาท รวมกับค่าเช่าห้องเปล่า ชั้น 4 แท้จริงไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท เงินที่เหลือดีจะนำเงินไปเที่ยคาราโอเกะกับเพื่อน ๆ และดีใช้เงินหมดในวันถัดมา
“วันนี้ไปนอนบ้านกัน”
ดีชวนฉันไปบ้านแม่ ดีโทรฯ ขอเงินแม่เพิ่ม และเข้าไปรับช่วงค่ำ เหตุการนี้เป็นสัญญาณอันดับแรก ๆ ที่ทำให้ฉันเริ่มตาสว่าง
1
ฉันไม่เคยเห็นตัวเงินที่แม่ของดีให้ดีมาทำทุนเปิดซุ้มเหล้าปั่นว่าที่แท้จริงเป็นเงินเท่าไร? และหักต้นทุนมียอดเงินคงเหลือเท่าไร? ฉันได้เพียงหนึ่งร้อยบาทไว้ซื้อข้าวกล่องเท่านั้น ฉันรับรู้เรื่องทุกอย่างตามคำพูดของดี
ทุกคืนที่อยู่ห้องเช่า ดีไม่เคยกลับมานอนที่ห้อง ในห้องมีเพียงพัดลม กับเบาะเด็กนอนเท่านั้น ทุกวันคืนในห้องเช่าเล็ก ๆ อากาศร้อน เงียบ สงบแห่งนี้มีเพียงฉันกับเคนสองคนเท่านั้น ดีให้เหตุผลว่าจะไปนอนบ้านเพื่อน ที่ห้องเช่ามันร้อน นอนไม่หลับ
“ไปขายทอดมันในตลาดสิ [☆]” เสียงแม่ของดีพูดกับดี ฉันไม่แน่ใจว่าดีพูดอะไรกับแม่ของเขา แม่ของดีปิดสวิตซ์ความหวังสุดท้ายของฉันด้วยคำพูดสั้น ๆ
ความหวังในสร้างฐานะ และรักษาครอบครัวของฉันเหลือน้อยลงมาก ไม่นานโลกสีชมพูของฉันก็พังทลายลงอย่างถาวร
[☆] รถขนส่งควบคุมอุณหภูมิได้ตามความเหมาะสมกับสินค้าแต่ละประเภท ผู้ที่ต้องการส่งของแช่เย็นจึงมักใช้รถกระบะห้องเย็นเป็นทางเลือก
[☆] รถกระบะห้องเย็น 4 ล้อ ขนส่ง 7-11 รถกระบะพื้นเรียบ ฯลฯ รถใหม่สีขาว
[☆] ของทอด เมนูของทอดเข้าถึงคนเดินตลาดนัดได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็น ไก่ทอด หมูทอด เห็ดทอด กุ้งชุบแป้งทอด ปาท่องโก๋ โดยนำมาจัดเซตในราคาไม่แพง สามารถควบคุมต้นทุนได้ง่าย และขายออกได้ไว ธุรกิจนี้ถ้าทำจริงจังขายได้ไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 บาทต่อวัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทำเล ส่วนต้นทุนนั้นไม่เกิน 3,000 บาท [13]
ความมั่นใจจากภายใน:
[☆] Leon F Seltzer นักจิตวิทยาบอกว่า ‘ความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของเพื่อน’ ความเข้าใจในตัวผู้อื่นจะเกิดขึ้นได้จากการรับฟัง พิจารณาโดยไร้อคติ เอาใจใส่ และพยายามมองโลกผ่านเงื่อนไขของเพื่อน[14]
[☆] เพื่อนจะไม่ตัดสินจากสิ่งที่เพื่อนเป็น เพื่อนเลือก หรือเพื่อนชอบ เวลาอยู่กับเพื่อนสนิทจริงๆ เพื่อนจะทำให้เพื่อนไม่ต้องสร้างภาพ เพราะต่างคนต่างรู้จักกันดี และยอมรับในสิ่งที่เป็นของกันและกัน
#จิตวิทยา #ครอบครัว #รักสีเทา #ประสบการณ์ชีวิต #เรื่องเล่า
โฆษณา