10 ก.ค. 2024 เวลา 15:43 • ประวัติศาสตร์

วิมานะ อากาศยานโบราณ

เรียบเรียงโดย รุ่งศิลา
อากาศยานแห่งภารตะยุค
Vimana: The Ancient Indian Aerospace Craft – Time for Indigenisation – Air Power Asia
มหากาพย์ของอินเดียเรื่องมหาภารตะ และ รามายณะ หรือ รามเกียรติ์
ความเชื่อเรื่องอารยธรรมโบราณ ว่าใน อดีตโลกของเราเคยถูกครอบครองโดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกมาก่อน อินเดียเป็นหนึ่งในแหล่งอารยธรรมใหญ่ของโลก เคยรุ่งเรืองทั้งศาสตร์และศิลป์มาตั้งแต่อดีตกาล รู้จักกันในนามของอารยธรรมลุ่มน้ำ คงคา-สินธุ กลุ่มชนที่อาศัยในแถบนั้นสืบเชื้อสายมาจากชาว อินโด-อารยัน อันเป็นหนึ่งในเชื้อสายใหญ่ๆของโลก
ชาวอินโดอารยันในแถบนี้มีความรู้ทางภาษา หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ปรัชญา วรรณกรรม ปรากฏมีให้เห็นเป็นหลักฐาน และมีวรรณกรรมเก่าแก่หลายเรื่อง หาที่มาที่ไปไม่ได้ว่าเริ่มต้นมาจากไหน บางเรื่องเก่ากว่าต้นกำเนิดของผู้คนในแถบหิมาลายัน มหาภารตะ คือหนึ่งในเรื่องราวเหล่านี้
จากต้นฉบับภาษาสันสกฤตโบราณที่ถูกค้นพบในอินเดียและปากีสถาน สภามหาวิทยาลัย และ สถาบันวิจัยของกองทัพอินเดีย ได้ทำการแปลข้อความต้นฉบับสันสกฤตของมหาภารตะ พบเนื้อหาที่กล่าวถึงความล้ำยุคล้ำสมัย มีหลักฐานที่สามารถอ้างอิงได้ว่า ในอดีตมนุษย์เคยมีการติดต่อกับสิ่งทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก รวมถึงทำ สงครามกันด้วยอากาศยานและเทคโนโลยีทางนิวเคลียร์ มาแล้ว
นักโบราณคดีชาวจีน ได้ค้นพบจารึกภาษาสันสกฤตใน มณฑลลาซา ของ ทิเบต ใช้ภาษาโบราณ กลุ่มนักโบราณคดีได้ส่งจารึกชิ้นนี้ไปที่มหาวิทยาลัย Chandrigarh เพื่อขอความช่วยเหลือในการแปล ดร.Ruth Reyna หัวหน้าทีมแปล จารึกชิ้นนี้กล่าวถึง วิธีการสร้างยานอวกาศ เป็นยานที่ใช้โดยสารระหว่างดวงดาว มีการกล่าวถึงหลักการขับเคลื่อนของวิมานะ ด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า "laghima" ซึ่งก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร
ดร. Reyna กล่าวต่อไปว่า กลไกการขับเคลื่อนของตัวยานนั้น ตามจารึกเรียกว่า แอสตรา(Astras) สามารถที่จะนำมนุษย์ไปยังดาวดวงใดก็ได้ที่ต้องการ ในเอกสารโบราณของชาวภารตะเมื่อหลายพันปีก่อน
นอกจากนี้ เนื้อหาในจารึกยังกล่าวถึง "อันติมะ" ยานยนตร์ที่ล่องหนได้ และ "การิมะ" อากาศยานขนาดใหญ่เท่าภูเขาขนาดย่อม ทีแรกทีมงานแปลไม่ได้ใส่ใจจารึกพวกนี้มากนัก จนกระทั่งกองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศว่า จะมีการนำเอาเนื้อหาส่วนหนึ่งของจารึกนี้มาวิจัยในโครงการอวกาศของจีนด้วย ทั่วโลกจึงหันมาจับตา "นิทานโบราณ" พวกนี้อย่างจริงจัง
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า จารึกเหล่านี้ขาดหายตกหล่นไปเป็นจำนวนมาก ถึงกระนั้น นักวิชาการรวมไปถึงนักโบราณคดีก็ได้อะไรไม่น้อยจากจารึกนี้ มีการกล่าวถึงการเดินทางสู่ดวงจันทร์ในมหากาพย์ รามายณะ อากาศยานที่พวกเขาใช้โดยสารเรียกว่า วิมานะ หรือ แอสตรา ซึ่งมีการกล่าวถึงการทำสงครามอวกาศด้วยวิมานะ ระหว่างชาวอินเดียโบราณ กับชาว Asvin ... ถ้าเรื่องในจารึกเป็นแค่นิทานหรือนิยาย ก็นับว่าเป็นนิยายวิทยศาสตร์เรื่องแรกของโลกที่กล่าวถึงการทำสงครามอวกาศ ก่อนหน้า Star Wars ของ จอร์จ ลูกัส เกือบหมื่นปี
เพื่อเจาะลึกเรื่องวิมานะนี้ให้มากขึ้นอีก ย้อนยุคไปยังอาณาจักรโบราณ ซึ่งตามจารึกกล่าว่าเจริญรุ่งเรืองมาเมื่อ 15,000 ปีก่อนหน้านี้ อาณาจักรนี้ชื่อ Rama Empire ตั้งอยู่ทางเหนือของอินเดียและปากีสถาน นักโบราณคดียืนยันว่า นครเก่าแก่แห่งนี้ไม่ใช่มีแต่ในนิทาน หากแต่มีอยู่จริงเช้นเดียวกับ กรุงทรอย และ ไมซีนี่ เพราะมีการขุดพบโบราณสถาน โบราณวัตถุ
ตลอดไปจนจารึกอีกจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณที่ตั้งของนคร ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นทะเลทรายอย่างไม่ทราบสาเหตุร่องรอยของ อาณาจักร Rama ยังหลงเหลืออยู่ในตำนานปัจจุบันหลายเรื่อง เช่น นครทั้งเจ็ด อันกอปรขึ้นเป็น อาณาจักร Rama นี้เรารู้กันกันตามตำนานในชื่อของ "The Seven Rishi Cities." หรือ นครของกษัตริย์ลิจฉวี
นครของกษัตริย์ลิจฉวีนี้ มีคงความเจริญทางเทคโนโลยีไม่แพ้ปัจจุบัน เพราะตามจารึกกล่าวถึงความเป็นอยู่ของพลเมืองไว้อย่างพิสดารมาก พวกเขาไปไหนมาไหนกันด้วยพาหนะที่เรียกว่า Vimanas หรือ วิมาน ลักษณะของมันประกอบด้วยดาดฟ้าสองชั้น ตัวยานมีลักษณะกลมเหมือนโดม มีรูระบายอากาศโดยรอบ คล้ายคลึงกับ UFO วิมานะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าสายลม มีเสียงเหมือนบรรเลงเครื่องดนตรีสี่ประเภทพร้อมกัน วิมานะมีอยู่หลายรุ่นหลายรูปแบบ ในจารึกมีคู่มือการขับวิมานะประเภทต่างๆ รวมถึงการหลักการสร้างและทำลายวิมานะของข้าศึก
ข้อมูลเกี่ยวกับ-วิมานะ ที่มีอยู่ในจารึก
-ความลับในการสร้างวิมานะให้แข็งแกร่ง ไม่ไหม้ไฟ และไม่ให้โดนทำลายโดยง่ายจากข้าศึก
-กรรมวิธีขับเคลื่อนวิมานะ การหยุดกลางอากาศ การชะลอความเร็ว
-วิธีการทำให้วิมานะ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายศัตรู
-การดักฟังคำสนทนาและเสียงอื่นๆในวิมานะฝ่ายตรงข้ามบช9
-การตรวจจับและอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของวิมานะฝ่ายศัตรู
-กรรมวิธีทำให้ผู้ขับวิมานะของศัตรูหมดสติหรือสับสน
-การทำลายวิมานะข้าศึกด้วยวิธีต่างๆ
จากส่วนหนึ่งของมาหกาพย์ มหาภารตะ วิมานะประเภทหนึ่ง มีลักษณะเป็นลูกกลมๆ ส่งเสียงดังฟ้าผ่า วิ่งด้วยความเร็วสูงมาก ลักษณะเหมือน UFO ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน มีการแถลงการถึงการค้นพบเครื่องยนต์ปริศนาจากนักโบราณคดีรัสเซีย ที่ถ้ำเล็กๆในทะเลทรายโกบี
เครื่องยนต์ที่ว่าทำจากแก้วและโลหะคาดว่าต้องเป็นชิ้นส่วนของยานพาหนะในอดีต ในโคนซึ่งมีลักษณะคล้ายท่อไอเสียของเครื่องยนต์พบสารปรอทตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก สร้างปริศนางุนงงให้แก่นักโบราณคดีกลุ่มนั้นเป็นอย่างมาก เพราะนึกไม่ออกถึงที่มาของเครื่องยนต์อายุเกือบ 8,000 ปี ที่พบในถ้ำเล็กๆกลางทะเลทรายที่ปราศจากผู้คน
วิมานะ เหมือนอากาศยานที่ใช้กันในปัจจุบัน เน้นใช้งานสงครามเป็นหลัก ชาวภารตะโบราณเล่าขานถึงการขับเคี่ยวในเชิงยุทธ ระหว่างพวกเขาและคู่สงครามด้วยวิมานะอย่างน่าฟัง คู่สงครามของพวกเขาเป็นมหานครที่เจริญด้วยอายธรรมเสียยิ่งกว่าพวกเขาอีก ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ Rama Empire ไกลโพ้นออกไปกลางมหาสมุทร ชาวภารตะโบราณเรียกอาณาจักรนั้นว่าอาณาจักรของพวก Asvin และเรียกวิมานะของฝ่ายนั้นว่า Vailixi
บทหนึ่ง(จากหลายๆบท)ในมหภารตะที่โด่งดัง เพราะให้ภาพชัดเจนเกี่ยวกับ สงครามนิวเคลียร์ มีการใช้ขีปนาวุธที่ "ยาวราวเจ็ดชั่วตัวคน ขับเคลื่อนด้วยเปลวไฟในตัวเอง สามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมือง" ถล่มกันจากวิมานะ มีอยู่บทหนึ่งกล่าวว่า อาวูธของฝ่ายข้าศึกช่างร้ายแรงราวกับรวมพลังจากทั่วสากลโลกมาไว้ในตัว อานุภาพการทำลายเต็มไปด้วยไฟ ควัน และคลื่นความร้อน ราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันทีละ 10 ดวง
อาวุธนี้สามารถแปรสภาพพื้นที่รอบบริเวณได้ในพริบตา มันเผาผลาญธัญญาหารจนเกรียมไหม้วอดวายไปทั้งท้องทุ่ง ผู้คนจะผมขาวโพลนและหลุดร่วง นกบนท้องฟ้าจะเปื้อนฝุ่นละอองสีขี้เถ้า ตกลงมาตายนับพันตัว อาหารและเสบียงที่มีจะเป็นพิษจนหมดสิ้น วิธีการหนีรอดจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ของทหารภารตะโบราณคือ ถอดเสื้อผ้าและชุดเกราะออก ลงไปชำระกายในน้ำ เพื่อมิให้ฝุ่นละอองนี้ติดตัว
เหล่านี่เป็นเพียงจินตนาการ หรือการถ่ายทอดภาพของสงครามนิวเคลียร์ให้ชนรุ่นหลัง ได้รับทราบ?
ระเบิดและฝุ่นกัมตภาพรังสี ผลที่เกิดกับร่างกายมนุษย์ การปนเปื้อนและตกค้างของฝุ่นนิวเคลียร์ สนับสนุนความเชื่อว่า.. เมื่อนานมาแล้ว มนุษย์ได้ทำลายล้างกันด้วยอาวุธมหาประลัยชนิดนี้มาก่อน และบันทึกเรื่องราวเอาไว้เพื่อเตือนใจอนุชนรุ่นหลังถึงพิษภัยของมัน
ในเมืองโมเฮนโจดาโร อดีตชุมชนโบราณบริเวณลุ่มน้ำสินธุ มีการพบว่าโครงกระดูกในสุสานจำนวนมากที่ปนเปื้อนกัมตภาพรังสีอยู่ รวมทั้งกำแพงเมือง และภาชนะบางชิ้นที่หลอมละลายจนกลายเป็นแก้ว เนื่องจากโดน "ความร้อนที่ไม่ทราบที่มา" หลอมละลาย
ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า วิมานะของชาวภารตะโบราณ เกี่ยวข้องอย่างไรกับ UFO ที่พบเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เพราะตามจารึกแล้ว Rama Empire ล่ม สลายไปหมดจากสงครามครั้งใหญ่ครั้งนั้น เนื่องจากในจารึกมีการกล่าวถึงการเดินทางระหว่างดวงจันทร์กับพื้นพิภพด้วยวิมานะ มีการรบกับระหว่างชาวภารตะ กับชาว Asvin บนน่านฟ้าเหนือวงโคจรดวงจันทร์ ทว่านักวิชาการส่วนหนึ่งยังมีความหวังอยู่ว่าจะมีผู้รอดชีวิตอยู่ที่ดวงจันทร์
.. " มีลักษณะ 2ชั้นประกบกันเป็นทรงกลมและยาวเป็นทรงกระบอก มีโดมอยู่ด้านบนพร้อมกับประตู บินได้ด้วยความเร็วของลม และส่งเสียงไพเราะยามบินอยู่บนท้องฟ้า" เป็นคำบรรยายถึงลักษณะของ "วิมานะ" หรือ "วิมาน" ของชาวอินเดียสมัยโบราณที่ได้บันทึกเอาไว้ทั้งวิธีการบินและการควบคุม รวมไปถึงการสร้างวิมานะอีกด้วย
วิมานะนั้นมีด้วยกันอยู่ 4 ชนิด คือ
1.Shakuna Vimana
2.Sundara Vimana
3.Rukma Vimana
4.Tripura Vimana
(บางจารึกก็กล่าวว่ามันมีมากกว่านี้)
ในแผ่นต้นฉบับของวิมานะยัง ประกอบไปด้วยความลับในการสร้างยานบิน ซึ่งจะต้องแข็งแรงไม่แตกหัก ทนทานต่อไฟ และทำลายไม่ได้ และความลับการสร้างยานบินที่ล่องหนได้ การแอบฟังการสนทนากันของฝ่ายข้าศึก จับภาพของเครื่องบินข้าศึก การสอดแนมฝ่ายตรงข้าม การทำให้ข้าศึกสลบ และการทำลายยานบินของฝ่ายข้าศึก
ในต้นฉบับภาษาสันสกฤตของเดิม ได้มีการกล่าวอ้างถึงพระเจ้า(Gods) ทำการสู้รบกันบนท้องฟ้าด้วยวิมานะพร้อมกับอาวุธต่างๆที่มีอานุภาพร้ายแรง ดังเช่นใน มหากาพย์รามายนะ (Ramayana) ได้กล่าวไว้ว่า
"The Puspaka car that resembles the sun and belongs to my brother was brought by the powerful Ravan; that aerial and excellent car going everwhere at will….that car resembling a bright clound in the sky……. And the King[Rama] got in and the excellent car at the command of the Raghira, rose up into the higher atmosphere"
ในมหาภารตะ (Mahabharata) ของชาวอินเดียโบราณ กล่าวชื่อคนที่เป็นเจ้าของวิมานะไว้ด้วย คือ Asura maya ที่มีวิมานะที่ความใหญ่โตวัดได้โดยรอบเท่ากับ 12 ศอก มี 4 ล้อ มีจรวดมิซไซล์ เรียกว่า "Blazing Missile" และอาวุธทำลายล้างที่เรียกว่า "Indra" กับ "Dart" อาวุธเหล่านี้จะทำงานผ่านการควบคุมของสวิทซ์ที่เรียกว่า "Circular Reflector" ซึ่งเมื่อกดสวิทซ์ไปแล้ว ก็จะเกิดแท่งลำแสง (Shaft of light) เล็งไปยังจุดหมายที่ต้องการทำลาย แสงเลเซอร์ หรือ อาวุธนิวเคลียร์ นั่นเอง
ข้อความที่บันทึกไว้ "Krishna ได้ติดตามล่าข้าศึกที่ชื่อ Salva อยู่บนฟ้าแลัวจู่ๆ วิมานะของข้าศึกก็ได้ล่องหนหายไป และในทันนั้นเอง Krishna ไม่รอช้าจัดแจงยิงอาวุธพิฆาตออกไปทันที โดยอาวุธพิฆาตนี้จะทำการสังหารและทำลายเสียงใดก็ตาม ที่เล็ดลอดออกมานอกจากวิมานะของตัว Krishna เอง"
อาวุธต่างๆซึ่งพรรณนาเอาไว้มากมายในมหาภารตะ แต่ที่น่ากลัวที่สุดเป็นอาวุธที่เอาไว้ใช้สู้กับพวก Vrishis
ในมหาภารตะบทที่ 8 กล่าวถึงการทิ้งระเบิดลงจากวิมานะขนาดใหญ่โดยกุรคา ทำการบอมบ์เมืองของข้าศึก มีวิมานะที่บรรทุกอาวุธ มีวิมานะคุ้มครอง ลักษณะเหมือนเครื่องบินทิ้งระเบิด และเครื่องบินขับไล่คอยคุ้มครอง มหากาพย์กล่าวถึงเหตุการณ์นี้อย่างน่ากลัวว่า อาวุธนั้นก่อให้เกิดควันสีขาวที่ร้อนจัด มีแสงสว่างกว่าดวงอาทิตย์นับพันเท่า จนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเศษขี้เถ้าในพริบตา เมื่อกุรคานำวิมานะลงเคลียร์พื้นที่ วิมานะของเขาร้อนจัดจนมีสีคล้ายแร่พลวง..
" ราวกับว่าธาตุทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา ดวงอาทิตย์ลอยคว้างท่ามกลางแสงแห่งความร้อนของอาวุธนั้น โลกทั้งโลกราวกับตกอยู่ในกองเพลิง ช้างศึกร้องแปร๋แปร๋นลำตัวลุกเป็นไฟ วิ่งไปมาเพื่อให้พ้นจากความร้อนนั้น น้ำทะเลเดือดพล่าน ทหารฝ่ายข้าศึก ผู้คน สัตว์ต่างๆล้มตายกันเกลื่อนกลาด ซากศพกองพะเนินจนแยกเค้าร่างเดิมไม่ออก เราไม่เคยเห็นอาวุธเช่นนี้มาก่อน กระทั่งได้ยินยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน "
โทรณะปารวะ ฉบับพิมพ์ปี 1889
ในจารึกของ Mohenjodaro ที่พบในปากีสถานนั้นก็กล่าวถึงการบินของวิมานะว่าบินกันไปตลอดทั่วเอเชีย แอตแลนติส หรืออเมริกาใต้ ไปจนถึงเกาะอีสเตอร์ (Easter Island) ปรากฎอยู่ว่ามี โดยจากจารึกของเกาะอีสเตอร์ที่เรียกว่า Rongo เกาะอีสเตอร์เป็นท่าอากาศยานของอาณาจักรพระราม ใน Mohenjodaro ได้บรรยายว่า ณ โดมของวิมานะทางเดินผู้โดยสาร มีเสียงที่ไพเราะกล่าวประกาศขึ้นมาว่า"rama flight number seven for Bali, Easter Island, Nazka, and Atlantis is now ready for boarding. Passengers please proceed to gate number….
หรือ สายการบินพระรามเที่ยวที่หมายเลข 7 ที่จะไปบาหลี ? เกาะอีสเตอร์ นาซก้า และแอตแลนติส ตอนนี้พร้อมแล้วค่ะ เชิญท่านผู้โดยสารเดินไปที่ประตูได้เลยค่ะ" ข้อความนี้แปลมาจาก Rongo จารึกที่พบบนเกาะอีสเตอร์ ทางด้านทิเบตก็มีจารึก.. "Bhima flew along in his car, resplendent as the sun and loud as thunder….the flying chariot shone like a flame in the night sky of summer..it swept by like a comet..it was as if two sun were shining. Then the chariot rose up and all heaven brightened"
ในจารึก Mahavira of Bhavavhuti อายุราว 8,000 ปี หลังจากทำการแปลแล้วได้ความว่า มีการบรรทุกคนจำนวนหนึ่งไปยังอโยธยา ด้วยพาหนะที่บินได้ และบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยพาหนะเช่นนี้ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ กลางคืนสว่างดุจกลางวันด้วยแสงเหลืองนวลพราวท้องฟ้า เหมือนเป็นการอพยพผู้คนด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง
กลอนฮินดูโบราณ (ว่ากันว่าเก่าแก่กว่าของอินเดียทั้งหมดอีก) ชื่อว่า Vedas ที่บรรยายถึงวิมานะในรูปร่างต่างๆกัน เช่น Ahnihotra Vimana มี เครื่องยนต์ 2 ตัว แต่ Elephant Vimana มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น และวิมานะชนิดอื่นก็ตั้งตามชื่อสัตว์ต่างๆกันไป เช่น วิมานะนกกระเต็น (Kingfisher Vimana) หรือ วิมานะนกช้อน (Ibis Vimana)
ที่สุดของความรุ่งเรืองและวิวัฒนาการก็จบลง ดั่งเช่นมีคำว่า อุบัติ ก็ต้องมีคำว่า วิบัติ ท้ายที่สุด วิมานะ ก็ถูกนำมาใช้ในการสงคราม ชาว Atlantean หรือ Asvin ที่ชอบการศึกสงคราม และความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่สูงกว่า มียานบินที่เรียกว่า Vailixi มีรูปร่างคล้ายซิการ์ สามารถที่จะแล่นไปใต้น้ำได้เหมือนดังแล่นบนท้องฟ้า หรือแม้กระทั่งอวกาศ เข้าสู้รบกับ อินเดียโบราณที่มี Vimana เป็นอาวุธ และมีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่ด้อยกว่า
จากบันทึกของ Eklal Kueshana ได้เขียนหนังสือเรื่อง The Ultimate Frontier ใน ปี 1966 มีตอนนึงกล่าวว่า Vailixi ถูกสร้างและพัฒนาเมื่อ 20,000 ปีมาแล้วในแอตแลนติส โดยลักษณะหน้าตัดเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูพร้อมด้วยเครื่องยนต์ 3 ตัวข้างใต้ พวกเขาได้ใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าอุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้มถ่วงเป็นตัวขับโดยมี แรงม้าประมาณ 80,000 แรงม้า" มหาศาลมาก
ในมหาภารตะและรามายณะ ก็กล่าวถึงสงครามระหว่างพระรามและแอตแลนติส โดยใช้อาวุธเข้าทำลายล้างกันเมื่อประมาณ 10,000-12,000 ปีก่อนเอาไว้ด้วย สงครามที่เกิดขึ้นนั้นหนักหนาสาหัส เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีอาวุธมหาประลัยทำลายล้างด้วยกันทั้งสองฝ่าย จนกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ บางจารึกก็กล่าวว่าสมรภูมิรบบางทีก็เป็นบนดวงจันทร์ !
การสู้รบบนดวงจันทร์นั้นเพราะว่า เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่มีสาเหตุมาจากอาวุธนิวเคลียร์ แต่ภายหลังก็จบลงด้วยความพินาศของทั้งสองฝ่าย
ต่อมานักโบราณคดีได้พบ โครงกระดูกมากมายนอนเรียงรายอยู่ตามถนน บ้างก็กุมมือกันไว้เหมือนกับว่าโดนหายนะมาเยือนโดยฉับพลัน หรือไม่ก็รู้ว่าหนีไม่พ้น ทั้งยังตรวจพบรังสีจำนวนมากในโครงกระดูกนี้ และสถานที่รอบๆ กำแพงเมืองหินหลอมเป็นเนื้อเดียวกันเหมือนโดนความร้อนที่สูงมาก ไม่ใช่พบแต่ในอินเดียเท่านั้น ไอร์แลนด์ สก็อตแลนด์ ฝรั่งเศส ตุรกี ก็ยังพบปรากฏการณ์ที่ว่านี้อีกด้วย
ยังพบอีกว่าผังเมืองที่ว่าได้ถูกวางเอาไว้อย่างดี ระบบประปาก็ดีเหมือนดังที่ใช้กันในปัจจุบันทั้งในอินเดียและปากีสถาน และสำรวจต่อไปอีก พบเศษแก้วจับตัวกันเป็นก้อนดำๆ ซึ่งจากการนำไปวิเคราะห์ พบว่ามันเป็นเศษหม้อดินเหนียวที่ถูกความร้อนสูง เผาจนกลายเป็นลักษณะดังกล่าว และการหายไปของอาณาจักรพระรามของอินเดียโบราณ ก็เพราะสงครามครั้งนี้นั่นเอง จากนั้นโลกก็กลับกลายมาเป็นยุคหินอีกครั้ง และประวัติศาสตร์โฉมใหม่ของมนุษย์ชาติก็เกิดขึ้นมาอีกราว 2,000-3,000 ปีต่อมา
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องราวของวิมานะจะหายไปเสียหมด ยังมีปรากฎอยู่ในหน้าประวัติของพระเจ้าอโศก มีเรื่องราวของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้กรีฑาไพร่พลไปเข้ายังอินเดียเมื่อ 2,000 ปีล่วงมาแล้ว ก็พบเจอ "flying saucer" มาลอยอยู่เหนือกองทัพ แต่เจ้าสิ่งนั้นก็มิได้ปล่อยลำแสงหรืออาวุธอันใดออกมาทำร้ายยังกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์แต่อย่างใด และเป็นคาดกันว่า Vimana หรือ Vailixi อาจจะถูกซุกซ่อนอยู่ตามถ้ำในทิเบตหรือเอเชียตอนกลาง และทางตะวันตกของจีนก็เป็นได้
วิมานิกะศาสตรา ฉบับแปลตรงจากสันสกฤต
วิมานิกะ ศาสตรา อันลือลั่น แห่งซีกโลกตะวันตก ฉบับแปลตรงจากสันสกฤต เป็นบทสงครามด้วยอาวุธที่แปลออกมาจากต้นฉบับสันสกฤตของ Samarangana Sutradhara ยังได้จารึกไว้อีกว่า " วิมานะที่สร้างขึ้นนั้นจะมีความแข็งแกร่ง เบาเหมือนขนนกเวลาบิน และภายในมีเครื่องยนต์และอุปกรณ์ให้ความร้อนภายใต้ยาน โดยใช้หลักการขับเคลื่อนแบบลมหมุน ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางจนทำให้แรงดึงดูดถูกหักล้างไปเป็นศูนย์จนทำ ให้วิมานะนั้นลอยขึ้นมาได้ "
เป็นหลักการคร่าวๆของวิธี Anti-Gravitation " ซึ่งวิมานะนั้นก็จะสามารถลอยขึ้นลง เดินหน้าถอยหลังได้สะดวกดังใจของผู้ที่บังคับหรือควบคุมวิมานะอยู่ ใน Hakatha หรือ กฎหมายของชาวบาบิโลน (Laws of the Babylonians) ก็ได้มีบันทึกเกี่ยวกับความรู้และการบังคับยานพาหนะบางชนิดที่ลอยบนฟ้าได้ ซึ่งจารึกเอาไว้ว่าความรู้นี้เป็น "มรดกที่ตกทอดมาจากผู้ที่ลงมาจากท้องฟ้า "
จากการวิจัยและศึกษาของ D.hatcher Childress งานวิจัยที่เกี่ยวกับปรากฎการณ์แปลกประหลาดหรือ UFO ซึ่งสรุปเอาไว้ดังนี้ว่า อาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ต่างดาว , ความลับทางการทหาร , หรือจากชาวอินเดียโบราณ และชาวแอตแลนติส ซึ่งได้กล่าวเอาไว้อีกว่า ต้นฉบับจารึกเหล่านี้น่าจะเป็นเรื่องราวที่ได้จารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมาจากเหตุการณ์หรือเรื่องจริง และรายละเอียดของตัวอักษรหรือข้อความที่ได้จารึกเอาไว้ ยังมีจำนวนของต้นฉบับภาษาสันสฤตอีกมาก ที่ยังไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ
ทางด้านกษัตริย์อินเดีย พระเจ้าอโศกมหาราช (Emperor Ashoka) ก็ทรงมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับวิมานะ ซึ่งได้ก่อตั้ง Secret Society of Nine Unknown Men ขึ้นมาดำเนินการศึกษาเรื่องยานพาหนะเหล่านี้อย่างเป็นความลับกับนักวิทยาศาสตร์ของพระองค์ เพราะกลัวว่าความรู้และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขนาดนั้นจะนำไปสู่สงครามได้
และนำความรู้ที่ได้บันทึกเก็บเป็นหนังสือเก้าเล่มที่ชื่อว่า The Nine Unknown Men โดยเนื้อหาในหนังสือเหล่านี้จะเกี่ยวกับ ความลับของแรงโน้มถ่วง The Secret of Gravitation และวิธีควบคุมแรงโน้มถ่วง Gravity Control ตลอดไปจนเรื่องราวของวิมานะ
โดยตามจารึกแล้ว หนังสือเหล่านี้อาจถูกซุกซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในอินเดีย ในถ้ำ ตามทะเลทราย อเมริกาเหนือ หรือบางทีอาจจะมีชาติมหาอำนาจค้นพบไปแล้ว เรื่องพระเจ้าอโศก ก็ทรงทราบว่าเจ้าเครื่องมือและยานพาหนะเหล่านี้ เป็นเครื่องมือที่ใช้รบและทำลายล้างกันในยุคของอาณาจักรพระราม (Rama Empire) เมื่อหลายพันปีมาก่อน
เป็นสาเหตุที่ทำให้พระเจ้าอโศกทรงเก็บวิทยาการเหล่านี้ไว้เป็นความลับ และนำไปซุกซ่อนเสียเพื่อที่จะไม่ให้ประวิติศาสตร์ซ้ำรอย ซึ่งต่อมาจีนก็ได้ค้นพบนำจารึกเหล่านี้ไปทำการศึกษาและวิจัยอีกด้วยเหมือนกัน
อารยธรรมจานบินโบราณทั่วโลก
โฆษณา