9 ก.ค. เวลา 12:15 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เจาะกลยุทธ์การแข่งขัน Tesla ลดราคาขาย พัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ

ราคาหุ้น Tesla ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงปลายไตรมาสสองจากเดิมที่ลดลงราว 28% ในปีนี้ แพ้ดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 14% ตั้งแต่ต้นปี สาเหตุหลักมาจากความกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ระดับพรีเมียมของบริษัท อย่างไรก็ตาม Tesla ยังมุ่งมั่นกับการลดราคาขาย ลดต้นทุนดำเนินงานรวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่างขับขี่อัตโนมัติ
เน้นกลยุทธ์ลดราคาขายรถยนต์แต่รายได้ยังลดลง
แม้ประสบปัญหาการผลิตและการส่งมอบรถยนต์ล่าสุด แต่ Tesla ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตและครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
กลยุทธ์สำคัญของบริษัท ได้แก่ การลดราคาเพื่อให้รถยนต์มีราคาที่คนทั่วไปเอื้อมถึง เร่งการผลิตโมเดลใหม่ราคาประหยัด พัฒนาการผลิตแบตเตอรี่ภายในบริษัทเพื่อลดต้นทุน โปรแกรมลดต้นทุน เช่น การลดจำนวนพนักงาน มีเป้าหมายเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
แม้บริษัทจะลดราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าลงอย่างมาก แต่ยอดส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสแรก ลดลงประมาณ 8.5% เหลือ 387,000 คัน ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 ตัวเลขดังกล่าวยังลดลง 20% จากสถิติยอดส่งมอบสูงสุดที่ 484,507 คันในไตรมาสธันวาคม
ขณะที่ Tesla ให้เหตุผลว่ายอดส่งมอบที่ลดลงเกิดจากการปิดโรงงานในเยอรมนีชั่วคราวอันเนื่องมาจากปัญหาไฟดับและปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วน แต่ตลาดไม่สนใจคำอธิบายดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นลดลง
Elon Musk ซีอีโอ ของ Tesla เตือนว่าอัตราการเติบโตของยอดส่งมอบรถยนต์จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดในปี 2023 และจะกลับมาดีขึ้นก็ต่อเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯปรับลดอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น ท่ามกลางตัวเลขการส่งมอบที่น่าผิดหวัง Tesla ยังรายงานว่า รายได้ในไตรมาสแรก ลดลง 9% เหลือ 21.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
รายงานผลประกอบการของ Tesla เลวร้ายกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยรายได้รวมลดลงมากกว่าช่วงที่บริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รายได้จากการขายรถยนต์ลดลง 13% เหลือ 17.38 พันล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิลดลง 55% yoy เหลือ 1.13 พันล้านดอลลาร์ หรือ 34 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 51 เซนต์ต่อหุ้น
Tesla ยืนยันว่า บริษัทกำลังเผชิญแรงกดดัน นื่องจากผู้ผลิตรถยนต์หลายรายหันไปมุ่งเน้นการผลิต รถยนต์ไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) มากกว่ารถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) เพื่อรับมือกับภาวะรายได้และกำไรที่ลดลง Tesla กำลังเดินหน้าสร้างการรับรู้แบรนด์และขยายโปรแกรมการเงินสำหรับรถยนต์ รวมถึงการนำเสนอเงื่อนไขการเช่าซื้อที่น่าสนใจให้กับลูกค้า
Tesla ยังคงเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
ในปี 2023 Tesla จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าได้มากกว่า 1.8 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2013 ที่ขายได้เพียง 22,400 คัน ถึง 80 เท่ายอดส่งมอบที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ส่งผลให้รายได้เติบโตอย่างมาก ทำให้บริษัทสามารถสร้างกำไรและมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างมากมายยอดส่งมอบที่สูงยังตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างต่อเนื่อง บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 20 ล้านคันภายในปี 2030
แม้ประสบปัญหาการผลิตและการส่งมอบรถยนต์ล่าสุด แต่ยักษ์ใหญ่แห่งวงการรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla ยังคงมุ่งมั่นที่จะครองตลาดรถยนต์
1
ถึงแม้ว่า Tesla จะผลิตได้ 1.8 ล้านคันในปีที่แล้ว แต่ก็ยังเป็นเพียงสัดส่วนเล็กน้อยของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของอุตสาหกรรม เมื่อปีที่แล้ว อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกผลิตได้มากกว่า 90 ล้านคัน
แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับการลดราคาส่งผลกระทบต่อกำไรและอัตรากำไร แต่ก็มีข้อดีเช่นกัน ต้นทุนการขายสินค้า (cost of goods sold) ลดลง เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ประกอบกับราคาลิเธียมที่ลดลงตลอดทั้งปี 2023 และยังคงทรงตัวอยู่ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
นอกจากนี้ราคาวัตถุดิบสำหรับแบตเตอรี่ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของรถยนต์ Tesla ก็ลดลงอย่างมากในตลาดโลก โดย Goldman Sachs ยืนยันว่า ต้นทุนจะลดลงสูงถึง 40% ภายในปี 2025
เดินหน้าลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย
นอกจากการลดราคาแล้ว Tesla ยังดำเนินโครงการลดต้นทุน รวมถึงการปลดพนักงานอย่างน้อย 10% การลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน คาดว่าจะส่งผลให้ต้นทุนสินค้าขายต่อคันลดลง ทำให้ Tesla สามารถรักษาการลดราคาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อกระตุ้นยอดขายได้
ในขณะที่การลดราคาเป็นสิ่งสำคัญในการกระตุ้นยอดขาย บริษัทก็ยังมุ่งเน้นการผลิตเพื่อนำเสนอตัวเลือก รถยนต์ไฟฟ้า ที่หลากหลายมากขึ้น
นอกจากนี้ Tesla ยังเร่งการผลิตแบตเตอรี่ภายในบริษัท ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลกำไรโดยรวม เนื่องจากสามารถลดต้นทุนการผลิตของรถยนต์และทำให้รถยนต์มีราคาที่ผู้คนทั่วไปสามารถซื้อได้
พัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ (Full Self-Driving)
บริษัทยังคงทุ่มเงินอย่างมากมายไปยัง เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนอนอนาคตของบริษัทในระยะยาว
Tesla ได้ใช้เงินลงทุน (CapEx) 1 พันล้านดอลลาร์ ไปกับโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์สำหรับการสร้างรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติและบริการเรียกรถ
ด้วยแผนที่ชัดเจนและเครือข่าย AI ที่สมบูรณ์ ซึ่งได้รับการฝึกฝนจากข้อมูลการขับขี่จริงหลายล้านล้านไมล์ บริษัทสามารถเติบโตและสร้างรายได้จากเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ
การเสนอขายระบบ Full Self-Driving (FSD) แบบสมัครสมาชิกให้กับลูกค้า คาดว่าจะสร้างกระแสรายได้ที่มั่นคงพร้อมกับอัตรากำไรที่สูง โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมา Tesla ได้ลดราคาการสมัครสมาชิก FSD ในสหรัฐอเมริกา จาก 199 ดอลลาร์เหลือ 99 ดอลลาร์ต่อเดือน นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ซื้อแพ็คเกจ Advanced Autopilot ในราคา 6,000 ดอลลาร์ Tesla ยังเสนอการสมัครสมาชิก FSD ในราคาที่ถูกลงที่ 99 ดอลลาร์ แทนราคาเดิม 199 ดอลลาร์
นอกจากนี้ Elon Musk ยังเสนอให้บริษัทรถยนต์อื่นๆ สามารถใช้ FSD ได้ ซึ่งจะเปิดทางสร้างรายได้ใหม่ เนื่องจากการพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นการลงทุนครั้งเดียว แต่สามารถขายผลิตภัณฑ์ได้หลายครั้ง ทำให้เป็นธุรกิจที่ทำกำไรสูง
Elon Musk ยังมองเห็นโอกาสในโครงการเรียกรถ Tesla โดยสังเกตว่า รถยนต์ส่วนบุคคลส่วนใหญ่ มักถูกใช้งานเพียง 12 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จอดอยู่หน้าบ้านหรือที่ทำงานของเจ้าของเป็นส่วนใหญ่ เทคโนโลยี FSD จะช่วยให้เจ้าของรถสามารถปล่อยเช่ารถให้กับบริการเรียกรถของ Tesla เพื่อหารายได้เสริมขณะที่ไม่ได้ใช้งาน รถยนต์ นอกจากนี้ Tesla จะได้รับส่วนแบ่งจากรายได้นี้เพื่อเป็นการบริหารจัดการบริการ
Tesla ยังคงเดินหน้าพัฒนา FSD Beta เวอร์ชัน 11 ซึ่งมีเทคโนโลยีแบบครบวงจรสำหรับการใช้ Autopilot ทั้งในเมืองและทางหลวง คาดว่าจะมีการเปิดตัวอย่างกว้างขวางในเร็วๆ นี้ การเปิดตัวแบบแบ่งเฟส เริ่มต้นจากพนักงานและขยายไปยังเจ้าของรถยนต์อีกหลายราย จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
Cathie Wood คาดการณ์ Tesla พุ่งทะยานแตะ 2,600 ดอลลาร์ภายในปี 2029 ด้วยเทคโนโลยีรถไร้คนขับ
Cathie Wood ซีอีโอของ Ark Investment ยืนยันอีกครั้งว่า Tesla ยังคงเป็นโอกาสด้าน AI ที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากการลงทุนของบริษัท โดย Tesla กำลังพัฒนาซอฟต์แวร์ขับขี่อัตโนมัติที่ล้ำหน้าที่สุดในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นจุดแข็งที่แตกต่าง
ตามที่ Cathie Wood วิเคราะห์ ราคาหุ้น Tesla จะทำสถิติสูงสุดที่ 2,600 ดอลลาร์ ภายในปี 2029 คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 1350% จากระดับปัจจุบัน และมีมูลค่ากิจการ (enterprise value) ที่ 8.2 ล้านล้านดอลลาร์
การพุ่งทะยานของราคาหุ้นจะมาจากกำไร 300 พันล้านดอลลาร์ของผู้ผลิตรถยนต์ คิดเป็นการเติบโตต่อปี 90% จนถึงปี 2029 และจากรายได้มากกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นการเติบโตต่อปี 65%
การประมาณการที่ทะเยอทะยานนี้ อิงจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นว่า Tesla จะเปิดตัวธุรกิจ robo-taxi (รถแท็กซี่ไร้คนขับ) ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่สำคัญและช่วยผลักดันการเติบโตของรายได้ โดย Wood คาดหวังว่า Tesla จะประสบความสำเร็จในการแข่งขันกับ Uber ในธุรกิจเรียกรถ สุดท้าย คาดว่า Tesla จะเพิ่มกำลังการผลิต 45% ทุกปี
โฆษณา