13 ก.ค. เวลา 10:04 • ปรัชญา

อย่าค้ากำไรเกินควรกับคนที่เรารัก

คำพูดที่ทั้งคนพูดและคนฟัง
เจ็บมากที่สุดคำหนึ่งในครอบครัว
คือการตั้งคำถามลอยๆว่า
…ทำไมลูกหลานฉัน ไม่เป็นแบบคนโน้นคนนี้เขา….
คนพูด เพราะคิด มันก็เจ็บ ก็คือพ่อแม่ คนเลี้ยงดู
คนฟัง คือเด็ก หรือแม้แต่โตแล้ว มันก็ยิ่งเจ็บ
…เราทุกคนรู้ว่ามันไม่ควรพูด แต่หลายคนก็อดไม่ได้…
…บางครั้ง มันอาจไม่ใช่การพูดตรงๆ แต่การชมคนอื่นแบบ
มีความคิดลักษณะนี้แอบแฝง มันก็มีให้เห็นบ่อย….
คนพูด อาจมองว่าเป็นความหวังดี
อยากให้คนในปกครอง มีตัวอย่างที่ดีให้เห็น
บ้างก็มองว่าสร้างแรงผลักดัน แรงบันดาลใจ
…แต่เชื่อเถอะ ลึกๆแล้ว มันมาจากคำเดียว
คือ “ความหวัง” ที่มีต่อคนภายใต้การปกครองมากที่สุด ….
ในความคิดผม เราไม่ควรค้ากำไรเกินควร
กับคนที่เรารักหรือห่วงใยจริงๆ
ความหมายของผมคือ เราไม่ควรหวังมากกว่าสิ่งที่เรา
ได้ลงทุนลงไปให้พวกเขา
ทุน ถ้าสำหรับเด็ก มันก็คือ เงินทอง เวลา ความใส่ใจ
…คุณให้เขาไปแค่ไหนล่ะ ? ….
นั่นคือคำถาม ที่ผู้ปกครอง ควรตั้งคำถามกับตัวเองให้มาก
ก่อนจะไปตั้งเป้าความหวังกับเด็กๆของคุณ
หรือเอาแต่ดุด่า เมื่อเขาทำให้ผิดหวัง
แน่นอน มันควรจะมีผลกำไรกลับมาบ้าง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไปตั้งเป้าเลิศลอย เกินสิ่งที่ลงไปให้เขา
หลายเท่าจนเกินไป
และทุน สำหรับคนใต้ปกครองที่มีอายุมากขึ้นมา
ก็อาจหมายถึง ทั้งทุนจริงๆและโอกาสต่างๆ ที่จะยื่นให้เขา
เชื่อไหมว่า เรื่องนี้มีผลมากกว่ากรณีของเด็กๆอีก
ผมสังเกตรอบตัว เห็นมาพอสมควร กับคนที่ถูกเรียก
ว่า “แกะดำ” ในบ้านที่มีพี่น้องหลายคน
พอไปดูปูมหลังจริงๆ พวกนี้มักมีปัญหาแบบนี้
ทางใดทางหนึ่ง คือ ไม่ค่อยมีโอกาส หรือขาดอะไรที่ควรมี
ก็เลยทำตัวประชดสังคม จนกลายเป็นแกะดำไป
มีกรณีนึงที่ผมเคยเห็นจากคนใกล้ตัว
คือ พี่ชายเขาใช้ทรัพยากรที่บ้านไปจนหมด
แล้วประสบความสำเร็จ
พอมาถึงรุ่นคนน้องต้องใช้บ้าง พ่อแม่ไม่เหลือให้แล้ว
ก็เลยต้องทำงานต๊อกต๋อยไปวันๆ
พ่อแม่ก็ชอบไปเปรียบเทียบเขากับพี่ชาย
พี่ชายเองก็ไม่เคยสำนึกว่าแย่งโอกาสน้อง แล้วยังไปกดมัน
สุดท้ายไอ้น้องก็สติแตก นิสัยเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เสียงานไปในที่สุด เพราะรับแรงกดดันและน้อยใจไม่ได้
…และสุดท้าย ก็กลายเป็นแกะดำไป….
จริงอยู่ ในสังคมมีคนเก่งหลายคน ที่มาจากศูนย์
แล้วประสบผลสำเร็จสูงโดยไม่พึ่งใครเลย
แต่ถ้าเราคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ล่ะ มันมีเท่าไหร่กัน
ผมไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่ไม่น่าถึง 5% หรอก
เชื่อไหม แม้แต่คนต่างจังหวัดที่ใช้แรงงานหลายคน
ที่เราดูว่าเขาไม่มีอะไร แต่สุดท้ายเมื่อจะลงทุนทำอะไร
ถ้าที่บ้านยอมให้เอาที่ดิน ที่นา ไปเป็นหลักทรัพย์ทำทุน
พวกนี้ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จที่สูงกว่าคนไม่มีอะไรเลย
เห็นชัดที่สุดคือคนใต้ ที่มักมีสวนยางอยู่เบื้องหลัง
ความสำเร็จของธุรกิจฉากหน้าอยู่เสมอ
มันเยอะมากจริงๆที่ผมเห็นเป็นแบบนั้น กับเพื่อนกลุ่มนี้
ผมมีลูกน้องเก่าคนนึง คนนี้อีสาน อยากเปิดร้านทำงานเหล็ก
ต่างๆ ตามที่เค้าสะสมประสบการณ์มา ก็เอาที่นาค้ำกู้เงิน
เพื่อมาเช่าล็อกเล็กๆทำ จนวันนี้ขยายใหญ่โตไปแล้ว…
…และความจริง การสนับสนุนของครอบครัวนี่แหละ
คือกุญแจสำคัญที่สุด ในการประสบความสำเร็จ
ของคนไทยเชื้อสายจีนส่วนมากในปัจจุบัน …
มันค่อนข้างเห็นได้ชัดนะ ว่าทุนจากทางบ้าน
มีผลขนาดไหนกับความสำเร็จของคนเรา…
อย่างที่บอกแหละ คนไม่พึ่งใครเลย
แต่ประสบผลสำเร็จมันมี แต่น้อย
เมื่อมันเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อย ถ้ามองแบบการลงทุน
ก็คือความเสี่ยงที่มากที่ชีวิตคนที่เรารักจะพัง
หากเราจะไม่ลงทุน หรือให้โอกาสพวกเขา
ที่สำคัญ คือเราไม่ควรเอาคนเปอร์เซ็นต์ที่น้อย
มาตั้งเป็นธง เพราะมันเป็นไปได้ยาก สำหรับคนส่วนมาก
และผลสุดท้ายถ้าทำแบบนั้น ความกดดันจะทำลายพวกเขา
มากกว่าผลักดันพวกเขาไปข้างหน้า อย่างที่เข้าใจกัน….
ทุน อาจไม่ใช่แค่ทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว
ความรัก ผมเชื่อว่าผู้ปกครองมีให้
แต่ความเข้าใจ ก็เป็นทุนที่สำคัญมากไม่แพ้กัน
หลายคนไม่เข้าใจลักษณะงานบางอย่าง
ก็ไปด่าว่าเขา ว่าทำไมต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้
รัก ตั้งความหวัง แต่ไม่เข้าใจ นี่คือสิ่งอันตราย
หลักฟิสิกส์ มันมีว่าแรงกริยา เท่ากับแรงปฏิกริยา
หลักศาสนาพุทธ มีคำว่ากฎแห่งกรรม ทำอย่างไรได้อย่างนั้น
หลักการลงทุน คือ ทุนต้องสัมพันธ์กับกำไร จึงจะมั่นคง
เมื่อกฎในโลกทุกอย่างชี้ชัดแบบนั้น…
…มันก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะต้องไปตั้งความหวังกับใคร
ให้สูงมากกว่าสิ่งที่เราทำให้เขานั่นเอง …
…อย่าค้ากำไรเกินควรกับคนที่รักครับ ….
โฆษณา