13 ก.ค. เวลา 04:36 • นิยาย เรื่องสั้น

Ep. 29 > Part สีดำ

<“สีดำ” achromatic หมายถึง การไม่มีสี ในทางทฤษฎีไม่จัดว่าเป็นสี แต่ก็มีอิทธิพลต่อสภาวะอารมณ์
<เป็นตัวแทนของพลังอำนาจ ความโกรธ ความทุกข์ ความเศร้า ดื้อรั้น การมองโลกในแง่ร้าย การบังคับควบคุม ความมืด ความลึกลับ ความกลัว ความชั่วร้าย เศร้าหมอง ความตาย  [1]
<โดยทั่วไป ผู้หญิงจะมีความรู้สึกต่อสีไวกว่าผู้ชาย และลักษณะการบอดสี จะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง[2]
ความโกรธ:[☆]
<ความโกรธ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เป็นพันธุกรรม และอารมณ์ปกติ แต่เมื่อควบคุมไม่ได้ มันจะกลายเป็นพลังทำลายล้าง อาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ เช่น ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล [3]  คนที่มักโกรธง่าย มีการเลียนแบบบุคคลสำคัญหรือผู้ที่ใกล้ชิด
ปี 2550-2551
“ทะเลาะกันห้ามลงมือ”
เสียงป๊าของฉันพูดกับดี ป๊าของฉันมองจ้องเข้าไปนัยน์ตาของดี ด้วยน้ำเสียงราบเรียบกึ่งสั่ง กึ่งตักเตือน ฉันได้ยินคำนี้ด้วยหูทั้งสองข้างของฉันอย่างแจ่มชัดจากปากของป๊าวันแต่งงาน และได้ยินเสียงป๊าตะโกนก้องอีกครั้งในหูวันนี้ วันที่ฉันโดนทำร้าย
นั่นเป็นคำตักเตือนลูกเขยของป๊าที่หวงลูกสาว หรือคำพยากรณ์กันแน่นะ หรือป๊าอาจจะรู้หรือมองออกอยู่แล้วก็ได้ว่าวันนึงมันจะต้องเกิดขึ้น!!
ดีทำร้ายร่างกายของฉัน ต่อหน้าพ่อแม่ของเขาในบ้านของเขา ฉันรู้สึกอดสู ไร้ค่า ไร้ราคา ไร้เกียรติ ต่ำต้อย โดนดูถูก เหยียดหยาม และถูกหักหลัง ฉันถูกคนรักเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจนป่นปี้ ไม่เหลือชิ้นดี
ถ้าเปลี่ยนที่ยืนระหว่างฉันกับดี เช่น คนที่ทำร้ายดีเป็นฉัน และป๊าแม่ของฉันยืนอุ้มเคน อายุไม่เกิน 1.9 ปี ในวงแขน และเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ป๊ากับแม่ฉันจะห้ามปรามการทำร้ายร่างกายครั้งนี้หรือไม่? ฉันอยากรู้เสียจริง
ความเศร้า: [☆]
< ความเกลียด เป็นอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมีพัฒนาไปในทิศทางที่รุนแรงมากเกินจำเป็น จะต้องมีข้อมูลมากขึ้นกว่านั้น เพื่อจะเกลียดใครสักคน[4]
ใช่แล้ว ฉันเกลียด!!!
ทำไมฉันถึงยอมให้ เคน กลับไปกับดี อดีตสามี?
เพราะ ฉันรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้วว่า เงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่ซื้อข้าว น้ำมะพร้าว นมสด ไข่ไก่  ข้าวเหนียวที่ฉันกิน (ช่วงที่ฉันท้องฉันกินได้แต่ข้าวเหนียว ไข่เจียว) ตั้งแต่ตั้งท้องจนเคน อายุ 1.9 ปี นมผง ขวดนม จุกนม ผ้าอ้อม เสื้อผ้าเคน ผ้าอ้อมสำเร็จรูป และอื่น ๆ ทั้งหมดมันคือ “เงินของครอบครัวของดี อดีตสามีที่ฉันชิงชัง”
[☆] ความเศร้า (Sadness) กับความซึมเศร้า (Depression) ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของทั้งสองสภาวะได้
[☆] ความโศกเศร้า แสดงออกในรูปแบบของความเหงา ความเสียใจ และความอ่อนแอ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง การปรับตัว หรือใช้ความเข้าใจต่อบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นได้ อารมณ์เศร้าก็จะจางหายไปได้ตามกาลเวลา[4]
การมองโลกในแง่ร้าย: [☆]
< การมองโลกในแง่ร้าย เป็นการมองสถานการณ์ให้เลวร้ายเกินจริง ทำให้หมดกำลังใจ ไม่กล้าตัดสินใจ ย่อมเป็นวิธีการมองโลกที่ไม่สมบูรณ์
คืนที่ฉันโดนทำร้ายร่างกาย ฉันนั่งร้องไห้บนฟูกหกฟุต สายตาเหม่อลอยจับจ้องที่ตู้ไม้ใส่หนังสือสามชั้น สูงประมาณเอว สีส้ม ฉันขนตู้หลังนี้ย้ายมาบ้านดีด้วย หลังแต่งงาน
ตอนฉันตัดสินใจซื้อตู้หลังนี้มา จำได้ว่าวันนั้นขณะที่ทำงาน จัดเรียงเอกสารอยู่ ๆ ฉันก็อยากได้ตู้ใส่หนังสือขึ้นมา เมื่อเวลาเลิกงานมาถึง ฉันรีบขับรถฯ ไปร้านขายเฟอร์นิเจอร์ แล้วมาประกอบเองที่บ้าน
ตอนนั้นฉันเลือกทำแต่สิ่งที่ฉันชอบ ซึ่งฉันชอบแต่งหน้า จึงเลือกทำงานในบริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่ง ระหว่างทำงานฉันได้เรียนแต่งหน้าเจ้าสาว ได้แต่งหน้าตนเอง ได้ทดสอบใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทุกชิ้นเพื่อขาย มันแน่นอนอยู่แล้วที่ฉันต้องแต่งตัว ฉันในวันนั้นจึงดูดีกว่าฉันในวันนี้ราวฟ้ากับเหว
ตั้งแต่แต่งงานฉันสิ้นสุดอิสระทางการเงิน ความคิด ไร้ความสุข ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีความคล่องแคล่ว ถูกด้อยคุณค่า ห่างจากสังคมเพื่อนฝูง เก็บตัว พูดน้อยลงกว่าเดิมมาก บางวันฉันไม่พูดกับใครเลยเสียด้วยซ้ำ และตอนนี้ดวงตาของฉันเต็มไปด้วยน้ำตา มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรนะ??
ฉันยื่นมือเอื้อมเปิดตู้หนังสือสีส้ม ที่ตั้งเด่นอยู่ด้านหน้าของฉัน ภายในตู้สีส้มหลังนั้นมีของใช้ส่วนตัวของฉันก่อนแต่งงาน วางเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย น้ำหอม Tommy ขวดแก้วใสสี่เหลี่ยมทรงสูง แม้กลิ่นของมันจะชวนกระตุ้นอาการไมเกรนของฉัน แต่ฉันก็ยังยืนยันจะซื้อ และฉีดเกือบทุกวันที่ไปทำงาน
กระเป๋าถือ กระเป๋า Crossbody ทรง Wristlet กระเป๋าสตางค์ prada หนังสีส้มเงา แวววาวกระทบแสง รองเท้าแตะ Burberry สีดำคาดเทา แว่นสายตากรอบสีแดงดำ CALVIN KLEIN แว่นกันแดด นาฬิกาข้อมือ
นอกจากหนังสือนิยายมากมายที่ถูกห่อหุ้มด้วยปกพลาสติกใส วางรายเรียงเป็นอย่างดี และครีมขัดผิวยี่ห้อดังหลายกระปุกถูกวางเรียงซ้อนกัน อดีตฉันใช้เงินซื้อของพวกนี้ไปเท่าไรกันนะ?!
ฉันยอมให้คุณภาพชีวิตของตัวเองตกต่ำได้ขนาดนี้เพียงเพื่อผู้ชาย และความรักโง่ ๆ เท่านั้นเองนะหรือ? ฉันฉลาดได้เพียงเท่านี้เองหรือนี่? อุตส่าห์มั่นหน้ามั่นโหนกคิดว่าตัวเองฉลาดมาตลอด!! ฉันนี่มันช่างหน้าโง่เสียจริง!!
[☆] ผู้หญิงที่มีประสบการณ์ถูกสามีทำร้ายร่างกาย จำนวน 9 ราย มีความเหน็ดเหนื่อย น้อยใจ โกรธแค้น เกลียดชัง ต้องการก้าวออกไปจากความสัมพันธ์ รู้สึกสมน้ำหน้าตนเอง เสียดายเวลา และผิดหวังกับชีวิตที่ต้องตกต่ำ (คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552)[5]
[☆] เพศหญิงมักจะควบคุมอารมณ์โกรธได้ดี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางสังคม และวัฒนธรรมมากกว่า[6]
[☆] “ความโกรธ + สติ” จะช่วยเพิ่มทางเลือก หากสามารถจัดการกับเรื่องต่าง ๆได้อย่างเหมาะสม
[☆] นักจิตวิทยามองว่า ความโกรธแค้น ไม่ใช่ความโกรธ ต้องแยกกันอย่างชัดเจน
ความลึกลับ:
ค่ำวันนึง หลังเดือนกันยายน ปี 2553
“จี กูจะกลับบ้านคืนวันศุกร์นี้”
ฉันบอกจี ฉันพูดประโยคนี้ทันทีที่รับโทรศัพท์จี ฉันไม่ได้กล่าวทักทายอะไรจีเช่นทุกครั้ง
หลังการทำร้ายร่างกาย ฉันทบทวนสิ่งที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นกับชีวิตฉัน และชีวิตคู่ของฉันอยู่หลายครั้งหลายหน จนมั่นใจอย่างหนักแน่นว่า “ฉันไม่ต้องการมีดี ในชีวิตของฉันอีกแล้ว” ถ้าฉันพึ่งเขาฉันต้องถูกดูแคลน ดูถูกเหยียบย่ำเช่นนี้อีกกี่ครั้ง?
ถ้าฉันอดทนมากกว่านี้ ชีวิตของฉันจะเป็นอย่างไรกันนะ? ถ้าฉันอายุมากกว่านี้ฉันจะรับมือกับชีวิตที่ล้มเหลวได้ไหมนะ? เคนคือหลาน แต่ฉันคือคนอื่น ฉันจะพึ่งเขาหรือ? ฉันจำเป็นต้องพึ่งคนอื่นจริง ๆ หรือ? ฉันรับไม่ได้!!
“จริงนะ กูจัดการให้!!”
จีตอบฉัน
วันที่ฉันบอกจีว่าจะกลับบ้าน จียังไม่รู้เรื่องการทำร้ายร่างกาย ฉันยังไม่กล้าบอก เพราะมีความหวังอยู่นิดนิดว่า ถ้าดี ยอมให้เคนอยู่กับฉันที่บ้านป๊า วันใดที่ดีคิดถึงเคน สามารถมาหาเคนได้ตลอดเวลา ครอบครัวของฉันจะได้ไม่แสดงอาการไม่ดีกับครอบครัวของดี ถ้าวันนั้นที่ฉันหวังไว้มีจริง ฉันจะได้ไม่ลำบากใจมากนัก
จี ย้ายไปอยู่ต่างประเทศอย่างถาวรได้ปีกว่าแล้วกระมัง ระยะนี้ฉันกับจีคุยกันมากกว่าตอนที่เราสองคนอยู่ร่วมบ้าน ร่วมคอนโดฯ กันเสียอีก จีรับรู้ปัญหาชีวิตคู่ของฉันกับดีมาเป็นระยะ ๆ
ที่ผ่านมาฉันกับจีเราสองพี่น้องเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ยังเล็ก และหนักข้อขึ้นมากช่วงวัยรุ่น แต่ทั้งฉันและ จี เราสองคนจะสามัคคีกันมากเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังมีภัย
ค่ำวันพุธ หลังเดือนกันยายน ปี 2553
“คิดถึงแม่” ฉันบอกดี
ฉันบอกกับดีว่า อยากกลับบ้านพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดสักพัก ฉันไม่ได้โกหกแต่แค่บอกไม่หมดเท่านั้น
ฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่กลับมาที่บ้านนี้อีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขอแค่ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก แลกกับอะไรก็ได้ ฉันยอม และฉันก็แลกจริง ๆ ดังใจคิด
“ก็กลับสิ เอาเคนไปด้วยไหม?” ดีถามฉัน
“เอา” ฉันตอบ
“จะกลับมาอีกใช่ไหม? ถ้าไม่กลับพี่ดีจะไปรับกลับ? ดีบอกฉัน
“...” ฉันเงียบไม่ตอบ
[☆] มองเห็นแต่จุดด้อยของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมักเกิดขึ้นจากความกังวลจนเกินเหตุ แต่วิธีคิดแบบนี้มีจุดแข็งก็คือ ทำให้เกิดการเฝ้าระวังในสิ่งที่กำลังคิดหรือทำอยู่ แต่จุดอ่อนก็คือ หากวิตกมากเกินไปก็ทำให้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมสิ่งดี ๆ [7]
ความกลัว:
พฤศจิกายน 2553
เพียง 7 วันที่ฉันพาเคนมาอยู่บ้านป๊ากับแม่ ดี โทรศัพท์หาฉันทั้งวัน โทรฯ เกือบทุก 2 ชั่วโมง เหมือนดีรู้เป็นนัยๆ ว่าฉันจะไม่กลับไปที่บ้านนั้นอีก
การคุยกันแต่ละครั้งดี บอกรักฉัน แต่อีกสักพักเขาก็บอกเลิก และอีกครั้งก็ขู่จะพาเคนกลับไป ฉันกลัว [☆] กังวล และเครียดเหลือเกิน ฉันนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว
คืนที่ 7 คืนสุดท้าย ความอดทนของฉันก็สิ้นสุดลง จึงบอกให้ดีมารับเคน กลับบ้านเขาไปได้เลย ฉันตัดสาย เก็บข้าวของ ฉันกอด หอม เล่นกับเคนให้มาก และนานที่สุด คืนนั้นฉันก็ไม่ได้นอนเหมือนทุกคืน แต่คืนนี้ฉันร้องไห้ด้วย
[☆] ความกลัว “insecure” คือ ความรู้สึกว่าตนเองไม่มั่นคง ไม่มีปลอดภัย ซึ่งทางจิตวิทยา สภาวะ insecure ที่เกิดขึ้นกับจิตใจก็คือสภาวะที่มีความรู้สึกขาด โหยหา ไม่มีความมั่นใจ หรือการที่ไม่สามารถที่จะรับมือกับอะไรที่ไม่ชัดเจนได้
[☆] แก้ความกลัว โดยการ ฝึกการเท่าทันความรู้สึกของตัวเอง ใช้เทคนิค “Name it to tame it.” เพราะเมื่อมีอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้น มักมาคู่กันกับความคิด หากปล่อยให้ความคิดนำไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะความฟุ้งซ่าน อารมณ์ทางลบก็จะขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ และนำไปสู่การมีพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก และสติจะช่วยให้สามารถควบคุมความคิด และพฤติกรรมได้ [8]
ความชั่วร้าย:[☆]
เช้าตรู่ วันที่ 8 ฉันนำของใช้เคน วางไว้ที่หน้าประตูบ้าน ฉันชงนมเตรียมความพร้อมเผื่อเคนนั่งรถฯ นานจะร้องไห้หิวนม
ประมาณ 7.00 น. ดีกับพ่อของดีมารับเคน พร้อมนำตุ๊กตากระต่ายสีขาว กับไม้ไฟกระพริบวูบวาบรูปหัวใจสีแดงติดมือกันมาด้วย
ดีและพ่อของดีส่ายของเล่นกับตุ๊กตาในมือไปมาเรียกร้องความสนใจจากเคน ได้ผลดีเสียด้วย
สายตาของเคนจ้องไปที่ของเล่นในมือดี เคนชูมือทั้งสองข้าง เดินเข้าหาดีอย่างสนุกสนาน ชูมือหยิบของเล่น พ่อของดีโน้มตัว ยื่นมือฉวยอุ้มเคนไว้แนบอกอย่างเร็วพลัน ฉันยืนแน่นิ่งมองเคนที่เดินไปหาดี ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แขน ขาของฉันเหมือนจะอ่อนแรง และจุกในอก
“ถ้ามึงเอาเคนไปจากกู เราสองคนขาดกัน” ฉันยื่นคำขาด
ฉันกับเคนกอดกันแน่น เคนกำเสื้อใช้นิ้วมือบีบไหล่ฉันเบา ๆ เหมือนเคนและฉันรู้กันดีว่า วันนี้จะเป็นวันที่เราแม่ลูกต้องจากกันตลอดกาล แขน ขาของฉันไร้เรี่ยวแรง ดวงตาร้อนผ่าว ฉันเริ่มควบคุมสีหน้าของตัวเองไม่ได้ เพราะหัวใจของฉันแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“จะทนได้เหรอที่จะห่างจากลูกอ่ะ? หวงลูกจะตาย รักลูกขนาดนี้ทนไม่ไหวหรอก!!”
ดีโน้มตัวลงมาพูดกับฉันข้างหูด้วยเสียงเบา ๆ และสีหน้ายิ้มแย้ม เอื้อมมือดึงฉันไปกอด ลูกผมแล้วจูบลงบนหน้าผากของฉัน ช่างเป็นภาพการจากลาที่น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน
ดียกมือฉวยเคนที่แขนพ่อของดี แล้วอุ้มเคนเดินไปรถฯ ที่จอดอยู่หน้าบ้านฉันอย่างช้า ๆ พรางหันมามอง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กึ่งยิ้มเยาะ เหล่ตามองฉันอย่างผู้ที่มีชัยที่เหนือกว่า ฉันหันหลังกลับเข้าในตัวบ้านป๊า ฉันเดินขึ้นห้องนอน กลัวกลั้นน้ำตาไม่ทัน
[☆] ทำไมคนรักกันฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบอกเลิก อีกฝ่ายหนึ่งจึงตอบแทนด้วยความรุนแรง นักจิตวิทยาได้ศึกษาโดยย้อนหลัง ไปยังวัยทารกช่วง 2-3 ปีแรกของชีวิต ความอบอุ่นจากแม่ ทำให้เด็กพัฒนาความรู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่าเพียงใด ความรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเอง และความไว้วางใจในตัวผู้อื่น ซึ่งจะติดตัวมาจนเป็นผู้ใหญ่[9]
เศร้าหมอง:
ปกติเคนติดฉันมาก เคนเคยเป็นโคลิคร้องไห้หน้าดำหน้าแดงหลายชั่วโมง ตั้งแต่ 20.00 น. -4.00 น. เวลาเคนมีอาการทุกคนในครอบครัวดีต่างแยกย้ายเข้าห้องตัวเอง ไม่เว้นแม้กระทั่งดี
ฉันต้องอุ้มเคนเดินไปมาในบ้าน กอด ชวนคุย ชวนเล่น อุ้มกล่อมนอนให้เคนนอนในอกฉัน บางคืนเคนร้องไห้หนักจนสีหน้าไม่ค่อยดี ฉันจะอุ้มไปเดินข้างนอกบ้าน บางคืนดีก็จะเดินไปด้วย แต่ไม่นานก็ชวนเข้าไปกล่อมเคนในบ้าน ให้เหตุผลว่าดีจะได้ดู tv หรือนอนหลับต่อ ฉันก็ไม่ได้ขัดอะไร
บางคืนเข้าบ้านได้ครู่เดียว เคนก็ร้องไห้หน้าตาแดงกร่ำจนท้ายที่สุด ฉันก็ต้องอุ้มเดินไปมาในหมู่บ้านอยู่นานหลายชั่วโมง กว่า เคนจะหยุดร้องไห้ และหลับไป ทุกวันกว่าอาการจะดีขึ้นก็เป็นเวลาเช้าพอดี เคนมีอาการแบบนี้อยู่นานสักพักใหญ่ กว่าหายปกติ
เคนติดฉันถึงขนาดฉันเข้าห้องน้ำนานไม่ได้  ฉันต้องเปิดประตูห้องน้ำ หรืออุ้มเคนไปในห้องน้ำด้วย ไม่อย่างนั้นเคนจะร้องไห้เสียงดัง ทุบประตูห้องน้ำตลอดเวลา ตอนนั้นฉันก็ทนฟังเสียงร้องไห้ของเคนไม่ได้เสียด้วย ทุกครั้งที่เคนร้องไห้หนัก ๆ ฉันก็จะร้องไห้ด้วย เหมือนหัวใจฉันจะขาด
“เคนจะคิดถึงหม่าม้าบ้างไหมนะ?”
ตั้งแต่ที่ดีพรากเคนไปในเช้าวันนั้น หลายครั้ง หลายวัน หลายปี ฉันไม่สามารถนับได้เลยว่าฉันคิดแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว
ฉันสงสัยเสียจริง เวลานั่งรถยนต์เดินทางกลับบ้านดีจะใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ เคนจะร้องไห้หาฉันบ้างหรือไม่? จะมีสักครั้งไหมที่เคนงอแง เพราะคิดถึงฉัน? หรืออาจจะไม่เคยคิดถึงฉันเลยก็เป็นได้!!
เคน อายุเพียง 1.9 เดือน เคนยังเด็กมาก เล็กมากพอที่จะลืมฉันในทันทีที่ไม่พบหน้า ฉันน้อยใจจนร้องไห้เศร้าโศกหลายครั้ง จนฉันเริ่มริษยา และชิงชัง
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ดีกล่าวทันทีที่ฉันรับสายสนทนา
ฉันรับโทรศัพท์จากดี เพราะฉันมีความหวังว่าดีจะโทรฯ มาบอกฉันว่า “เคนร้องไห้ตลอดทางเลย” เป็นครั้งแรกที่ฉันอยากเห็นเคนร้องไห้ แต่ก็ไม่ใช่ประโยคที่ฉันแอบหวัง
“ไม่มี”
ฉันตอบ พร้อมตัดสายทันที ที่พูดจบ
ประมาณ 18.00 น. ช่วงเย็นวันเดียวกันที่มารับเคน ดีโทรศัพท์หาฉันเพื่อคุยหรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ฉันไม่มีเรื่องต้องคุยอะไรอีก ฉันตัดสาย ฉันกับดีขาดกันดั่งคำที่ออกจากปากของฉัน ที่บอกดีไปเมื่อช่วงเช้า
ดีโทรศัพท์หาฉันบ่อยครั้ง หลายสาย และนานอยู่หลายวัน ฉันจึงตัดสินใจเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ ฉันไม่อยากคุย ไม่อยากรับรู้ และไม่อยากได้ยินเสียงของดี ฉันก็เพิ่งจะรู้นิสัยของตัวฉันเองว่า “ฉันค่อนข้างเป็นคนเด็ดขาดอยู่เหมือนกัน”
หลายวันต่อมา ป๊า แม่ และฉัน กำลังนั่งคุยกันที่โต๊ะทำงานในห้องรับแขกชั้น 1 ของบ้าน  ดี โทรศัพท์เข้ามาที่หมายเลขโทรศัพท์มือถือของป๊าฉัน
“ขอคุยกับเตี้ยหน่อย”
ป๊าตะโกนบอกฉัน ว่าปลายสายพูดว่าอะไร
“ไม่คุยค่ะ” ฉันตะโกนกลับไป คาดหวังให้ปลายสายได้ยินเสียงฉันในทันทีเช่นกัน
“เตี้ยมีความลับอะไรไม่บอกป๊าเยอะแยะ !แล้วเตี้ยทำอะไรไว้บ้าง? ถ้าเตี้ยไม่มารับโทรศัพท์มือถือ ดีจะฟ้องป๊าให้หมดเลย”
ป๊าตะโกนบอกฉัน ว่าปลายสายพูดว่าอะไรบ้าง!!
“ป๊าวางเลยค่ะ เดี๋ยวหนูเล่าให้ฟังเอง”
ฉันตะโกนกลับไป คาดหวังให้ปลายสายได้ยินที่ฉันพูดในทันทีเช่นเดิม
“ไม่ฟัง ๆ เดี๋ยวเตี้ยจะเล่าให้ฟังเอง ไม่ต้องโทรศัพท์มาแล้ว เตี้ยไม่รับยังไงก็ไม่รับ”
ป๊าบอกปลายสาย แล้วป๊าก็วางสายทันที
ช่วงนี้ฉันค่อนข้างโล่งหู เพราะดีไม่ได้โทรศัพท์มารบกวนฉัน ทางหมายเลขโทรศัพท์มือถือของป๊าแล้ว แต่ดีเปลี่ยนช่องทางเป็นเข้าทางเพื่อนเสียส่วนมาก ฉันจึงเลิกคบเพื่อนทุกคนที่รู้จักดีหรือทุกคนที่เอาเรื่องดี และเคนมาบอกฉัน
เวลาผ่านไปนานวันหลายปีฉันและเพื่อนกลุ่มนี้ก็ทยอยกลับมาคุยกันเหมือนเดิม แต่มีเพียงฉันที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ต้องขอโทษจริง ๆ
ไม่ต่ำกว่า 3 ปีจากการพลัดพราก ฉันทุกข์ทน ร้อนรน โศกเศร้า กับความคิดถึง เกือบทุกคืนจะสะดุ้งตื่นทุก 2 ชั่วโมง ตามเวลาป้อนนมเคน  จมูกได้กลิ่นตัว กลิ่นนมผงของเคนตลอดวัน ฉันคิดถึงเคนจนนอนร้องไห้
หลายครั้งที่เห็นเด็กผู้ชายวิ่งหกล้ม หรือเกิดอุบัติเหตุ ฉันพุ่งตัวไปรับเด็กอย่าทันท่วงที พ่อ แม่เด็กบอกขอบคุณกับฉันกันยกใหญ่ ฉันยิ้มรับรีบหันหลังเดินกลับไปที่นั่งเดิม และร้องไห้ในใจ แม้ผ่านไปหลายเดือน หลายปีดูเหมือนน้ำตาของฉันก็ยังไม่หมดเสียที
บางวันที่ฉันอยากร้องไห้ ฉันมักจะร้องไห้บนห้องนอน ในรถยนต์ขณะขับไปหาเพื่อนหรือไปที่ต่าง ๆ หรือร้องไห้ในห้องน้ำขณะอาบน้ำ ในวันที่ต้องไปเรียนต่อ ไปทำงาน ไปบ้านเพื่อน ไปร้านอาหาร การร้องไห้ในห้องน้ำเป็นทางเลือกที่ดีของฉันในเวลานั้น
เมื่อไรที่น้ำตาเริ่มเพลา ๆ บ้างแล้ว ฉันก็เดินออกจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเช่นปกติทุกครั้ง ทุกคนที่รู้เรื่องของฉันมักจะบอกว่า “ฉันเข้มแข็ง” มันไม่ใช่เลย ฉันแค่พยายามเข้มแข็งทุกครั้ง
คืนไหนที่นอนหลับได้ ฉันก็ยังจะฝันเรื่องดี ที่พรากลูกรักของฉันไป ความเสียใจก็เข้ามากระทบจิตใจของฉันอย่างรวดเร็ว และยาวนาน ฉันฝันร้ายวนไปมาแบบเดิมซ้ำ ๆ  กันหลายปี เมื่อตื่นจากฝัน ฉันจะหดหู่ และเศร้าหมอง จิตใจขุ่นมัว ฉันเป็นแบบนี้นานทีเดียว
ทุกเดือนเกิดของเคน ฉันจะเจ็บหน้าอก จุกอก เหม่อลอย เครียด เศร้า จิตตกหนักกว่าทุกวัน ถึงปลายเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นเดือนที่ดีพรากเคนไปจากฉัน ความสุขใด ๆ ที่ฉันพยายามสร้างมันขึ้นมาอย่างมุ่งมั่น  ตั้งใจมันมักจะลดลงเสมอ ปีที่ 8-9 จนฉันเริ่มจะชิน
9 ปีมานี้ บ่อยครั้งฉันมักซื้อเสื้อผ้า เล่นกับลูกเพื่อนสนิท กอด หอม อุ้ม เพื่อบรรเทา แบ่งเบาความคิดถึงของฉันที่มีต่อเคน ฉันคาดหวังว่าเวลา และหลาน ๆ ของฉันจะช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำของฉันได้บ้าง วิธีนี้ก็ได้ผลดีทีเดียว
15 ปี ผ่านมาแล้ว อาการเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน มันยังคงอยู่! ฉันยังมีอาการอยู่! ฉันยังรู้สึกเจ็บช้ำอยู่! แต่ก็เลือนรางลงเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา!! ความทรงจำเรื่องการพลัดพราก เป็นเสมือนแผลเป็นใหญ่ ๆ ในใจของฉัน เมื่อไรก็ตามที่มีคนมาสะกิดใจ มาจี้ใจดำ ฉันก็จะเจ็บปวดใจอีกครั้ง…
ฉันเคยอิจฉาดีที่ได้อยู่กับเคนคนที่ฉันรักมากที่สุดในโลก ฉันริษยาดีที่มีช่วงเวลาดีและไม่ดีกับเคน ได้เห็นพัฒนาการ ได้ดูการเจริญเติบโตแต่ละช่วงวัยของเคน ในขณะที่ฉันทำได้เพียงตามแอบดู social network ของดี และพวกแฟนใหม่ ๆ ของเขาเท่านั้น ฉันทั้งแค้นเคือง ริษยา รังเกียจ และชิงชัง
ฉันเคยอยากทำร้ายดีกลับบ้าง อยากฟ้องร้อง อยากทวงสิทธ์ แต่ฉันไม่อยากให้เคนอยู่ในจุดนั้น ถ้ามองกันในแง่ดีการที่เคนอยู่กับฝั่งดี เคนจะมีความเป็นเด็ก จะได้สนุกสนานตามวัย มีเพื่อนเล่น ไม่มีการกดดัน และมีอิสระ
แต่ถ้าเคนอยู่กับฉัน ๆ อาจจะให้สิ่งพวกนั้นกับเคนได้ไม่มากนัก เพราะฉันต้องทำงาน ต้องจริงจังกับชีวิต ต้องสร้างอนาคต เพราะฉันเสียเวลาในชีวิตมานานเพียงพอแล้ว
<การแก้แค้น จะก่อให้เกิดการแก้แค้นกลับเป็นวงจร นักจิตวิทยา ค้นพบ ช่วงเวลาแรก ๆ ผู้แก้แค้นจะรู้สึกดี เพราะจะมีระบบรางวัลในสมองจะทำงาน แต่ที่สุดแล้ว การแก้แค้นไม่ได้ทำให้รู้สึก ‘หายเป็นปรปักษ์’ กับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ฉันกลัวจะเสียแรงเปล่า[10]
ฉันตระหนักอยู่แก่ใจเป็นอย่างดีว่า “ถ้าฉันเกลียด ชิงชังไปดีมากกว่านี้ ดีจะดูมีคุณค่ากับฉันเกินความจำเป็น” ฉันเลือกวิธีแก้แค้นดีที่ฉันเป็นผู้ได้ประโยชน์ คือ ฉันจะพัฒนาตัวเองให้มากเพียงพอจนคู่แข็งของฉันต่ำต้อยไปเอง มันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของฉัน
"เวลาก็ทำร้ายมึงเนอะ” ฉันแอบพูดเหน็บแนมดีเมื่อเจอกันครั้งแรกหลัง 10 ปีผ่านไป
ดียืนอยู่ที่เดิม เหมือนเดิม จุดเดิม ร่างกาย โรยลา ผมบางจนเห็นหนังหัว ปากคล้ำ ผิวดูหยาบขึ้น หน้าหมองไม่สดใส ผิวคล้ำ ก่ำแดด แลดูมีอายุขึ้นมาก และมีโรคประจำตัว
ความตาย:
ปีนี้ 2024 ครบรอบ 16 ปี กับพลังงานด้านลบของฉัน ดูจากระยะเวลาที่เกิดเรื่องราวทั้งหมดเป็นเวลาที่สวยงามในการอภัย จบความชิงชังที่ฉันและดี ช่วยกันก่อขึ้นทั้งหมด ฉันไม่โทษว่าเป็นความผิดของใครเป็นพิเศษ เพราะอย่างไรเสีย ฉันเองเป็นผู้เลือกทุกอย่างในชีวิต
ฉันกรวดน้ำ สวดมนต์แผ่เมตตาให้ดีอยู่เสมอ ฉันเลือกอโหสิกรรมแก่ดี เพราะฉันกลัวเหลือเกินที่จะต้องเจอกันในชาติหน้าอีก ดีเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว ปลายเดือน พฤศจิกายน ซึ่งเป็นเดือนในการพลัดพรากของฉัน
สีดำเป็นสีที่ “ดึงดูดพลังงานด้านลบ” หากใช้มากเกินไปจะทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ และสามารถสร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตร การครอบงำ และ “การสิ้นสุด”[11]
🧊🧊🧊
บันทึกเรื่องสั้น “ดราม่า” แฝงความรู้จิตวิทยาเล็กน้อย
ขอฝากกดติดตาม กด Like และแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ฉันด้วย
ขอบคุณค่ะ 🙏
🧊🧊🧊
สองทุ่มสิบ ♧ 20.10
นามปากกา♧ ทรงศรี (SONGSI)
LINE 🆔️ ♧ 2010_songsi
โฆษณา