9 ก.ค. เวลา 02:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาและผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก

การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนสูงท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของผู้ท้าชิงหลักสองคน คือ โจ ไบเดน และ โดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อครองเสียงใน swing states หรือ รัฐที่พรรคการเมืองได้รับคะแนนสนับสนุนสูสี แต่ไม่ว่าใครจะชนะก็ตาม สิ่งที่เราน่าจะได้เห็นคือนโยบายกีดกันสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นของสหรัฐฯที่ดุเดือดขึ้น นี่เป็นเพราะผู้ท้าชิงทั้งสอง ดูเห็นตรงกันว่านโยบายดังกล่าวเป็นหนทางที่จะปกป้องเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ที่ผ่านมา ทั้งทรัมป์และไบเดนได้คิดภาษีนำเข้าอัตรา 25% สำหรับเกือบครึ่งนึงของสินค้าจากจีนทั้งหมด แถมไม่นานมานี้ ไบเดนก็เพิ่งจะคิดภาษีนำเข้าเพิ่มสำหรับสินค้าจีนประเภทอื่นๆ เช่น เหล็ก อลูมิเนียม และ แบตเตอรี่ลิเธียม เป็นอัตรา 25% ขึ้นภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ โซล่าเซลล์ และ เข็มฉีดยา จากจีนเป็น 50% และขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าจีนเป็น 100%
ในอนาคต ทรัมป์ได้ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากจีนเป็น 60% ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเป็น 10% และขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าจากจีนเป็น 200% หากเขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป ในขณะเดียวกัน ถ้าไบเดนได้รับเลือกอีกครั้ง ก็น่าจะถูกกดดันให้ต่อต้านการนำเข้าสินค้าที่มีส่วนประกอบมาจากจีนเพิ่มเติม
ทั้งนี้ นโยบายกีดกันสินค้านำเข้าที่รุนแรงขึ้น มีโอกาสส่งผลกระทบต่อภาคการนำเข้าและส่งออกของสหรัฐฯ จากรายงานของ Goldman Sachs ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะส่งผลเสียต่อรายได้และราคาหุ้นของบริษัทระหว่างประเทศ มากกว่าของบริษัทที่มีฐานลูกค้าหลักอยู่ในประเทศ
1
ซึ่งนี่ก็เห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2018 เมื่อสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และทำให้กลุ่มหุ้นบริษัทในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงกว่ากลุ่มหุ้นบริษัทระหว่างประเทศที่ประมาณ 9% ซึ่งผลกระทบต่อบริษัทนานาชาติจะรุนแรงแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความดุเดือดในการโต้ตอบของจีนด้วย
นอกจากผลกระทบที่มีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้ว นโยบายกีดกันการค้าที่รุนแรงขึ้นอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกได้ด้วย นี่มาจากการที่การกระทำของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของประเทศอื่นๆ ด้วย
หนึ่งในความเป็นไปได้คือการที่ประเทศหลักทั่วโลกตอบโต้ด้วยนโยบายกีดกันเช่นกัน ซึ่งการทำเช่นนี้จะส่งผลเสียต่อการค้าระหว่างประเทศทั่วโลกและอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ในอีกหนึ่งกรณี คือการที่ประเทศจีนกีดกันสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นการตอบโต้ แต่ผลักดันในบริษัทจีนย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป บราซิล อาเซียน หรือ เม็กซิโก
1
ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ ตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่มีส่วนประกอบจากจีนยากขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ จำเป็นต้องขึ้นภาษีนำเข้าประเทศที่สามที่เป็นฐานการผลิตของจีนเหล่านี้ด้วย และนี่จะทำให้สหรัฐฯ ถูกแยกออกจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกมากขึ้น
โดยสรุปแล้ว การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะกระทบทั้งตลาดหุ้นของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก ซึ่งไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกอยู่ดี
โฆษณา