9 ก.ค. เวลา 18:03 • ปรัชญา
ตอนอายุ35 ที่แม่เราเสีย บ้านต้องขายใช้หนี้ แบ่งมรดก พี่น้องต่างคนต่างแยกย้ายไปอยู่บ้านตนเอง เราก็ออกมาอยู่เองคนเดียว มียายมาอยู่ด้วย มีคนรับใช้ดูแลยาย มีแม่บ้านของเราตามมาด้วย
เราได้มรดกเป็นบ้านมา แต่ไม่ได้เงินมา เราหมดเงินไปกับการรักษาแม่ที่เป็นมะเร็งก่อนตาย และ ทำบ้านใหม่ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ เหลือแต่ตัวกับเงินไม่กี่หมื่น กับอีก 3 ชีวิตที่ต้องดูแล แถมมีแมวมาออกลูกทิ้งไว้ให้เลี้ยงด้วย
ความเครียดของเรา ที่แฟนช่วยอะไรไม่ได้เลย เลยทำให้ทะเลาะเลิกกัน เราตกงานด้วย เพราะย้ายบ้านก็ไม่มีงานทำ เราฉลองตกงานด้วยการไปเที่ยวกับเพื่อน ทั้งที่เหลือเงินนิดเดียว เพราะตอนทำงานไม่เคยมีเวลาเที่ยวเลย
ตอนแรกไม่รู้จะทำอะไร เจอเพื่อนชวนไปแอมเวย์ เสียเงินอีก พอรู้ว่าที่ไปเจอคนสำเร็จล้วนเป็นการจัดฉาก เพื่อให้ไปเจอ จะได้ร่วมหาดาวน์ไลน์ เราเลิกไปเลย
เราไม่เคยสมัครงาน เคยแต่เป็นลูกน้องแม่ตัวเอง ช่วยที่บ้านขายเครื่องเขียนมาก่อน ทำเป็นทุกตำแหน่ง แต่ไม่รู้ว่า ตนเองต้องไปสมัครงานตำแหน่งอะไร
เพื่อนชวนไปเป็นพนักงานเสมียน ป.ตรีเงินเดือน 9,000 เราจ้างแม่บ้านพม่าตอนนั้น 7,000 ต้องจ่าย 2 คน เงินเดือนยังไม่พอจ่ายค่าแม่บ้าน เราเลยไม่คิดจะไปเป็นพนักงาน
พี่สาวของเรา เป็นคนพูดให้เราคิดได้ เธอบอกว่า สิ่งที่เรามี คือ ประสบการณ์ ที่เคยทำงานมา มันมีค่ามากกว่าเงินทองนะ ใช้มันให้เป็นประโยชน์ซิ ทั้งที่เราก็เบื่องานเดิม แต่ก็ต้องยอมกลับไปทำอาชีพเดิม เพราะดีกว่าการเป็นลูกจ้าง
เราไปยืมเงินญาติมา 2แสน เปิดร้านเครื่องเขียนของตนเอง ทุกอย่างทำเอง เป็นธุรกิจของเราจริงๆ ด้วยประสบการณ์เดิมที่ผ่าน ที่เคยทำกงสีมาก่อน อาศัยเครดิตเดิม ร้านค้าเดิมๆ ที่เคยติดต่อกัน ไปขอเครดิตเขาใหม่ อาศัยชื่อร้านเก่าของครอบครัว มาหากิน ทำให้บางอย่างไม่ต้องลงทุนเอง ยืมเครดิตร้านเก่ามาลงทุนก่อน
บวกกับประสบการณ์ในการทำงาน ที่เคยทำมาก่อน ทำให้ 2ปี เราสามารถหาเงินไปคืนญาติที่ยืมมาได้ แล้วชีวิตเราก็ไม่เคยตกงานอีกเลย มีแต่เปลี่ยนธุรกิจ
มีช่วงโควิดแหละ ที่รัฐสั่งพักงานที 6 เดือน 8 เดือน จนร้านเราเจ๊งไปอีกรอบ ก็ต้องเปลี่ยนธุรกิจใหม่อีกครั้ง
โฆษณา