13 ก.ค. เวลา 08:52 • ครอบครัว & เด็ก

เส้นทางการเรียน ที่เลือกไม่ได้

บทนี้จะพูดถึงเส้นทางการเรียนที่เราไม่สามารถเลือกได้ ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในการเรียน ภายใต้สาขาวิชาการเรียนที่เราไม่ชอบ
ก่อนที่จะเล่าสู่เรื่องการเรียนสมัยชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นสู่ใบปริญญาที่ได้มาอย่างยากลำบาก (ใจ) นั้น ผู้เขียน ขอเล่าประวัติครอบครัวคร่าว ๆ กันก่อนนะค่ะ ผู้เขียนเป็นเด็กบ้านนอกต่างจังหวัดเล็ก ๆ ในภาคใต้ ครอบครัวมีอาชีพเกษตรกรรม
(ยางพารา ส่วนใหญ่) ทำสวนผสม มีกาแฟ ยางพารา ส่วนผลไม้ เงาะ ลองกอง บ้างประปราย ฐานะทางครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย พอมีพอใช้ ครอบครัวมีบุตร 4 คน ผู้เขียนเป็นบุตรคนสุดท้อง (คนที่ 4) มีพี่ชาย 2 คน พี่สาว 2 คน บ้านเป็นบ้านสวน อยู่ห่างจากถนนเพชรเกษมประมาณ 3 – 4 กิโลเมตร แม่เคยพาผู้เขียนเดินเท้าจากบ้านเพื่อมาซื้อของหรือขายของที่ตลาด
คิดแล้วตอนนี้คงเดินแบบนั้นไม่ไหวโรงเรียนที่ผู้เขียนเรียนสมัยมัธยมศึกษาตอนต้น ก็ไม่ได้เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ดังนั้นเวลาการแนะแนววิชาการเรียนจากคณะครูต่าง ๆ จะมีไม่มากนัก ผู้เขียนเป็นเด็กยุค 90 สมัยนั้นผู้เขียนจะทราบเพียงแต่ว่ามีสาขาวิชาชีพแขนงต่าง ๆ และสาขาวิชาสามัญหรือมัธยมศึกษาตอนปลาย การจะเรียนอะไรให้มีงานทำสมัยนั้นสำหรับสาขาวิชาชีพนั่นก็คือ สาขาการบัญชี สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ที่ขึ้นชื่อมากในสมัยนั้น
ผู้เขียนได้รับเสียงข้างมากจากทางบ้านให้เรียนสาขาวิชาการบัญชีต่อจากเรียนจบมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ผู้เขียนนั้นไม่ชอบเลย
เนื่องจากไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์อยู่เป็นทุนเดิม ในขณะที่เพื่อน ๆ ในกลุ่มต่างแยกย้ายไปเรียนในสาขาวิชาที่ตัวเองชอบ เช่น สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ และเลือกเรียนต่อมัธยมศึกษาตอนปลาย หลาย ๆ คน ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัด
ในขณะที่เรานั้นไม่ต้องเลือกว่าจะเรียนอะไร (หัวเราะ) จำได้ว่าวันที่สมัครเรียน ใบสมัครลบแล้วลบอีก อยากจะเรียนสาขาวิชาตามที่เพื่อน ๆ เรียน เพราะถ้าเราเรียนสาขาวิชาการบัญชี นั่นหมายความว่า เราจะต้องไปเรียนคนเดียว ต้องไปหาเพื่อนใหม่ นั่นเป็นครั้งแรกที่ต้องตัดสินใจแยกจากเพื่อน ๆ ที่รู้จักรู้ใจกันมา บางคนเกือบสิบปี แต่เนื่องด้วยไม่อยากมีปัญหากับครอบครัว เพราะเราจะต้องโดนพิพากษาแน่ (หัวเราะ) แต่เราต้องกล้าที่จะเผชิญต่อโลกกว้าง คิดซะแบบนั้น เดี๋ยวเราก็จะมีเพื่อนใหม่ อาจจะไฉไลกว่าเดิมก็เป็นไปได้
หลังจากที่เรียนไปได้สักพัก ก็เริ่มมีเพื่อนใหม่ กลุ่มใหม่ กว่าจะเข้าที่ก็หลายเดือนอยู่เหมือนกัน เพราะเราก็ต้องหาเพื่อนที่มีลักษณะนิสัยใจคอเหมือน ๆ กัน สำหรับการเรียนสาขาวิชาที่เราไม่ได้เต็มใจเลือก โดนบังคับก็เถอะ ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด ผู้เขียนกลับเรียนได้ดี ทำได้ดี ยกเว้นวิชาการบัญชีที่ไม่เคยปิดงบการเงินลงตัวเลยสักครั้ง (หัวเราะ) แต่เรียนได้คะแนนอันดับต้นของห้อง บางเทอมได้อันดับที่หนึ่งของห้องก็มี ช่วงเวลาเรียนถามว่าเหนื่อยมั๊ย มีเครียดหรือเปล่า
สมัยชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ป.ว.ช.1-3) ไม่เครียดเท่าไหร่ เนื่องด้วยมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นสมัยวัยรุ่นนั้นทำให้คลายความเครียด ความเบื่อหน่ายสำหรับการเรียนนั้นไป อีกทั้งยังมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายเข้ามา และพอจะมีวิชาอื่น ๆ ร่วมด้วย ทำให้การเรียนวิชาที่โดนบังคับนั้นไม่ได้แย่อย่างที่คิด
สำหรับเรื่องความรักสมัยเรียนผู้เขียนก็มี แต่จะเก็บไว้เล่าในบทต่อไป สำหรับบทนี้เน้นไปเรื่องการเรียนก่อนนะค่ะ หลังจากที่เรียนจบวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่การตัดสินใจเลือกเรียนมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ครั้งยิ้มสิค่ะ คิดว่าผู้เขียนจะได้เรียนมหาวิทยาลัยเอกชน แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว เพราะใฝ่ฝันอยากเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนที่เมืองกรุงที่ไหนสักแห่ง (หัวเราะ)
ฝันสลายจ้าทุกคน เมื่อทางบ้านต่างเห็นพร้อมด้วยมติเสียงข้างมาก (หัวเราะ) ให้เรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง และให้พักอาศัยอยู่กับพี่ชาย ใจสลาย 2 ความคิดไปเลยจ้า เพราะผู้เขียนมีนิสัยชอบอยู่คนเดียว ตั้งแต่ไหนแต่ไร และความอิสระในความคิดก็เริ่มหายไป ณ ตอนนั้น เมื่อสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยารามคำแหงแล้วนั้น ก็ได้สมัครเรียนกับติวเตอร์หน้าราม หลาย ๆ วิชา และหลาย ๆ สถาบันด้วยกัน มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีจำนวนเล่มสำหรับสาขาวิชาการบัญชี จำนวน 46 เล่มด้วยกัน
ผู้เขียนได้วางแผนการเรียนด้วยการลงเต็มอัตราที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด คือ ภาคปกติ เทอมละ 8 วิชา ภาคเรียนฤดูร้อน 4 วิชา รวมปีการศึกษา 20 วิชา (หัวเราะ) ผ่านมาได้ยังไงใช่ไหมทุกคน ค่ะเรียนหนักมากค่ะคือ ติวทุกวันตั้งแต่ 8.00 น. – 20.00 น. จันทร์ – อาทิตย์ สลับวิชาการ วิชาไหนไม่มั่นใจว่าจะสอบผ่านให้ลงทะเบียนซ่อมไว้เลย ในระหว่างการเรียนนั้นก็มีความยุ่งยากมากมาย เช่นเรื่องความรัก (มีแฟน) เล่าในบทถัดไปนะค่ะ
เรื่องการแต่งตัวไปเรียนก็เป็นปัญหาซะแล้ว เนื่องด้วยพี่ชายของผู้เขียนเป็นคนเรียนเก่ง ทางบ้านรักและให้เกียรติเชื่อถือทุกเรื่อง เป็นคนเรียบร้อย เด็กเรียน ได้อันดับ 1 ของการเรียนและการเป็นนักเรียนกิจกรรมต่าง ๆ หันมาทางผู้เขียน (หัวเราะ) ไม่มีดีอะไรสักอย่าง ไม่มีอะไรเด่นเฉพาะตัว เอาตัวรอดไปเรื่อง ๆ ไป เรียนหนังสือด้วยทางสถาบันติวเตอร์ไม่ได้บังคับการแต่งตัวเข้าเรียน ผู้เขียนเลยจัดเก็บทุกวัน (หัวเราะ)
ทีนี้ละจะรอดพ้นความอึดอัดไปได้อย่างไร เมื่อพี่ชายไม่เชื่อว่าเราไปเรียนและได้นำเสนอความคิดเห็นให้ทางบ้านทราบ เรียนสาขาวิชาการบัญชี เราก็เหนื่อยและเครียดมากพออยู่แล้ว จะมีเรื่องให้เราอึดอัดใจอยู่เรื่อย ๆ เพราะความเห็นส่วนตัว ที่พิจารณาคนหรือมองคนจากภายนอกทำให้เราเป็นอย่างอื่นไป เมื่อทนต่อความอึดอัดใจไม่ไหว ผู้เขียนจึงขอทางบ้านไปอยู่หอพักหญิงคนเดียว เมื่อทางบ้านอนุญาต เราจึงผ่อนคลายความกังวลเรื่องบางเรื่องไปได้บ้าง แต่ยังคงไว้ซึ่งความกดดันว่าเราจะเรียนจบไหม....ปั๊ว
ทีนี้เราจะทำอย่างไรละ ....ผู้เขียนมีอิสระอยู่ 2 เรื่อง คือ การแต่งตัว เพราะเราเป็นผู้หญิงชอบแต่งตัว รักสวยรักงาม ชอบกิน (หัวเราะ) เราก็จัดเลยสิค่ะทุกคน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เรานั้นลุกจากที่นอนไปเรียนได้ในทุกวัน ออผู้เขียนไปเรียนคนเดียวนะค่ะไม่มีเพื่อนแต่อย่างใด มีเพื่อนที่ไปด้วยกันแรก ๆ แต่ทุกคนได้เรียนคนละคณะ และบางคนลงเรียนวิชาแต่ละเทอมไม่เหมือนกันทำให้ต่างคนต่างแยกย้ายกันเรียนค่ะ ข้อดีของการทำอะไรคนเดียวทั้ง ๆ ที่เป็นคนพูดเก่ง อัธยาศัยดี แต่โชคดีที่ผู้เขียนไม่ติดเพื่อน
(แต่ติดแฟนมากกว่า 5555)
คือไม่มีความวุ่ยวายเพิ่มเติม ไม่ต้องรอใคร มีอิสระที่จะกินจะดื่ม พูดง่าย ๆ คือทำเวลาได้นั่นเอง เพราะตัวเรานั้นเรียนเข้มข้นมาก เมื่อวิชาที่เรียนเริ่มยากมากขึ้นความกดดันก็มีมากขึ้นตามลำดับ เวลาก็เดินไปเรื่อยอย่างรวดเร็ว สอบตกครั้งนึงผู้เขียนก็จะร้องไห้ ร้องให้สุดๆๆขณะที่เราสระผมด้วยฝักบัว นั่นคือวิธีปลดปล่อยความทุกข์ไปกับสายน้ำ เมื่อปาดน้ำตาแล้วก้าวออกจากห้องน้ำเมื่อไหร่ เราก็จะต้องฮึดสู้พยายามทำมันให้ผ่านอีกครั้ง ไม่ย่อท้อต่อความผิดหวัง ต้องมีสักครั้งที่เป็นของเรา
สิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้ผู้เขียนสู้ได้อีกทางนั่นก็คือ คำพูดของแม่ ที่เราถามแม่ว่าแม่จะเชื่อไหม ว่าลูกจะเรียนจบภายใน 3 ปีครึ่ง แม่ตอบว่าแม่เชื่อใจ
เท่านั้นละทุกคนๆๆๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม แล้วลุกขึ้นสู้ พยายามอดทนต่ออุปสรรคมากมาย ทั้งการเรียนวิชาที่เราไม่ชอบแต่แรก และการดูถูกกดดันว่าจะเรียนไม่จบ จากคนอื่น ๆ ในครอบครัว เด็กที่ไม่ได้เรียนเก่ง ขยัน มาตั้งแต่ต้นจะทำได้ไหม....และมีความรักระหว่างการเรียนด้วย.....ทำได้ค่ะทุกคน
ในที่สุดผู้เขียนก็สามารถเรียนจบมหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการบัญชี ด้วยระยะเวลาเพียง 3 ปีเท่านั่น ผู้เขียนอาจจะไม่ได้เล่ารายละเอียดความลำบากใจทุกข์ใจในขณะนั้นมากนัก เพราะอาจจะพาดพิงทางครอบครัวมากจนเกินไป แต่บอกได้คำเดียวว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปี กว่าจะผ่านไปแต่ละวัน แก้มของผู้เขียนจะมีน้ำตาอยู่เคียงข้างเสมอ
สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนสามารถทำมันให้ประสบความสำเร็จได้นั้น นั่นก็คือ ต้องการเรียนจบเพื่อให้ได้ความเป็นอิสระของตนเองกลับคืนมา เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าเราสามารถวางแผนการดำเนินชีวิตของเราได้ เราโตพอที่จะเผชิญกับโลกภายนอก ไม่ว่าจะมีปัญหาขนาดไหนแต่เราก็จะผ่านมันไปได้ด้วยความอดทนสุดขีดที่เรามี จึงขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่เจอกับสภาวะสถานการณ์ที่เหมือนกัน ชีวิตที่เราเลือกเดินเองไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำมันให้สำเร็จไม่ได้ อยู่ที่ความตั้งใจ
ความอดทน ความพยายาม จิตใจที่แน่วแน่ พลังงานใจที่เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวอะไรง่าย ๆ ทางออกของความทุกข์ที่ดีคือ การหาสิ่งที่ชอบเพื่อเป็นแรงผลักดันให้ไปเผชิญทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ การร้องไห้ให้สุด หากเป็นผู้ชายไม่ต้องอายที่จะร้องไห้กับตัวเองเพื่อสร้างช่องว่างให้หัวใจ......เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ #พลังชีวิตภายใต้กะลาครอบ
โฆษณา