13 ก.ค. เวลา 09:07 • ประวัติศาสตร์

ความเป็นมาของผ้าตาหมากรุก จากที่ราบสูงสกอต สู่ส่วนหนึ่งของแฟชั่นยุคปัจจุบัน

หากพูดถึงสกอตแลนด์ หลายๆคนคงนึกถึงเครื่องแต่งกายของชาวสก็อตที่เป็นกระโปรงสั้นลายผ้าตาหมากรุกซึ่งสวมใส่กันทั้งชายและหญิง โดยผ้าตาหมากรุกนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของชาวสกอตที่คนภายนอกรู้จักกันเป็นอย่างดี
คนทั่วไปอาจเข้าใจว่าชาวสกอตแลนด์สวมใส่ผ้าตาหมากรุกกันทั่วทุกพื้นที่ แต่ที่จริงแล้ว ผ้าตาหมากรุกถือเครื่องแต่งกายที่ใช้กันในเฉพาะในเขตที่ราบสูง ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชาวที่ราบสูงมาอย่างยาวนาน ในขณะเดียวกัน ผ้าทอลักษณะนี้ก็สามารถพบเห็นได้ในพื้นที่อื่นๆของยุโรปเหนือเช่นกัน
คำว่าผ้าตาหมากรุกหรือ Tartan มาจากภาษาฝรั่งเศส หมายถึงผ้าลายตารางชนิดหนึ่ง ส่วนในภาษาเกลิค ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของชาวที่ราบสูง จะเรียกว่า Breacan ที่หมายถึงผ้าลายตาราง ซึ่งมาจากลักษณะลายผ้าที่ทอสลับกันไปมาคล้ายตารางหมากรุก ในขณะที่ฝั่งอเมริกันจะเรียกว่า Plaid หรือลายสกอต ซึ่งมาจากคำว่าผ้าห่ม หรือที่ผ้าที่พาดไหล่ในภาษาเกลิค
เชื่อกันว่าชาวที่ราบสูงทอผ้าตามหมากรุกตั้งแต่ศตวรรษที่ 3-4 ในยุคแรกมีลวดลายง่ายๆใช้สีเพียง 2-3สี ซึ่งได้มาจากการสกัดจากพืชท้องถิ่น และมักทําขึ้นเพื่อใช้กันเองในกลุ่มหรือครอบครัว กลายเป็นลายผ้าประจำกลุ่มหรือตระกูล ซึ่งมีสีสันและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของใครของมัน ทั้งนี้การทอผ้าตามหมากรุก ต้องอาศัยความแม่นยำทั้งเรื่องลวดลายและสีของด้ายทุกเส้น ซึ่งจะมีแผ่นไม้ที่เรียกว่า Maide Dalbh หรือไม้ลวดลาย ที่ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างในการทอผ้าพื้นต่อๆไป
หลักฐานเกี่ยวกับผ้าตาหมากรุกนั้นค่อนข้างหายาก เนื่องจากผ้าชิ้นเก่าๆรวมทั้งไม้ลวดลายได้เปื่อยยุ่ยไปตามกาลเวลา แต่ยังมีหลักฐานที่เป็นบันทึกจากราชสํานักของสกอตแลนด์ให้ศึกษาอยู่บ้าง อย่างเช่น บันทึกของเหรัญญิกของกษัตริย์ในค.ศ.1471 ว่าได้ซื้อผ้าตาหมากรุกถวายแด่กษัตริย์เจมส์ที่ และพระราชินี หรือกษัตริย์เจมส์ที่ 5 สวมผ้าตาหมากรุกขณะออกล่าสัตว์ในปี 1535
ชาวที่ราบสูงของสกอตแลนด์สวมผ้าตาหมากรุกประจําตระกูล
เมื่อปีที่แล้ว มีการเปิดเผยถึงผลวิเคราะห์เศษผ้าตาหมากรุกชิ้นหนึ่งที่ค้นพบในที่ราบสูงของสกอตแลนด์ จากการตรวจสอบสีย้อมผ้าและทดสอบเรดิโอคาร์บอน พบว่าผ้าชิ้นนี้ น่าจะผลิตในช่วง ปี 1500-1600 และถือว่าผ้าตาหมากรุกGlen Affric Tartan(ตั้งชื่อตามหมู่บ้านที่พบ) เป็นผ้าตาหมากรุกที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบในสกอตแลนด์
ผ้าตาหมากรุกGlen Affric ที่จัดแสดงในV&A Dundee ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ในช่วงศ.18 ผ้าตาหมากรุกกลายเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มกบฏจาโคไบท์ ที่พยายามแย่งชิงบัลลังก์จากราชวงศ์อังกฤษ สืบเนื่องจากเหตุการณ์การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ในปี 1688 ที่กษัตริย์วิลเลียมและพระนางแมรี่ ถูกเชิญมาปกครองอังกฤษ ในขณะที่กษัตริย์เจมส์ที่2 ลี้ภัยไปสกอตแลนด์ ในเวลาต่อมา เกิดกลุ่มผู้สนับสนุน จากชาวที่ราบสูง ซึ่งต้องทวงคืนบัลลังก์ให้กับทายาทของเจมส์
กลุ่มกบฏจาโคไบท์เริ่มโจมตีอังกฤษตั้งแต่ทศวรรษที่ 1710 และหลังจากยุทธการคัลโลเดน battle of Cullodenในปี1746 ซึ่งเป็นชัยชนะอย่างเด็ดขาดของฝั่งอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษได้ออกกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการมุ่งร้ายกับบัลลังก์ รวมไปถึงออกกฎหมายสั่งห้ามชาวที่ราบสูงแสดงออกถึงวัฒนธรรมของตนเอง ทั้งการห้ามใช้ภาษาเกลิค ห้ามเล่นปี่สก็อตและห้ามแต่งกายด้วยผ้าตามหมากรุก
กลุ่มกบฎจาโคไบท์ปะทะกับทหารอังกฤษในสมรภูมิคัลโลเดน ปี 1746
กฎหมายฉบับนี้บังคับให้ชาวที่ราบสูงละทิ้งผ้าตาหมากรุกในทุกรูปแบบและสวมใส่เสื้อผ้าในแบบทั่วไป ถึงแม้กฎหมายจะถูกยกเลิกในปี 1782 แต่แทบไม่มีการฟื้นฟูผ้าตาหมากรุกขึ้นมาใหม่เลย ผู้คนในที่ราบสูงพอใจที่จะแต่งกายด้วยชุดทั่วไปเหมือนพื้นที่อื่นในสกอตแลนด์ ในขณะที่ผ้าตาหมากรุกกลายเป็นเรื่องไกลตัว
ผ้าตาหมากรุกกลับมาใหม่ในช่วงปี 1822 เมื่อกษัตริย์จอร์จที่ 4 เสด็จเยือนเอดินบะระ โดยถือเป็นกษัตริย์ของอังกฤษที่เดินทางไปสกอตแลนด์ในรอบ170 ปี มีการเสนอให้ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จัดให้แก่กษัตริย์จอร์จ แต่งกายด้วยชุดผ้าตาหมากรุกของตนเอง ซึ่งตัวกษัตริย์จอร์จก็แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสั้นRoyal Stuartและกางเกงรัดรูปสีเนื้อ เกิดกระแสฟื้นฟูผ้าตาหมากรุกขึ้น และคนส่วนใหญ่ก็กระตือรือร้นที่จะแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายในแบบอดีต ในบางครอบครัวที่ผ้าตาหมากรุกได้สูญหายไปแล้ว ก็มีการคิดค้นลายผ้าขึ้นมาใหม่ในเวลานั้น
ภาพวาดของกษัตริย์จอร์จที่4 แห่งอังกฤษในเครื่องแต่งกายแบบชาวที่ราบสูง ในโอกาสไปเยือนสกอตแลนด์
กระแสของผ้าตาหมากรุกยิ่งเพิ่มมากขึ้นในยุคของราชินีนาถวิคตอเรีย ที่หลงใหลในเสน่ห์ของสกอตแลนด์อย่างมาก พระองค์ได้ซื้อปราสาทบัลมอรัลในปี 1852 และตกแต่งห้องด้วยผ้าตาหมากรุกหลากหลายแบบ วิคตอเรียทำให้ที่ราบสูงเปลี่ยนโฉมจากแหล่งคุกคามราชบัลลังก์กลายเป็นจุดหมายสำหรับการพักผ่อน ชาวอังกฤษเข้ามาเที่ยวในสกอตแลนด์มากขึ้น และผ้าตาหมากรุกก็กลายเป็นสินค้าส่งออกไปยังอาณานิคมทั่วโลก
ภาพห้องนอนของพระราชินีภายในปราสาทบัลมอรัล
การผลิตผ้าตาหมากรุกในเชิงพาณิชย์เริ่มตั้งแต่ต้นศ.19 บริษัททอผ้า Wilson & Sons ทำหน้าที่จัดหาผ้าตาหมากรุกให้กับกรมทหารที่ราบสูงของกองทัพอังกฤษในช่วงปี 1810-1820 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการยกเว้นให้สามารถใช้ผ้าตาหมากรุกได้ในช่วงที่มีกฎหมายควบคุมชาวที่ราบสูง ทั้งนี้วิลสันยังพยายาม จัดระเบียบและเก็บข้อมูลลายผ้าเก่าๆ ซึ่งเขาสามารถรวบรวมลายผ้าตัวอย่างได้มากกว่า 200 แบบ
ในช่วงศ.20 ผ้าตาหมากรุกยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องและนํามาใช้แพร่หลาย ทั้งนำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าสมัยใหม่หรือสวมเป็นกระโปรงสกอต(kilt)คู่กับเครื่องแต่งกายสากล รวมทั้งเป็นที่นิยมในสายแฟชั่นมากขึ้น ห้องเสื้อหลายๆแห่งเริ่มนําผ้าตาหมากรุกมาใช้ในงานของตน ทั้งนี้ผ้าตาหมากรุกยังเข้ากันได้ดีกับแฟชั่นแนวของวัยหนุ่มสาว จะเห็นได้จากแฟชั่นของกลุ่มพังก์ในยุค70 ของอังกฤษที่มีผ้าตาหมากรุกเป็นหนึ่งในไอเท็มการแต่งตัวของพวกวัยรุ่นหัวขบถในยุคนั้น
วัยรุ่นอังกฤษในยุค70 กับแฟชั่นสไตล์พังก์
ผ้าตาหมากรุกได้รับความนิยมอย่างมากช่วงปี1980-1990 เสื้อผ้าแบรนด์ดังออกแบบผ้าตาหมากรุกเป็นของตนเองและใช้สร้างสรรค์ผลงานที่หลากหลาย ซึ่งมีความโดดเด่นและเป็นที่พูดถึงอยู่หลายคอลเล็คชั่น อย่างเช่น Vivienne Westwood ใช้ผ้าตาหมากรุก MacAndreas ของตัวเองในคอลเล็คชั่น Anglomania ปี 1993 หรือ Alexander McQueen ที่หยิบยกเรื่องราวในเขตที่ราบสูงมาตีความในมุมที่ต่างออกไป และนําเสนอเป็นคอลเล็คชั่น Highland Rape ในผลงานช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวปี 1995-1996
แฟชั่นโชว์ของAlexander McQueen คอลเล็คชั่น Highland Rape ในปี 1995 สื่อถึงความปวดร้าวของชาวที่ราบสูงที่ถูกชาวอังกฤษบุกรุกที่ดินเพื่อแสวงหาผลประโยชน์
แฟชั่นหลายๆอย่างเป็นกระแสในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผ้าตาหมากรุกกลับยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยเสน่ห์และความเท่ห์โดยไม่ต้องพยายาม ทําให้ผ้าตาหมากรุกมักถูกนํากลับมาใช้สําหรับคอลเล็คชั่นใหม่ๆของแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนําเสมอ เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นในยุคปัจจุบัน ควบคู่กับการเป็นชุดพื้นเมืองที่ชาวสกอตยังคงแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายจากผ้าตาหมากรุกเต็มยศในงานเทศกาลหรือวันสําคัญของประเทศ
ในทุกๆปี จะมีผ้าตาหมากรุกลายใหม่ๆเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า100 ลาย ซึ่งทุกชิ้นจะต้องจดทะเบียนกับ Scottish Register of Tartans โดยปัจจุบันมีหลายผ้าที่รวบรวมและจดทะเบียนมากกว่า 5,000 ลาย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
โฆษณา