13 ก.ค. เวลา 12:22 • กีฬา

10 ปีแห่งความทรงจำ เยอรมันคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4

วันนี้ (13 กรกฎาคม) เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทีมชาติเยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ด้วยการโค่นอาร์เจนติน่าของลีโอเนล เมสซี่ นี่คือโมเมนต์ประวัติศาสตร์ที่แฟนบอลอินทรีเหล็กจะไม่มีวันลืม
1
แน่นอน ภาพคลาสสิคที่อยู่ในใจของทุกคน คือการยิงประตูชัยของมาริโอ เกิตเซ่ แต่กว่าทุกอย่างจะบิ้วไปถึงตรงนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ
ในรอบรองชนะเลิศของเวิลด์คัพ 2014 เยอรมันถล่มเจ้าภาพบราซิล 7-1 เข้ารอบชิงได้สำเร็จ นี่เป็นการเข้าชิงทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ครั้งแรกนับจากยูโร 2008 ซึ่งพวกเขาไม่ได้แชมป์ในคราวนั้น เพราะไปแพ้สเปน
เฮดโค้ชทีมชาติเยอรมัน เล่าว่าในปี 2014 คือช่วงพีกที่สุดของทีมชาติ เพราะนักเตะอยู่ในจุดพีกของอาชีพพร้อมกันพอดี มานูเอล นอยเออร์ (28 ปี), บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ (29 ปี), ฟิลิป ลาห์ม (30 ปี), โทนี่ โครส (24 ปี), เมซุต โอซิล (25 ปี) และ โทมัส มุลเลอร์ (24 ปี) ยังไม่นับตัวเก๋าประสบการณ์สูงอย่างมิโรสลาฟ โคลเซ่ (36 ปี) และ ดาวรุ่งตัวโจ๊กเกอร์ มาริโอ เกิตเซ่ (22 ปี)
นักเตะชุดนี้ เก่งที่สุด ครบเครื่องที่สุด หลายคนเล่นด้วยกันมานานจนรู้ใจ แต่ที่เหนืออื่นใด ทุกคนมีแพสชั่นอยากเป็นแชมป์ แค่เข้าชิงไม่พอ แต่ต้องเป็นแชมป์เท่านั้น
ย้อนกลับไปในปี 2008 ตอนแพ้ยูโรรอบชิง ปรากฏว่าสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน จัดงานเลี้ยงฉลองปลอบใจผู้เล่นที่ประตูบรานเดนบวร์ก ในกรุงเบอร์ลิน ซึ่งก็มีแฟนบอลนับหมื่นมาร่วมปาร์ตี้ด้วย แต่ในบอลโลก 2014 กลุ่มนักเตะตัดสินใจเด็ดขาดเลยว่า "ไม่เอาปาร์ตี้ปลอบใจแบบนั้นอีกแล้ว" งานเลี้ยงฉลองจะมีได้ ก็ต่อเมื่อพวกเขาเป็นแชมป์โลกเท่านั้น
หลังจากถล่มบราซิลไปได้แล้ว คู่แข่งของเยอรมัน ในรอบชิงชนะเลิศได้แก่ อาร์เจนติน่า ที่เอาชนะจุดโทษเนเธอร์แลนด์มาได้
แม้อาร์เจนติน่าจะนำทัพ ด้วยผู้เล่นที่เก่งที่สุด อย่างลีโอเนล เมสซี่ แต่เยอรมัน ก็มีข้อได้เปรียบอยู่หลายอย่างทีเดียว
1
ข้อแรก เยอรมันมีเวลาพัก มากกว่าอาร์เจนติน่าที่แข่งทีหลังอยู่ 1 วัน ยิ่งไปกว่านั้น เยอรมันชนะบราซิลใน 90 นาที ส่วนอาร์เจนติน่าต้องเล่น 120 นาทีกว่าจะชนะเนเธอร์แลนด์ได้ สภาพร่างกายของทีมฟ้าขาวก็ดูจะกรอบกว่า
1
ข้อสอง เยอรมันไม่มีตัวเจ็บเลยแม้แต่คนเดียว ฟิตสมบูรณ์ทุกตำแหน่ง แต่อาร์เจนติน่าไม่มีอังเคล ดิ มาเรีย คีย์แมนสำคัญที่ลงไม่ได้ในนัดชิง การจัดตัวของอาร์เจนติน่าก็ยากกว่า
และ ข้อสาม นักเตะเยอรมันมีประสบการณ์ในเกมเลเวลสูงสุดมากกว่า ใน 11 ตัวจริงที่จะส่งลงในนัดชิง มีนักเตะ 6 คนที่ได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมาแล้ว ส่วนฝั่งอาร์เจนติน่ามีแค่ 2 คน คือลีโอเนล เมสซี่ กับ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่
ในมุมของสื่อทั่วโลก รู้สึกตื่นเต้น ที่จะได้เห็นเยอรมัน กับ อาร์เจนติน่าปะทะกันในรอบชิง นี่คือการรีแมตช์ฟุตบอลโลก 1990 โดยคราวนั้นเยอรมันเอาชนะไป 1-0
นอกจากนั้น มันก็น่าสนุกดี ที่จะได้เห็นสไตล์ฟุตบอลสองแบบมาปะทะกัน ระหว่างการเล่นฟุตบอลที่เน้นทีมเวิร์กของเยอรมัน กับฟุตบอลที่เน้นทักษะเฉพาะตัวแบบอาร์เจนติน่า คือแนวทางการเล่นคนละแบบกันเลย
3
ถ้าดูจากวิธีการเล่นของเยอรมัน ในรอบที่ผ่านๆ มา พวกเขาไม่มีใครที่เด่นขึ้นมาเป็นพิเศษ ดูจะกระจายความสำคัญเท่าๆ กัน ต่างจากอาร์เจนติน่าที่เมสซี่ เป็นศูนย์กลางของทีมและโดดเด่นที่สุดกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
คาร์ล-ไฮน์ซ รุมเมนิกเก้ ซีอีโอของบาเยิร์น มิวนิค อธิบายว่า
"เยอรมันในยุคอดีต เราเคยผ่านการใช้ ผู้เล่นที่เก่งที่สุดเป็นตัวนำมาแล้ว เช่นยุคของฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์, ฟริตซ์ วอลเตอร์ หรือ โลธาร์ มัทเธอุส พวกเขาเหล่านี้ จะเดินนำทัพแล้วสิบคนที่เหลือก็เดินตาม แต่ฟุตบอลยุคของโยอาคิม เลิฟ นั้นเปลี่ยนไปแล้ว นี่เป็นยุคที่คุณต้องทำให้ทั้ง 11 คนในสนาม มีความสำคัญทัดเทียมกัน นั่นคือเหตุผลที่ฟิลิป ลาห์ม ถูกเลือกเป็นกัปตันทีม เพราะเขาไม่ใช่ผู้นำประเภทตะโกนเสียงดัง แต่เป็นผู้นำที่มีความเป็นผู้ใหญ่ และชักจูงทั้งทีม ให้ลงเล่นด้วยทีมเวิร์กได้"
นอกจากนักเตะจะมีแพสชั่นแรงกล้า มีทีมเวิร์กที่ดี อีกจุดแข็งอย่างหนึ่งของเยอรมันชุดนี้ คือเยือกเย็นมาก แม้จะอยู่ในทัวร์นาเมนต์สำคัญ
โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ ผู้อำนวยการทีมชาติ เล่าว่าปกติถ้าคุณถล่มเจ้าภาพบราซิลได้ 7-1 ทุกคนควรจะลิงโลด คงย้อนกลับมาพูดถึงชัยชนะเกมนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผู้เล่นเยอรมันปรับความรู้สึกเร็วมาก พวกเขาดีใจกันแค่วันเดียว แล้วก็กลับมาสู่โหมดฝึกซ้อมต่อ ทุกคนทราบดีว่า ต่อให้ชนะบราซิล 7-1 แต่ถ้าลงเอยด้วยการแพ้นัดชิง เกมรอบรองที่ถล่มมาเยอะๆ ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย
1
ในช่วง 2-3 วันสุดท้ายก่อนนัดชิง โยอาคิม เลิฟ ไม่ได้โฟกัสที่เรื่องแท็กติกมากนัก เพราะนักเตะทราบดีว่าต้องเล่นอย่างไร สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากกว่า คือเรื่อง "หัวใจ"
ในโลกของฟุตบอล เชื่อกันว่าแค่เก่งอย่างเดียวไม่พอ แต่คนที่จะเป็นผู้ชนะในตอนจบ คือคนที่ใจแกร่งกว่า
ทีมชาติเยอรมัน ทำการกระตุ้นนักเตะหลายวิธี เช่น เชิญนักผจญภัยชาวสวิตเซอร์แลนด์ชื่อ ไมค์ ฮอร์น มาพูดให้กำลังใจนักเตะ โดยฮอร์นคนนี้ เคยทำเรื่องยิ่งใหญ่มาแล้วมากมายเช่น การว่ายน้ำจากต้นสายถึงปลายสายแอมะซอน, การพิชิตยอดเขาสูงมากกว่า 8,000 เมตร 4 ยอด และ เดินทางรอบแนวเส้นอาร์ติกเซอร์เคิลในช่วงฤดูหนาว โดยฮอร์นบอกนักเตะว่า "ถ้าอยากพิชิตโลก คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมทุกอย่าง อากาศแย่แค่ไหน คุณก็ต้องฝ่ามันไป ถ้าคุณไม่พร้อมรับมือกับมัน เป้าหมายก็ไม่สำเร็จ"
หรือในห้องแต่งตัวของนัดชิง สตาฟฟ์ติดป้ายขนาดใหญ่บนกำแพง เขียนว่า "ไม่เอาพรุ่งนี้ ไม่เอาวันมะรืน เราต้องทำให้ได้วันนี้เท่านั้น นี่คือเวลาที่จะเขียนประวัติศาสตร์แล้ว!"
ไลน์อัพ 11 ตัวจริงของเยอรมัน ในตอนแรกสุด จะใช้ชุดเดียวกับเกมถล่มบราซิล 7-1 โดย 3 มิดฟิลด์ตัวกลาง จะเป็นบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, โทนี่ โครส และ ซามี เคดิร่า แต่ปัญหาคือ ในช่วงวอร์มอัพก่อนเจออาร์เจนติน่า เคดิร่า เกิดอาการเจ็บกล้ามเนื้อขึ้นมาเบาๆ ถ้าไม่บอกใครเขาก็พอฝืนเล่นได้
เคดิร่าต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต ถ้าเขาบอกโค้ชล่ะก็ เลิฟก็ต้องเปลี่ยนเอาคนอื่นลงแทนแน่ๆ และเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้เล่นฟุตบอลโลกนัดชิงอีกแล้วตลอดชีวิต แต่ถ้าไม่บอก ทีมก็อาจจะเสียหาย เหมือนไปต่อให้คู่แข่งหนึ่งตำแหน่ง
เคดิร่าเล่าว่า "ผมต้องเลือกระหว่างการได้ลงนัดชิง ได้มีภาพถ่ายในฐานะ 11 ตัวจริงชุดแชมป์โลก หรือ ผมจะเลือกว่าทีมสำคัญกว่า"
สุดท้ายเขาเลือกไปบอกโค้ช ว่าตัวเองร่างกายไม่เต็มร้อย เอาคนอื่นลงแทนดีกว่า
เคดิร่าอธิบายเพิ่มเติมว่า เขาเห็นตัวอย่าง ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงปี 2014 ที่ดีเอโก้ คอสต้า ของแอตเลติโก้ มาดริด ได้รับบาดเจ็บตอนวอร์ม แต่ไม่ยอมบอกใคร แล้วฝืนลงตัวจริง สุดท้ายก็ได้เล่นแค่ 9 นาทีก็โดนเปลี่ยนออก ทีมเสียโควต้าไปฟรีๆ ดังนั้นเขาไม่อยากเดินตามรอยแบบนั้น จึงเลือกบอกโค้ชตรงๆ ดีกว่า
ปัญหาคือ ถ้าไม่ใช้เคดิร่า ตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับของเยอรมัน เหลือแค่คนเดียว ใน Squad คือ คริสตอฟ เครเมอร์ กองกลางจากมึนเช่นกลัดบัค ที่ทั้งทัวร์นาเมนต์เพิ่งได้เล่นไป 12 นาทีเท่านั้น
พอเลิฟไปแจ้งว่า เครเมอร์จะได้ลงตัวจริงนะ เครเมอร์เล่าว่า "รู้ไหม ตอนผมได้ยินว่าจะได้ลงตัวจริง หัวใจผมเต้นแรงถึง 210 โน่นเลย" คือไม่เคยออกสตาร์ตในบอลโลกเลยสักนัด แต่อยู่ๆ ลงเป็นตัวจริงนัดชิงเฉยเลย ใครก็ตกใจ
ถ้าไม่นับเรื่องเคดิร่า โดยรวมๆ เยอรมันก็ดูพร้อมมาก และน่าจะเล่นได้ดี แต่พอเกมเริ่มจริงๆ ด้วยบรรยากาศของนัดชิง ทำให้พวกเขาเล่นผิดฟอร์มไปเยอะทีเดียว
นาทีที่ 20 โทนี่ โครส ที่เล่นดีทั้งทัวร์นาเมนต์ โหม่งคืนหลังแบบไม่ระวัง จนโดนกอนซาโล่ อิกวาอิน หลุดเดี่ยวไปซัด แต่ยิงหลุดกรอบไปเอง หรือ ในนาทีที่ 30 กองหลังปล่อยให้ อิกวาอินยิงเข้าไปจ่อๆ แต่ไลน์แมนยกธงล้ำหน้าไปแล้ว สถานการณ์ของเยอรมันดูไม่ดีเลย
โยอาคิม เลิฟ เจอเรื่องเครียดหนักขึ้น ในนาทีที่ 32 เมื่อเครเมอร์ กองกลางตัวรับที่เหลืออยู่คนเดียวของทีม ไปศีรษะกระแทกกับเอเซกีล ลาเวซซี่ จนสมองกระทบกระเทือน เขาเบลอจัด ถึงขนาดไปถามผู้ตัดสินนิโคล่า ริซโซลี่ว่า "กรรมการ นี่เราเตะนัดชิงกันอยู่ใช่ไหม"
เมื่อเครเมอร์เล่นไม่ได้แล้ว ทำให้โยอาคิม เลิฟ ต้องแก้เกมครั้งแรก โดยเปลี่ยนแผนจาก 4-3-3 เป็น 4-2-3-1 เอาโทนี่ โครส กับ ชไวน์สไตเกอร์ ถอยมาเล่นคู่มิดฟิลด์ตัวรับ เอาอันเดร เชือร์เล่ ที่ลงแทนเครเมอร์ไปยืนปีกซ้าย แล้วขยับโอซิลเล่นเป็นเบอร์ 10
พอเปลี่ยนแผน เกมของเยอรมันดูสมดุลขึ้น โทนี่ โครส ปกติเล่นมิดฟิลด์ตัวรุกก็จริง แต่พอจับมายืนมิดฟิลด์ตัวรับเขาก็เล่นได้ไม่เคอะเขิน เยอรมันเริ่มพลิกเกม จากที่เป็นรองในช่วงต้น กลายมาเป็นสูสีกัน แต่สกอร์ก็ยังไม่ขยับ เสมออยู่ 0-0
ในซุ้มม้านั่งสำรอง มีนักเตะคนหนึ่งที่กำลังรอคอยโอกาสของเขาอยู่ นั่นคือ มาริโอ เกิตเซ่ ดาวรุ่งจากสโมสรบาเยิร์น มิวนิค
ตอนแรกเกิตเซ่ รู้สึกโมโห ที่เขาไม่ได้โอกาสลงเล่นเสียที ในเกมถล่มบราซิล 7-1 เขาก็ไม่มีส่วนร่วมสักนาทีเดียว เกิตเซ่เล่าว่า "มันไม่ง่ายนะ ที่คุณต้องอดทนดูเกมนัดชิงฟุตบอลโลกอยู่ข้างสนาม แต่พอผ่านไปสักระยะ ใจผมเริ่มสงบลง แล้วคิดว่า โอกาสของผมต้องมาแน่ๆ"
นาทีที่ 88 โยอาคิม เลิฟ ตัดสินใจแก้เกม ด้วยการถอดมิโรสลาฟ โคลเซ่ออก แล้วส่งเกิตเซ่ลงเล่น โดยให้ยืนในตำแหน่ง False 9
ตอนอยู่ข้างสนาม เลิฟได้กระตุ้นเกิตเซ่ว่า "ทำให้โลกได้เห็นเลยว่า นายเก่งกว่าเมสซี่" ไม่รู้ว่าเลิฟคิดอย่างนั้นจริงไหม แต่อย่างน้อย เขาก็แสดงความมั่นใจในตัวลูกทีมเต็มเปี่ยม
ส่วนโคลเซ่คนที่โดนเปลี่ยนออก เขาเดินมาสัมผัสมือกับเกิตเซ่ข้างสนาม แล้วพูดว่า "ยิงให้ได้นะ" ในนัดนี้โคลเซ่พยายามเต็มที่แล้ว แต่มันเจาะไม่ได้จริงๆ บางทีเยอรมันก็ต้องใช้ความสด และความสามารถพิเศษของเกิตเซ่ ในการโจมตีอาร์เจนติน่า
90 นาทีของการแข่งจบลง เข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งแรก อาร์เจนติน่าได้โอกาสจากโรดริโก้ ปาลาซิโอ ที่หลุดเดี่ยวแต่ยิงออก เยอรมันเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
พอจบ 15 นาทีของการต่อเวลา ก็ต้องมีการสลับฝั่งกัน ระหว่างนั้น โยอาคิม เลิฟ เรียกนักเตะทุกคนมารวมกันและพูดปลุกใจเป็นครั้งสุดท้ายว่า "เราเล่นแบบนี้ ดีแล้ว อย่าเพิ่งเสียสมาธิตอนนี้ เราไม่ต้องตื่นตระหนก เล่นอย่างใจเย็น ถ้าเราตั้งใจจนจบเกม เราชนะแน่นอน"
ความน่าสนใจคือตั้งแต่นาที 105 เป็นต้นไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อาร์เจนติน่าเริ่มหมดพลัง นั่นเพราะพวกเขาเล่นต่อเวลาพิเศษ ติดต่อกัน 2 นัด ในรอบ 4 วัน
เกมระดับนี้มันใช้พลังสูงมาก สภาพนักเตะอ่อนล้าไปหมดแล้ว นั่นทำให้อาร์เจนติน่าตัดสินใจ "ถอยลงต่ำ" เล่นเกมรับมากขึ้น และกะจะยันให้หมดเวลาไปเลย แล้วไปดวลจุดโทษเอา
ถ้าดวลจุดโทษล่ะก็ อาร์เจนติน่าไม่กลัวใคร พวกเขามีแฟนบอลในสนามมาราคาน่าจำนวนมากกว่า และ ก็เพิ่งเอาชนะเนเธอร์แลนด์ จากการดวลจุดโทษในรอบที่แล้วด้วย
การที่อาร์เจนติน่าถอยต่ำ ไม่เพรสซิ่ง เปิดโอกาสให้โทนี่ โครส มีโอกาสครองบอลแบบสบายๆ โดยไม่โดนกดดัน ในนาทีที่ 113 โครสได้บอลกลางสนามแล้วจ่ายบอลให้อันเดร เชือร์เล่ ที่ยืนว่างอยู่
เมื่อได้บอล เชือร์เล่อ่านจังหวะแล้วสปรินท์ฉีกไปด้านซ้าย เป้าหมายคือวิ่งเข้าไปให้ใกล้กับเส้นหลังมากที่สุด
ในชั่วพริบตานั้น เกิตเซ่ อยู่ในพื้นที่โล่งอย่างที่คาดไม่ถึง เพราะแบ็กขวาอาร์เจนติน่า ปาโบล ซาบาเลต้า ต้องเข้าไปช่วยปิดมุมการครอสของเชือร์เล่ ขณะที่มาร์ติน เดมิเคลิส เซ็นเตอร์แบ็กฝั่งขวา เผลอไล่ตามโทมัส มุลเลอร์ ที่วิ่งโยกหลอกอยู่ตรงช่องว่างระหว่างไลน์
ทันทีที่เชือร์เล่เห็นปั๊บ ก็ครอสบอลเข้ามาให้เกิตเซ่ที่ยืนโล่ง เกิตเซ่เล่าว่า "มันเป็นจังหวะที่ตัวประกบผมหายไปหมด เป็นอะไรที่แปลกมาก"
เมื่อได้บอล เกิตเซ่เอาหน้าอกพักลูกบอลไว้ แล้ววอลเลย์กลางอากาศด้วยเท้าซ้าย บอลพุ่งผ่านมือเซร์คิโอ โรเมโอ เป็นประตูแบบหมดจดที่สุด เยอรมันนำ 1-0 นักเตะทั้งทีม วิ่งไปดีใจกับเกิตเซ่อย่างบ้าคลั่ง
ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ คนแอสซิสต์ กับ คนยิง คือตัวสำรองที่เปลี่ยนลงมาทั้งคู่ การตัดสินใจของเลิฟแม่นยำมากจริงๆ ก็อย่างที่ใครๆ ก็บอกกัน นั่นคือโค้ชระดับท็อปจะเลือกได้ถูกเสมอในโมเมนต์สำคัญ
1
ปัญหาของอาร์เจนติน่าเมื่อโดนยิงนำ คือ หมดพลังถังแล้ว และโค้ชก็ใช้ตัวสำรองไปครบตั้งแต่ยังไม่จบ 90 นาที ไม่สามารถส่งใครมาเติมความสดได้อีก
ต่อให้นักเตะมีไอเดีย ก็ไม่มีแรงพอจะทำได้ ดังนั้นอาร์เจนติน่าจึงใช้กลยุทธ์สุดท้ายนั่นคือ Route One หรือโยนบอมบ์เข้าไปเลยในเขตโทษวัดดวงกันไป
โยอาคิม เลิฟ เปลี่ยนตัวผู้เล่นคนสุดท้าย คือแพร์ แมร์เตซัคเกอร์ กองหลังส่วนสูง 198 ซม. ลงมาแทนเมซุต โอซิล เพื่อป้องกันลูกกลางอากาศอย่างเดียว
แมร์แตซัคเกอร์เล่าว่า "โค้ชบอกผมให้เปลี่ยนชุดแล้วเตรียมตัวลงเล่น ทีนี้เพื่อนๆ ในซุ้มม้านั่งสำรอง ก็ตะโกนใส่ผมกันใหญ่ บอกว่า 'เอาเลย! นายทำได้! โหม่งเคลียร์ทุกลูกเลยนะ!' " ซึ่งแมร์เตซัคเกอร์ ได้สัมผัสบอลแค่ครั้งเดียวในแมตช์นี้ เป็นการโหม่งเคลียร์ลูกบอมบ์ของอาร์เจนติน่า แมร์เตซัคเกอร์บอกว่า "ตอนผมโหม่งได้ มีกองเชียร์เฮกันทั้งสนาม ผมไม่เคยได้เสียงเชียร์ดังขนาดนี้ จากการแย่งโหม่งชนะมาก่อนเลย"
ฝั่งอาร์เจนติน่า คนที่ยังพอไหวอยู่คือลีโอเนล เมสซี่ นาที 120+2 เมสซี่ เลี้ยงแหวกเข้ามา โดยบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ต้องเหยียดขาสุดตัวไปเสียบ จนเสียฟรีคิก
เกมนี้เป็นนัดที่ชไวน์สไตเกอร์สะบักสะบอมมากที่สุด การเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางต้องใช้พลังเยอะมาก เขาโดนเตะ โดนอัด รวมถึงโดนกุน อเกวโร่ชักศอกใส่ตอนแย่งโหม่งจนคิ้วแตก แต่ชไวน์สไตเกอร์บอกว่า "เจ็บนิด เจ็บหน่อย ผมไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่ายังไง ผมไม่อยากให้เราต้องไปดวลจุดโทษ"
ชไวน์สไตเกอร์ เคยพลาดจุดโทษ ในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก จนบาเยิร์น แพ้ เชลซี ในปี 2012 เขาบอกว่า "การแพ้จุดโทษในนัดชิง เป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่าที่สุดที่คุณจะเคยเจอ และคุณไม่อยากรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว" ดังนั้นเขาจึงสู้เต็มที่ เพื่อให้เกมมันจบใน 120 นาทีไปเลย
โอกาสสุดท้ายของอาร์เจนติน่า เมสซี่เป็นคนยิงฟรีคิกเองในระยะ 30 หลา โดยแมร์เตซัคเกอร์ เล่าว่า "ผมคิดในใจว่า 'ซัดข้ามคานไปเลยเถอะ อย่าครอสอะไรทั้งนั้น ยิงโป้งให้ลอยออกไปไกลๆ เลย' และปรากฎว่าเมสซี่ก็ยิงข้ามคานจริงๆ"
ในที่สุดหลังจากทดเจ็บไป 4 นาที กรรมการริซโซลี่ก็เป่าหมดเวลา เยอรมันได้แชมป์โลกสมัยที่ 4 จากประตูชัยของมาริโอ เกิตเซ่ ดาวดาวงที่ 4 ที่พวกเขารอคอยมา 24 ปี ในที่สุดก็ทำได้แล้ว
ชัยชนะเหนือบราซิล 7-1 ในรอบรองชนะเลิศ และ การโค่นอาร์เจนติน่าของนักเตะหมายเลขหนึ่งของโลกอย่างเมสซี่ ในรอบชิง ก็พอจะบอกได้ว่า เยอรมันสมควรเป็นแชมป์โลกอย่างไร้ข้อกังขา
เจอร์เก้น คลินส์มันน์ อดีตเฮดโค้ชทีมชาติ กล่าวถึงชัยชนะครั้งนี้ว่า "สำหรับแฟนบอล ชัยชนะครั้งนี้จะอยู่ในความทรงจำไปตลอดกาล ไม่มีทางที่จะถูกลบเลือนได้ ส่วนสำหรับนักฟุตบอล การได้แชมป์โลกคือเป้าหมายสูงสุด ไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว"
13 กรกฎาคม 2014 เยอรมันคว้าแชมป์โลกที่ริโอ เด จาเนโร อย่างสวยงาม สื่อมวลชนทั่วโลกกล่าวชื่นชม ว่าเป็นแชมป์ที่ยอดเยี่ยมและคู่ควร
สิ่งที่เยอรมันทำให้เห็น คือสามารถเอาชนะเกมฟุตบอล ด้วยแนวคิดการยึดทีมเวิร์กเป็นที่ตั้ง จริงอยู่ นักเตะทุกคนมีเทคนิคดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ พวกเขาไม่โชว์เทคนิคที่มีอย่างพร่ำเพรื่อ
แต่ละคน เลือกใช้เทคนิคเท่าที่จำเป็น เพื่อช่วยเหลือให้ทีมประสบความสำเร็จได้ในตอนจบ
การคำนึงถึงส่วนรวมก่อนความสำเร็จส่วนตัว เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือชัยชนะ ต้องบอกว่านี่คือแชมป์โลกในสไตล์อินทรีเหล็กอย่างแท้จริงเลยทีเดียว
โฆษณา